xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน โคเอ็ตสึ ช่างลับดาบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1

พระทากูอันเอือมระอากับโวหารของแม่เฒ่าสารพัดพิษ อันคนเขลานั้นมักเย่อหยิ่งทำตัวอยู่เหนือคนฉลาดเสมอ และยิ่งมองข้ามความมีปัญญาของอีกฝ่ายก็ยิ่งผยองหนัก แต่ก็ยังดีกว่าคนที่รู้ครึ่งกลาง ๆ จนกลายเป็นโง่แกมหยิ่งที่ยากต่อการเสวนาด้วย
หลวงพี่ใช้ดวงตาที่ถูกปรามาสว่าเป็นแค่รูกลวงบนกระโหลกบ้างอะไรบ้างมองตรวจไปทั่วบริเวณจึงรู้ว่าศพนั้นไม่ใช่โอซือ แต่ยังถอนหายใจไม่ทันจะสุดดี แม่เฒ่าก็แหวขึ้นมาก่อนแล้วว่า
“อ๋อ โล่งใจละซีที่คนเป็นศพอยู่นั่นไม่ใช่โอซือ”
แล้วประชดต่อว่า
“แต่ไม่แปลกหรอก เพราะเห็นเป็นพ่อสื่อพ่อชักส่งเสริมนางโอซือกับเจ้าทาเกโซกันดีนัก”
พระทากูอันไม่เถียง
“โยมจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจเถิด อาตมาแค่อยากรู้ว่าคนธรรมะธรรมโมอย่างโยมจะทิ้งศพที่ตายอย่างน่าเวทนาไปได้ลงคอรึ”
“ถึงมาตาฮาจิจะเป็นคนลงดาบสังหารแต่ลูกชายข้าก็ไม่ใช่คนผิด ถ้าหลวงพี่เห็นสภาพเจ้านักดาบวณิพกคนนี้แล้วจะรู้ว่าถึงไม่โดนใครฆ่าก็ตายเองอยู่แล้ว”
เจ้าของโรงเตี๊ยมที่ยืนฟังอยู่สอดขึ้นว่า
“จะว่าไป เจ้าซามูไรไร้นายคนนี้ก็ดูแปลก ๆ คล้ายสติไม่ดี ข้าเห็นเดินโซเซตาลอยน้ำลายยืดอยู่ตามถนนในเมือง หัวปูดโปคงโดนใครเอาอะไรทุ่มกระบาลมา”
แม่เฒ่าไม่สนใจฟังเพราะมัวใจจดใจจ่ออยู่กับการหาทางหนีทีไล่ พระทากูอันไหว้วานให้เจ้าของโรงเตี๊ยมจัดการกับศพผู้เคราะห์ร้ายแล้วเดินตามนางไปห่าง ๆ
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวแม่เฒ่าโอซูรู้ตัวแต่พอจะหันกลับมาแหวใส่อีกก็ต้องชะงัก
“แม่...แม่”
เสียงกระซิบเรียกดังมาจากเงาแมกไม้พร้อมกับเจ้าของเสียงวิ่งเข้ามาหาด้วยความยินดี
มาตาฮาจิ
แม่เฒ่ากระซิบบอกตัวเองอยู่ในใจด้วยความปลื้มปิติ และซาบซึ้งในน้ำใจของลูกชายที่ไม่ได้หนีไปไหน แต่ซุ่มดูแม่ผู้เฒ่าชราอยู่ใกล้ไม่ทอดทิ้งกัน
พระทากูอันมองไปเห็นสองแม่ลูกซุบซิบอะไรกันแล้วพากันออกเดินอย่างรีบเร่งคล้ายเกรงกลัวตน และยิ่งใกล้ชายเนินก็ยิ่งเร็วจนกลายเป็นวิ่ง
“ไม่ไหว เกินเยียวยาแล้วจริง ๆ ดูท่าคงจะเสี้ยมลูกชายเอาอะไรผิด ๆ ฝังหัวเข้าไปอีกแล้วเป็นแน่ อนิจจา โลกเรานี้ถ้าลบความเข้าใจอะไรผิด ๆ เพราะหูเบาออกไป ชีวิตคงจะง่ายขึ้นเหลือประมาณ”
หลวงพี่บ่นพลางมองตามสองแม่ลูก แต่ก็ไม่ได้เร่งฝีเท้าตามไป
หน้าที่ของตนคือต้องตามหาโอซือให้พบโดยด่วน แม้กวาดตามองหาไปจนทั่วไม่เห็นวี่แววแต่ก็โล่งอกและปิติยินดีที่ภาวะแวดล้อมบ่งบอกว่าโอซือรอดพ้นคมดาบของสองแม่ลูกไปได้
อาจเป็นเพราะเลือดแดงฉานบนพื้นหญ้าพื้นดินที่ทำให้หลวงพี่วุ่นวายใจและคิดว่าจะค้นหานางต่อไปจนกว่าจะรุ่งสาง เพราะจิตใจคงไม่สงบจนกว่าจะพบหน้าโอซือที่ยังมีชีวิตอยู่
ขณะที่กำลังจะออกตามหาอีกครั้ง ก็พอดีมีกลุ่มคนเจ็ดแปดคนซึ่งก็คือเจ้าของโรงเตี๊ยมที่กลับลงมาพร้อมกับคนที่วัดถือโคมไฟเดินลงมาที่หุบเขา เพื่อฝังศพอากาเบะ ยาโซมะซามูไรไร้นายผู้น่าเวทนา
พอมาถึงทุกคนก็ลงมือขุดหลุม เสียงจอบกระทบดินเป็นจังหวะก้องสะท้อนไปในความมืดมิดของยามดึก
ขณะที่ขุดลงไปเป็นหลุมลึกหลุมน่าจะได้ขนาดพอดีกับร่างศพแล้วนั้นเอง
“เฮ้ย ตรงนี้มีอีกศพนึง เป็นผู้หญิง สวยเสียด้วย”
ใครคนหนึ่งก็ร้องลั่นออกมาด้วยความตื่นตระหนก จากพงหญ้าชายหนองน้ำที่ห่างออกไปไม่มากนัก
“แต่...แต่ยังหายใจอยู่เลย”
“ยังไม่ตายนี่”
“ใช่ แค่สลบไป”
พระทากูอันวิ่งกลับมาที่กลุ่มคนซึ่งกำลังส่งเสียงเอะอะกันขรม เกือบจะพร้อมกันกับที่เจ้าของโรงเตี๊ยมร้องเรียก
2
คงมีบ้านน้อยหลังนักที่จะใช้น้ำในการดำรงชีวิตได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่าเท่ากับบ้านหลังนี้
มูซาชิคิดขณะเงี่ยหูฟังเสียงน้ำไหลในบริเวณรอบ ๆ บ้าน
ที่นี่คือบ้านของฮนอามิ โคเอ็ตสึตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของตรอกทางตะวันออกเฉียงใต้ของบริเวณที่เคยเป็นวัดจิสโซอินทางตอนเหนือของเกียวโต ห่างออกไม่มากนักจากทุ่งเร็นไดที่เจ้าหนุ่มนักดาบจำได้ดี บ้านของโอเอ็ตสึไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่หลังเดียว แต่ห้อมล้อมไปด้วยบ้านหลาน บ้านญาติ และบ้านคนอาชีพเดียวกันอีกหลายหลังทั้งด้านหน้าและด้านหลังซอย นับเป็นชุมชนใหญ่ที่อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขเหมือนครอบครัวใหญ่ในสมัยโบราณ
ชีวิตในย่านนี้ดูแปลกไปจากที่มูซาจิผ่านพบเห็นมา ตามปกติเวลาเข้าเมืองเจ้าหนุ่มจะใช้ชีวิตเรียบง่ายคลุกคลีอยู่กับพวกชาวเมืองยากจนระดับล่าง แต่ไม่เคยมีโอกาสได้สมาคมกับคนระดับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่าง เกียวโตมาก่อน
ฮนอามิเป็นตระกูลนักรบที่สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพคนสำคัญของโชกุนอาชิคางะผู้เรืองอำนาจ ทุกวันนี้ยังได้รับการยกย่องเบี้ยหวัดเงินปีจากทางกองทัพ มีหน้ามีตาในราชสำนัก อีกทั้งโทกูงาวะ อิเอยัตสึจอมทัพภาคตะวันออกแห่งปราสาทฟูชิมิก็ยังจับตามอง ดังนั้นแม้ฐานะในสังคมจะเป็นช่างลับดาบที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ แต่ก็ยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ว่าคนในตระกูลนี้เป็นนักรบหรือว่าชาวเมืองสามัญ แต่มองจากการวางตัวของโคเอ็ตสึแล้วบุคคลผู้นี้น่าจะตระหนักตนเองว่าเป็นช่างฝีมือ...เป็นชาวเมืองมากกว่า
ช่างฝีมือกลายเป็นอาชีพที่ถูกเหยียดว่าชั้นต่ำก็เพราะช่างทำตัวให้ด้อยค่าลงไปเอง เหมือนกับพวกชาวไร่ชาวนาซึ่งสมัยก่อนได้รับการยกย่องจนแม้แต่สมเด็จพระจักรพรรดิเองยังตรัสว่าชาวไร่ชาวนาคืออาชีพชั้นสูงที่อำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้คน แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไปชาวไร่ชาวนากลับกลายเป็นอาชีพที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกเรียกว่า ไอ้พวกชาวนาบ้างอะไรบ้าง และพวกช่างฝีมือนั้นเดิมทีไม่ใช่อาชีพที่ต่ำต้อยแม้แต่น้อย
โคเอ็ตสึไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในฐานะเช่นนั้น ช่างฝีมือผู้เป็นชาวเมืองคนอื่น ๆ อย่างเช่นซูมิโนคูระ โซอัน, ชายะ ชิโรจิโร และไฮยะ โชยู นั้นเมื่อสืบสาวเชื้อสายขึ้นไปก็จะพบว่ามาจากตระกูลนักรบทั้งนั้น ทั้งนี้เกิดจากการที่นักรบชั้นผู้ใหญ่ในสมัยรัฐบาลโชกุนอาชิคางะที่ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งด้านการค้า และพอทำ ๆ ไปก็แยกตัวเป็นอิสระจากราชการไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ ไปทำการค้าส่วนตัว เพราะตระหนักดีว่าในการบริหารธุรกิจหรือเข้าสังคมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เอกสิทธิ์ของการเป็นนักรบ และระหว่างที่สืบทอดหลักคิดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนในที่สุดก็กลายเป็นพ่อค้าชาวเมืองเกียวโตเต็มตัว และล้วนมีฐานะมั่งคั่งเป็นเศรษฐีด้วยสติปัญญาและความมุ่งมั่นหมั่นเพียร
ดังนั้น แม้จะเกิดการสู้รบชิงอำนาจกันระหว่างนักรบ ชาวเมืองกลุ่มนี้จะได้รับความคุ้มครองจากทั้งสองฝ่าย ช่วยให้ทำธุรกิจมาได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน บางครั้งอาจถูกบีบให้ช่วยเหลือกองทัพบ้างแต่ก็ถือกันว่าเป็นการเสียภาษีที่จะไม่สูญเปล่าไปในไฟสงคราม
พื้นที่มุมหนึ่งของบริเวณที่เคยเป็นวัดจิสโซอินอยู่ติดกับวัดมิซูโอจิเดระที่ขนาบด้วยแม่น้ำอาริซูงาวะกับแม่น้ำ คามิโคงาวะ เคยถูกเผาราบเป็นหน้ากลองไปทั้งแถบเมื่อครั้งเกิดสงครามโอนิน จนทุกวันนี้เวลาขุดดินปลูกต้นไม้ในสวนยังพบดาบหัก ๆ และหมวกของชุดเกราะนักรบอยู่เลย ตระกูลฮนอามิย้ายเข้ามาอยู่ในละแวกนี้เป็นรุ่นแรก ๆ หลังสงครามโอนิน
น้ำบริสุทธิ์สะอาดของแม่น้ำอาริซูงาวะช่วงหนึ่งไหลเอื่อยผ่านที่ดินบ้านโคเอ็ตสึลงสู่แม่น้ำคามิโองาวะ ผ่านไร่ผักกว้างใหญ่หลายไร่เข้าไปในแมกไม้ออกมาทางบ่อน้ำข้างประตูทางเข้าเรือน แตกแขนงออกไปทางครัวสายหนึ่ง ไปทางห้องอาบน้ำสายหนึ่ง และสายหนึ่งผ่านไปทางด้านที่มีเสียงคล้ายหยดน้ำซึมลงมาจากซอกหินทำให้คิดว่าคงมีเรือนชงชาที่สงบเงียบอยู่ตรงนั้น แต่ที่แท้คือเรือนที่ทุกคนในบ้านนี้เรียกว่าโรงลับดาบ ตรงทางเข้ามีเชือกฟางควั่นประดับไว้อย่างที่เห็นกันตามศาลเจ้า และภายในมีช่างลับมีดหลายคนขมักเขม้นอยู่กับการลับดาบที่ได้รับมอบหมายจากลูกค้า ซึ่งล้วนเป็นดาบมีชื่อเสียงที่เป็นผลงานของช่างตีดาบบรมครูอย่างมาซามูเนะ, มูรามาซะ และโอซาฟูเนะ
มูซาชิมาพักอยู่ที่บ้านนี้เป็นวันที่ห้าแล้ว
3
ตั้งแต่ได้ร่วมพิธีชงชากับโคเอ็ตสึกับแม่ชีชราเมียวชูบนท้องทุ่ง มูซาชิคิดอยู่ตลอดว่าอยากมีโอกาสได้พบและพูดคุยกันอย่างความสนิทสนมกับสองแม่ลูกอีกสักครั้ง
และราวกับว่าดวงชะตาเป็นใจเพราะไม่กี่วันหลังจากนั้นเจ้าหนุ่มนักดาบก็ได้พบกับสองแม่ลูกสมดังใจนึก
เรื่องมีอยู่ว่า มูซาชิตั้งใจไว้ว่าเมื่อมาถึงเกียวโตจะไปสืบเสาะหาบ้านของอากามัตสึที่เป็นต้นตระกูลของตน ซึ่งสิ้นชื่อไปพร้อมกับการล่มสลายของโชกุนอาชิคางะผู้เรืองอำนาจในสมัยมูโรมาจิ ที่รู้มาว่าอยู่ใกล้กับวัดรากังซึ่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำคามิโองาวะค่อนไปทางตะวันออกของปลายน้ำ ถึงแม้จะรู้ว่าบ้านคงไม่เหลือแม้แต่ซากก็ยังอยากไปเห็นกับตาสักครั้ง
สมัยเด็กพ่อบอกเสมอว่า
ข้าอาจเป็นแค่นักรบบ้านนอก แต่เจ้าอย่าลืมจนวันตายว่าบรรพบุรุษของเราสืบเชื้อสายมาจากอากามัตสึ เจ้าครองแคว้นผู้เก่งกล้าสามารถและมีชื่อเสียงเกริกก้องในสมัยมูโรมาจิ และภายในตัวเจ้ามีสายเลือดนักรบของวีรบุรุษผู้นี้ไหลเวียนอยู่ จึงต้องตระหนักรู้และรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
วันหนึ่งมูซาชิออกไปเดินหาวัดรากังบนฝั่งแม่น้ำคามิโองาวะติดกับบริเวณที่เคยเป็นบ้านของตระกูลอากามัตสึ เพื่อไปสอบถามเผื่อว่าจะมีบันทึกของบรรพบุรุษที่ชื่อฮิราตะเหลืออยู่บ้าง และมูนิไซบิดาของตนก็เคยมาสักการะดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่วัดนี้ครั้งหนึ่งตอนเดินทางมาเยือนนครหลวงแห่งนี้ด้วย แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักเพราะเรื่องมันนานมาแล้วอาจไม่มีใครรู้เรื่องราวอะไร แค่ได้มายืนอยู่บนผืนดินเดียวกันกับที่บรรพบุรุษเคยใช้ชีวิตอยู่ในอดีตอันไกลโพ้นก็คิดว่ามีความหมายมากพอแล้ว เจ้าหนุ่มนักดาบจึงตั้งอกตั้งใจวัดรากังให้เจอก่อนเป็นอย่างแรก
มูซาชิเดินมาถึงสะพานรากังที่ทอดข้ามแม่น้ำคามิโองาวะ และถามชาวบ้านแถวนั้นแต่ก็ไม่มีใครรู้จักวัดรากัง
“แถวนี้ อะไร ๆ คงเปลี่ยนไปหมดแล้วละมัง”
เจ้าหนุ่มนักดาบยืนเกาะราวสะพานพลางนึกปลงกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของนครหลวงในช่วงเวลาชั่วชีวิตคนเพียงรุ่นเดียวจากบิดามาถึงตน
น้ำใสสะอาดในสายน้ำตื้น ๆ ใต้สะพานรากัง บางครั้งดูขุ่นขาวคล้ายชะเอาดินเหนียวมาด้วย แต่ไม่นานก็ใสแจ๋วดังเดิม
มองไปก็พบว่ามีน้ำขุ่น ๆ ไหลลงมาเป็นระยะ ๆ จากพงหญ้าริมตลิ่งซ้าย และเมื่อไหลลงมาน้ำก็จะขุ่นขาวออกไปในวงกว้าง
รู้แล้ว แถวนี้ต้องมีบ้านช่างลับดาบแน่
มูซาชิคิด โดยไม่ได้คาดฝันว่าตนจะกลายเป็นแขกของบ้านนั้นและพักอยู่ถึงสี่ห้าวัน

“นั่นท่านมูซาชิไม่ใช่รึ”
แม่ชีชราเมียวชูร้องทัก ท่าทางคล้ายกับว่าไปทำธุระที่ไหนกลับมา และนั่นเองมูซาชิจึงรู้ว่าตรงนั้นอยู่ใกล้กับตรอกที่อาศัยของฮนอามิ โคเอ็ตสึ
อุตส่าห์มาหาเราถึงที่นี่ วันนี้พอดีโคเอ็ตสึอยู่บ้าย คงจะดีใจมากที่ท่านมา เชิญ เชิญ ไม่ต้องเกรงใจ
แม่ชีชราดีอกดีใจที่พบกับมูซาชิโดยบังเอิญที่ข้างทาง คิดเอาเองว่าเจ้าหนุ่มอุตส่าห์มาหาตนถึงบ้าน กุลีกุจอเชิญเข้าบ้าน สั่งคนรับใช้ให้ไปตามลูกชายมาโดยเร็ว
ทั้งโคเอ็ดสึและแม่ชีชราเมียวชูไม่ได้วางตัวผิดไปจากเมื่อพบกันที่ท้องทุ่งแม้แต่น้อย
ตอนนี้ข้ากำลังลับดาบที่เป็นงานสำคัญมาก ท่านคุยกับแม่ก่อนสักครู่หนึ่งนะ เสร็จงานแล้วข้าจะรีบกลับมา เรามีเวลาคุยกันสบาย ๆ อีกนาน
โคเอ็ตสึว่าแล้วก็รีบกลับไปที่โรงลับดาบ ปล่อยให้มูซาชิคุยกับแม่ชีชราและพักผ่อนตามสบาย
มูซาชิอยากขอเรียนรู้เรื่องการลับดาบแต่เห็นว่าวันนี้ค่ำแล้วจึงระงับเอาไว้ วันรุ่งขึ้นพอเจ้าหนุ่มนักดาบแจ้งความจำนง โคเอ็ตสึก็พาไปที่โรงลับดาบด้วยตนเองและอธิบายพร้อมกับแสดงวิธีลับดาบให้ดูอย่างละเอียด กว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ปรากฏว่าหลับนอนอยู่ที่บ้านของสองแม่ลูกอย่างสนิทชิดเชื้อมาได้สามสี่คืนแล้ว
แม้เจ้าของบ้านเขาเต็มใจต้อนรับและตนก็อยู่อย่างมีความสุข แต่จะเผลอตัวอยู่นานเกินไปคงไม่เหมาะ เห็นจะต้องลาเสียที แต่ยังไม่ทันจะปริปากพูด เช้าวันนี้โคเอ็ตสึก็พูดอย่างเดิมเหมือนทุกวัน
“เราอยู่กันแบบพื้น ๆ ไม่มีอะไรต้อนรับท่านเป็นพิเศษ แต่ถ้าท่านไม่เบื่อก็อยากเชิญให้พักอยู่นานกี่วันก็ได้ ห้องเขียนหนังสือของข้าพอจะมีหนังสือเก่า ๆ และของรักที่สะสมเอาไว้ ท่านอยากดูอะไรก็หยิบออกมาได้ตามใจชอบเลยนะ พอมีเวลาว่างข้าจะปั้นถ้วยชาและชามเผาในเตาที่มุมสวนให้ดู นักดาบย่อมสนใจดาบ แต่เครื่องปั้นดินเปาก็น่าสนใจไม่น้อย อยากให้ท่านลองจับดินปั้นเป็นอะไร ๆ ดูบ้าง”
ความเป็นอยู่ที่บ้านของโคเอ็ตสึสุขสงบอยู่แล้วเมื่อมีสิ่งล่อเช่นนี้ มูซาชิก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยตัวให้คล้อยตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น