นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
พระชูโฮ ทากูอัน เดินทางธุดงค์ผ่านมาในละแวกนั้นพอดี
อาจบังเอิญด้วยโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต แต่ตัวพระทากูอันเองนั้นท่านใช้ชีวิตไปกับธรรมชาติ หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน ไม่ได้ยึดติดกับเรื่องเหล่านี้ แต่คืนนี้ดูหลวงพี่กระสับกระส่ายไม่กลมกลืนกับธรรมชาติเช่นเคย
“ว่าไง เจอไหม”
พระทากูอันร้องถามเข้าของโรงเตี๊ยมที่วิ่งพลางเอาหลังมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางเข้ามาใกล้
“ไม่เจอขอรับ หลวงพี่ ข้าหาจนทั่วแล้วไม่พบเลย”
“แปลกนะ”
“แปลกมากขอรับ”
“เจ้าฟังผิดรึเปล่า”
“ไม่ผิดแน่หลวงพี่ เมื่อเย็นนี้มีพระจากวิหารชิอันโด วัดคิโยมิซุเอาจดหมายมาให้ พออ่านเสร็จแม่เฒ่าก็รีบมาขอยืมโคมไฟแล้วบอกว่าจะไปที่ศาลเจ้าป่า”
“ค่ำมืดป่านนี้จะไปทำอะไรที่ศาลเจ้าป่า แปลกแท้ ๆ”
“แม่เฒ่าพูดคล้ายกับว่ามีใครสักคนนัดให้ไปพบที่นั่น”
“ถ้านัดกันจริง ๆ ก็น่าจะอยู่ตรงนั้นไม่ใช่รึ”
“ข้าไปดูมาแล้วไม่เห็นมีใครสักคน”
“เอ...มันยังไงกันล่ะนี่”
พระทากูอันกอดอกกเองคอคิด เจ้าของโรงเตี๊ยมทำตามพลางบอกแกมบ่น
“ศิษย์วัดคนคุมตะเกียงอยู่ข้างวิหารชิอันโดบอกว่าเห็นแม่เฒ่ากับสาวน้อยถือโคมไฟเดินขึ้นไปบนนั้น และไม่เห็นใครเดินลงเนินซันเน็นซากะไปเลยสักคน”
“นี่ไงที่อาตมาถึงได้เป็นห่วง สองคนนั่นอาจเดินลึกเข้าไปภูเขาหรือไม่ก็เดินไปทางอื่น”
“ทำไมหรือขอรับ”
“อาตมาสังหรณ์ใจอยู่ว่า แม่เฒ่าอาจใช้เล่ห์กลลวงโอซือขึ้นไปทำร้ายถึงแก่ชีวิตก็ได้ อาตมาเป็นห่วงจัง”
“อะไรกันหลวงพี่ แม่เฒ่าร้ายขนาดนั้นเลยรึ”
“ไม่หรอก นางเป็นคนดี”
“อ้าว ก็หลวงพี่พูดยังงั้นจะให้ข้าคิดยังไง ใช่ ๆ วันนี้ข้าเห็นโอซือร้องไห้อีกแล้ว”
“ไม่น่ามีอะไรนะ แม่สาวน้อยคนนี้บ่อน้ำตาตื้น ขนาดที่ใคร ๆ เขาเรียกกันว่าโอซือขี้แย แต่ก็อย่างว่าแหละนะ ถูกแม่เฒ่าประกบตัวไม่ห่างมาตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่อย่างนี้ เจ้าหล่อนต้องทุกข์มรมานไม่น้อย น่าสงสารจริง”
“เห็นแม่เฒ่าบอกว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของลูกชาย ข้าก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าเป็นธรรมดาของแม่ผัวกับลูกสะใภ้ แต่ดูท่าที่หลวงพี่ห่วงกังวลแล้ว โอซือคงถูกแม่เฒ่ากลั่นแกล้งเอาจริง ๆ จะด้วยความโกรธแค้นหรือชิงชังก็ตามที”
“พานางขึ้นไปบนภูเขายามค่ำมืดอย่างนี้ น่าจะเกินการกลั่นแกล้งกันฉันแม่ผัวลูกสะใภ้อย่างที่เจ้าว่าเสียแล้ว ดูท่าแล้ว ดีไม่ดีแม่เฒ่าอาจมีแผนกำจัดนางเสียก็ได้ ผู้หญิงนี่ช่างร้ายกาจเสียจริง”
“หลวงพี่อย่าเหมารวมแม่เฒ่าคนนี้เข้าไปในพวกผู้หญิงเลย เห็นใจพวกเจ้าหล่อนบ้างเถอะ คงไม่มีใครอยากเป็นพวกเดียวกับแกแน่”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้วไม่ว่าใครต่างมีความร้ายกาจกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย พอดีแม่เฒ่าแกมีมากเท่านั้นเอง”
“หลวงพี่เป็นพระเลยไม่ชอบผู้หญิงจริง ๆ ด้วย แต่เมื่อกี้หลวงพี่บอกเองนะว่าแม่เฒ่าเป็นคนดี”
“แม่เฒ่าเป็นคนดีจริง ๆ นะ เจ้าไม่เห็นหรอกรึว่านางไปสวดลูกประคำเบื้องหน้าพระโพธ์สัตว์คันนอนที่วัด คิโยมิซุทุกวัน นับว่านางใกล้ชิดกับพระโพธ์สัตว์องค์นี้มาก”
“จริงด้วย ข้าเห็นแม่เฒ่าท่องนะโมพึมพำอยู่ตลอด”
“ใช่ไหม คนแก่วัดแก่วาเชื่อถือเลื่อมใสเคร่งศาสนาอย่างแม่เฒ่าผู้นี้มีอยู่มากมายในโลกเรา อยู่นอกบ้านก็ระรานทำชั่วทำเลว อิจฉาริษยาว่าร้ายป้ายสีใครเขาไปทั่วแต่พอกลับเข้าบ้านก็พนมมือท่องนะโม จิตใจใฝ่หาแต่อบายมุขทั้งที่เข้าวัดสวดมนตร์เป็นประจำ ชกต่อยตบตีพาลพาโลไม่เลือกหน้า พอป่วนจนสมใจแล้วก็พนมมือท่องนะโม พวกนี้หลงผิดกันทั้งนั้น คิดว่าสวดมนตร์ไหว้พระแล้วความชั่วความเลวจะมลายหายสิ้น ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อาตมาสุดแสนจะเวทนาคนถือสากปากถือศีลพวกนี้นัก”
ว่าแล้ว พระทากูอันก็ออกเดินดุ่มเข้าไปในความมืด มุ่งหน้าไปตามเสียงน้ำตกในหุบเหว
“วู้ ๆ โอซือ”
2
มาตาฮาจิ สะดุ้งเฮือก ร้องเรียกแม่เสียงหลง
“ใคร แม่ ได้ยินไหม”
แม่เฒ่าโอซูงิก็ได้ยินเสียงเรียกนั้นเช่นกัน นางเบิกตาโพลงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ใครหว่า”
นางกระซิบกับตัวเอง แต่ยังไม่คลายอุ้งมือที่ขยุ้มผมดำสนิทของศพและมืออีกข้างกำมีดสั้นคู่ใจเอาไว้แน่น
“มันเรียกหาโอซือน่ะแม่ นั่นไง เรียกอีกแล้ว”
“เสียงใคร เจ้าจำไม่ได้รึ ถ้าจะมีคนมาเรียกหาโอซือ ข้าว่าคงมีเจ้าหนุ่มโจทาโร คนเดียวละมัง”
“แต่เสียงผู้ใหญ่นะแม่”
“เอ จะว่าไป ชักคุ้นหูยังไงไม่รู้”
“ไม่ได้การแล้วแม่ เรื่องตัดหัวเห็นทีจะต้องเอาไว้ก่อน ใครไม่รู้ถือโคมไฟลงมาที่นี่ จวนจะถึงอยู่แล้ว”
“ลงมาตรงนี้รึ”
“ใช่ มากันสองคน รีบไปกันเถอะแม่ ถ้ามันลงมาเห็นเราสภาพนี้ ต้องจบแน่”
แม่ลูกที่ปกติศรศิลป์ไม่กินกัน แต่พอคับขันก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
เมื่อเห็นลูกร้อนรนกระวนกระวาย แม่ที่ตั้งสติได้ก่อนก็รั้งเอาไว้
“เราทำสำเร็จมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้หนีทั้งที่ไม่มีหัวนางแพศยาติดมือกลับไปด้วย แล้วเราจะเอาอะไรไปเป็นหลักฐานยืนยันชาวบ้านร้านถิ่นได้ล่ะว่า เราฆ่านางโอซือกอบกู้วงตระกูลฮนอิเด็นของเรากลับคืนมาดังเดิมแล้ว รอเดี๋ยว เชื่อมือข้าเถอะ”
“แม่”
มาตาฮาจิเรียกแม่ด้วยเสียงคล้ายคราง และมองตามไป
แม่เฒ่าคุกเข่าลงบนพื้นที่หักใบหญ้าลงมาปูไว้ เอาคมมีดจ่อลงที่คอศพ มาตาฮาจิเบือนหน้าด้วยไม่อาจทนดูอยู่ได้
---แต่ ทันใดนั้นเอง แม่เฒ่าก็ร้องอุทานออกมาไม่เป็นภาษา ปล่อยปอยผมที่ดึงศีรษะศพขึ้นมาพร้อมกับผงะเสียหลัก ต้องเอามือทั้งสองยันพื้นดินเอาไว้ นัยตาฝ้าฟางทั้งคู่เบิกโพลง
“เฮ้ย ไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่”
แม่เฒ่าร้องเสียงสั่น โบกมือไปมา ทำท่าจะยังตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ
“อะไรแม่ เกิดอะไรขึ้น”
“ด...ดูนี่”
“ไหน อะไร”
“นี่มันไม่ใช่โอซือ ศพนี่เป็นใครไม่รู้ ขอทาน หรือไม่ก็คนเจ็บไข้ใกล้ตาย”
“น่าจะเป็นพวกซามูไรไร้นายมากกว่า”
มาตาฮาจิชะโงกลงไปดูใบหน้าด้านข้างและรูปร่างของศพใกล้ ๆ แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด
“แม่ ไอ้หมอนี่ข้ารู้จัก
“ว่าไงนะ เจ้ารู้จักมันรึ”
“ใช่ ไอ้นี่มันพวกสิบแปดมงกุฏ ชื่ออากาคาเบะ ยาโซมะ เคยหลอกเอาเงินข้าไปจนหมดตัว และเป็นไงมายังไงไอ้ยาโซมะจอมกะล่อนถึงได้มาอยู่แถวนี้”
ต่อให้มาตาฮาจิคิดยังไงก็คิดไม่ออก นอกเสียจากว่าอาโอกิ ทันซาเอมอน พระวณิพกที่อาศัยอยู่ในวิหารเก่าแก่ที่หุบเขาโคมัตสึ หรือไม่ก็อาเกมิที่กำลังจะถูกเจ้ายาโซมะขย้ำจมเขี้ยวจะเผอิญผ่านมาช่วยบอกให้ นอกจากนั้นก็มีสวรรค์เท่านั้นที่รู้ แต่จะให้สวรรค์มาตอบเรื่องจองมนุษย์เดนตายไร้ค่าคนนี้ก็ออกจะมากไป
“ใครอยู่ตรงนั้น โอซือใช่ไหม”
เสียงของพระทากูอันดังกังวานขึ้นข้างหลังสองแม่ลูกพร้อมกับกับเงาวูบวาบที่เกิดจากแสงโคมไฟ
มาตาฮาจิถนัดเรื่องเผ่นหนีเอาตัวรอดอยู่แล้ว กว่าแม่เฒ่าจะยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาได้เจ้าลูกชายก็เตลิดไปไกลลิบ
พระทากูอันก้าวเข้าไปประชิดตัวแม่เฒ่าสารพัดพิษแล้วจับคอเสื้อรั้งเอาไว้
“แม่เฒ่าโอซูงิ”
3
“ไอ้ที่หนีไปน่ะมาตาฮาจิไม่ใช่รึ เอ๊ะ แล้วทิ้งแม่ไปได้ยังไง จะหนีไปไหนไอ้คนขี้ขลาด ไอ้ลูกอกตัญญู หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ”
พระทากูอันตะโกนเสียงดังไล่หลังเจ้าหนุ่มขี้ขลาด อกตัญญูเข้าไปในความมืด
แม่เฒ่าดิ้นขลุกขลักอยู่ในใต้เข่าที่หลวงพี่ใช้กดตัวนางเอาเว้
“เจ้าเป็นใครถึงได้บังอาจมาทำกับข้าแบบนี้”
แม่เฒ่ายังไม่สิ้นฤทธิ์ง่าย ๆ
พระทากูอันเห็นว่ามาตาฮาจิคงไม่ย้อนกลับมาแน่ จึงผ่อนแรงที่จับนางเอาไว้เพื่อจะได้เจรจากันดี ๆ
“แม่เฒ่าจำอาตมาไม่ได้รึ หรือว่าหลงลืมเพราะแก่ชรา”
“อ๋อ หลวงพี่ทากูอัน”
“ตกใจมากรึ”
“ทำไมข้าถึงต้องตกใจด้วย”
แม่เฒ่าสารพัดพิษสั่นหัวแรง ๆ จนผมขาวกระจายสะท้อนแสงโคมไฟเป็นเงาละเลื่อม
“ก็แค่พระวณิพกเดินทางพเนจรไร้จุดหมาย คราวนี้ลมเพลมพัดมาจนถึงเกียวโต แล้วยังไง”
“แม่เฒ่าพูดถูก”
พระทากูอันยิ้มน้อย ๆ
“อาตมาเตร็ดเตร่อยู่แถวหุบเขายากิวและแคว้นอิซูมิพักหนึ่ง เพิ่งมาถึงเกียวโตเมื่อคืนนี้เอง พอดีได้ยินข่าวไม่ค่อยดีจากเพื่อนที่อาตมาไปพักด้วย ก็เลยร้อนใจคิดว่าจะปล่อยเรื่องสำคัญอย่างนั้นเอาไว้โดยไม่ทำอะไรคงไม่ได้ ก็เลยออกตามหาแม่เฒ่าตั้งแต่พลบค่ำ”
“หลวงพี่มีธุระอะไรกับข้าฮึ”
“อาตมาคิดว่าพบแม่เฒ่าแล้วจะได้พบโอซือด้วย เพราะรู้ว่ามาด้วยกัน”
“งั้นรึ”
“แม่เฒ่า”
“อะไรรึ”
“โอซือไปไหนเสียล่ะ”
“ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้ได้ไง”
“เวลาไปไหนมาไหนข้าไม่ได้เอาเชือกผูกโอซือจูงไปด้วยนี่”
เจ้าของโรงเตี๊ยมถือโคมไฟยืนอยู่ข้างหลังร้องลั่น แล้วส่องโคมเข้าไปใกล้ศพ
“เฮ้ย หลวงพี่ ดูนั่นเลือดสด ๆ นองอยู่บนพื้น”
พระทากูอันมองตามมือชี้ แสงไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เครียดขึ้นทันที
แม่เฒ่าได้จังหวะจึงสลัดออกจากมือพระทากูอันที่เกาะกุมอยู่ แล้ววิ่งขโยกเขยกหนีเต็มฝีเท้า
พระทากูอันเหลียวหลังไปทางที่แม่เฒ่าหนีไป แล้วพูดเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำ
“ช้าก่อนแม่เฒ่าโอซูงิ โยมทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดมาก็เพื่อลบล้างมลทินให้แก่วงตระกูลไม่ใช่รึ โยมไม่คิดเลยรึว่าหากหนีกลับไปทั้งอย่างนี้มลทินก็จะยิ่งพอกพูนขึ้นไปอีก คราวนี้จะไปมองใครได้ยังไง แม่เฒ่าออกจากบ้านมาก็เพราะความรักที่มีต่อลูกชายสุดสวาท แล้วนี่จะหนีกลับไปโดยทิ้งให้ลูกชายต้องทุกข์ทรมานอยู่กับกรรมที่โยมเองเป็นคนกดดันให้ต้องทำอย่างนั้นรึ”
แม่เฒ่าได้ยินทุกถ้อยคำของพระทากูอันที่ดังก้องกังวานราวกับเสียงสวรรค์ตวาด นางหยุดกึกแต่ก็ยังไม่ลดทิษฐิ ขมวดคิ้วนิ่วหน้าที่ยับยู่ด้วยรอยย่นส่งเสียงเถียงมาไม่ลดละ
“ว่าไงนะ มลทินตระกูลข้าน่ะรึจะยิ่งพอกพูนขึ้นไปอีก ว่าข้ากดดันให้ลูกต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นรึ”
“ใช่”
“บ้ารึเปล่า”
นางหัวเราะเยาะ แล้วท้าวสะเอวด่าเอาเจ็บ ๆ
“อย่ามาทำพูดดี ตัวเองเป็นแค่พระวณิพกขอข้าวชาวบ้านกินไปวัน ๆ ถ่ายมูลตามท้องทุ่งท้องนา วัดของตัวเองก็ไม่มีต้องเที่ยวไปซุกหัวนอนตามวัดตามวาของคนอื่น ไม่รู้ว่าผู้คนเขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานแค่ไหน ยังมาทำสะเออะพูดถึงชื่อเสียงวงตระกูลบ้างละความรักลูกบ้างละ ถ้าอยากจะสั่งสอนอะไรให้คนเขาเชื่อเขานับถือ ก็ไปทำตัวเสียใหม่ก่อน ทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองอย่างที่คนอื่นเขาทำกันน่ะ ทำได้ไหม”
“ช่างพูดเสียดแทงได้ดีแท้ ในโลกนี้มีพระหลายคนที่อาตมาอยากขอยืมคำพูดโยมไปถ่ายทอดให้ฟังเหลือเกิน อาตมาสู้ปากของโยมไม่ได้มาตั้งแต่สมัยที่อาตมาไปอาศัยอยู่ที่วัดชิปโปจิแล้ว จนป่านนี้แล้วก็ยังปากจัดไม่หายเลยนะ”
“แน่นอน ข้าไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ไม่ได้แน่ เพราะยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอยู่อีกมากมายนัก ข้าไม่ได้ปากจัดอย่างเดียวนะจะบอกให้”
“เอาละ ๆ เรื่องอะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป เรามาพูดกันถึงเรื่องเฉพาะหน้าดีกว่า”
“เรื่องอะไร”
“แม่เฒ่าส่งมาตาฮาจิมาฆ่าโอซือใช่ไหม โยมกับลูกชายต้องร่วมมือกันฆ่าโอซือแน่”
แม่เฒ่าเตรียมตัวอยู่แล้วว่าจะต้องเจอไม้นี้ นางยื่นหน้าออกมาหัวเราะเสียงดัง
“หลวงพี่ทากูอัน ท่านจะถือโคมไฟเดินไปไหนก็ได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าท่านไม่ลืมตาโลกก็จะมืดมนอนธการอยู่อย่างนั้น ตาของท่านคืออะไร เครื่องประดับใบหน้ารึ หรือว่ารูกลวง ๆ ในกระโหลก“
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
พระชูโฮ ทากูอัน เดินทางธุดงค์ผ่านมาในละแวกนั้นพอดี
อาจบังเอิญด้วยโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต แต่ตัวพระทากูอันเองนั้นท่านใช้ชีวิตไปกับธรรมชาติ หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน ไม่ได้ยึดติดกับเรื่องเหล่านี้ แต่คืนนี้ดูหลวงพี่กระสับกระส่ายไม่กลมกลืนกับธรรมชาติเช่นเคย
“ว่าไง เจอไหม”
พระทากูอันร้องถามเข้าของโรงเตี๊ยมที่วิ่งพลางเอาหลังมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางเข้ามาใกล้
“ไม่เจอขอรับ หลวงพี่ ข้าหาจนทั่วแล้วไม่พบเลย”
“แปลกนะ”
“แปลกมากขอรับ”
“เจ้าฟังผิดรึเปล่า”
“ไม่ผิดแน่หลวงพี่ เมื่อเย็นนี้มีพระจากวิหารชิอันโด วัดคิโยมิซุเอาจดหมายมาให้ พออ่านเสร็จแม่เฒ่าก็รีบมาขอยืมโคมไฟแล้วบอกว่าจะไปที่ศาลเจ้าป่า”
“ค่ำมืดป่านนี้จะไปทำอะไรที่ศาลเจ้าป่า แปลกแท้ ๆ”
“แม่เฒ่าพูดคล้ายกับว่ามีใครสักคนนัดให้ไปพบที่นั่น”
“ถ้านัดกันจริง ๆ ก็น่าจะอยู่ตรงนั้นไม่ใช่รึ”
“ข้าไปดูมาแล้วไม่เห็นมีใครสักคน”
“เอ...มันยังไงกันล่ะนี่”
พระทากูอันกอดอกกเองคอคิด เจ้าของโรงเตี๊ยมทำตามพลางบอกแกมบ่น
“ศิษย์วัดคนคุมตะเกียงอยู่ข้างวิหารชิอันโดบอกว่าเห็นแม่เฒ่ากับสาวน้อยถือโคมไฟเดินขึ้นไปบนนั้น และไม่เห็นใครเดินลงเนินซันเน็นซากะไปเลยสักคน”
“นี่ไงที่อาตมาถึงได้เป็นห่วง สองคนนั่นอาจเดินลึกเข้าไปภูเขาหรือไม่ก็เดินไปทางอื่น”
“ทำไมหรือขอรับ”
“อาตมาสังหรณ์ใจอยู่ว่า แม่เฒ่าอาจใช้เล่ห์กลลวงโอซือขึ้นไปทำร้ายถึงแก่ชีวิตก็ได้ อาตมาเป็นห่วงจัง”
“อะไรกันหลวงพี่ แม่เฒ่าร้ายขนาดนั้นเลยรึ”
“ไม่หรอก นางเป็นคนดี”
“อ้าว ก็หลวงพี่พูดยังงั้นจะให้ข้าคิดยังไง ใช่ ๆ วันนี้ข้าเห็นโอซือร้องไห้อีกแล้ว”
“ไม่น่ามีอะไรนะ แม่สาวน้อยคนนี้บ่อน้ำตาตื้น ขนาดที่ใคร ๆ เขาเรียกกันว่าโอซือขี้แย แต่ก็อย่างว่าแหละนะ ถูกแม่เฒ่าประกบตัวไม่ห่างมาตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่อย่างนี้ เจ้าหล่อนต้องทุกข์มรมานไม่น้อย น่าสงสารจริง”
“เห็นแม่เฒ่าบอกว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของลูกชาย ข้าก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าเป็นธรรมดาของแม่ผัวกับลูกสะใภ้ แต่ดูท่าที่หลวงพี่ห่วงกังวลแล้ว โอซือคงถูกแม่เฒ่ากลั่นแกล้งเอาจริง ๆ จะด้วยความโกรธแค้นหรือชิงชังก็ตามที”
“พานางขึ้นไปบนภูเขายามค่ำมืดอย่างนี้ น่าจะเกินการกลั่นแกล้งกันฉันแม่ผัวลูกสะใภ้อย่างที่เจ้าว่าเสียแล้ว ดูท่าแล้ว ดีไม่ดีแม่เฒ่าอาจมีแผนกำจัดนางเสียก็ได้ ผู้หญิงนี่ช่างร้ายกาจเสียจริง”
“หลวงพี่อย่าเหมารวมแม่เฒ่าคนนี้เข้าไปในพวกผู้หญิงเลย เห็นใจพวกเจ้าหล่อนบ้างเถอะ คงไม่มีใครอยากเป็นพวกเดียวกับแกแน่”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้วไม่ว่าใครต่างมีความร้ายกาจกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย พอดีแม่เฒ่าแกมีมากเท่านั้นเอง”
“หลวงพี่เป็นพระเลยไม่ชอบผู้หญิงจริง ๆ ด้วย แต่เมื่อกี้หลวงพี่บอกเองนะว่าแม่เฒ่าเป็นคนดี”
“แม่เฒ่าเป็นคนดีจริง ๆ นะ เจ้าไม่เห็นหรอกรึว่านางไปสวดลูกประคำเบื้องหน้าพระโพธ์สัตว์คันนอนที่วัด คิโยมิซุทุกวัน นับว่านางใกล้ชิดกับพระโพธ์สัตว์องค์นี้มาก”
“จริงด้วย ข้าเห็นแม่เฒ่าท่องนะโมพึมพำอยู่ตลอด”
“ใช่ไหม คนแก่วัดแก่วาเชื่อถือเลื่อมใสเคร่งศาสนาอย่างแม่เฒ่าผู้นี้มีอยู่มากมายในโลกเรา อยู่นอกบ้านก็ระรานทำชั่วทำเลว อิจฉาริษยาว่าร้ายป้ายสีใครเขาไปทั่วแต่พอกลับเข้าบ้านก็พนมมือท่องนะโม จิตใจใฝ่หาแต่อบายมุขทั้งที่เข้าวัดสวดมนตร์เป็นประจำ ชกต่อยตบตีพาลพาโลไม่เลือกหน้า พอป่วนจนสมใจแล้วก็พนมมือท่องนะโม พวกนี้หลงผิดกันทั้งนั้น คิดว่าสวดมนตร์ไหว้พระแล้วความชั่วความเลวจะมลายหายสิ้น ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อาตมาสุดแสนจะเวทนาคนถือสากปากถือศีลพวกนี้นัก”
ว่าแล้ว พระทากูอันก็ออกเดินดุ่มเข้าไปในความมืด มุ่งหน้าไปตามเสียงน้ำตกในหุบเหว
“วู้ ๆ โอซือ”
2
มาตาฮาจิ สะดุ้งเฮือก ร้องเรียกแม่เสียงหลง
“ใคร แม่ ได้ยินไหม”
แม่เฒ่าโอซูงิก็ได้ยินเสียงเรียกนั้นเช่นกัน นางเบิกตาโพลงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ใครหว่า”
นางกระซิบกับตัวเอง แต่ยังไม่คลายอุ้งมือที่ขยุ้มผมดำสนิทของศพและมืออีกข้างกำมีดสั้นคู่ใจเอาไว้แน่น
“มันเรียกหาโอซือน่ะแม่ นั่นไง เรียกอีกแล้ว”
“เสียงใคร เจ้าจำไม่ได้รึ ถ้าจะมีคนมาเรียกหาโอซือ ข้าว่าคงมีเจ้าหนุ่มโจทาโร คนเดียวละมัง”
“แต่เสียงผู้ใหญ่นะแม่”
“เอ จะว่าไป ชักคุ้นหูยังไงไม่รู้”
“ไม่ได้การแล้วแม่ เรื่องตัดหัวเห็นทีจะต้องเอาไว้ก่อน ใครไม่รู้ถือโคมไฟลงมาที่นี่ จวนจะถึงอยู่แล้ว”
“ลงมาตรงนี้รึ”
“ใช่ มากันสองคน รีบไปกันเถอะแม่ ถ้ามันลงมาเห็นเราสภาพนี้ ต้องจบแน่”
แม่ลูกที่ปกติศรศิลป์ไม่กินกัน แต่พอคับขันก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
เมื่อเห็นลูกร้อนรนกระวนกระวาย แม่ที่ตั้งสติได้ก่อนก็รั้งเอาไว้
“เราทำสำเร็จมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้หนีทั้งที่ไม่มีหัวนางแพศยาติดมือกลับไปด้วย แล้วเราจะเอาอะไรไปเป็นหลักฐานยืนยันชาวบ้านร้านถิ่นได้ล่ะว่า เราฆ่านางโอซือกอบกู้วงตระกูลฮนอิเด็นของเรากลับคืนมาดังเดิมแล้ว รอเดี๋ยว เชื่อมือข้าเถอะ”
“แม่”
มาตาฮาจิเรียกแม่ด้วยเสียงคล้ายคราง และมองตามไป
แม่เฒ่าคุกเข่าลงบนพื้นที่หักใบหญ้าลงมาปูไว้ เอาคมมีดจ่อลงที่คอศพ มาตาฮาจิเบือนหน้าด้วยไม่อาจทนดูอยู่ได้
---แต่ ทันใดนั้นเอง แม่เฒ่าก็ร้องอุทานออกมาไม่เป็นภาษา ปล่อยปอยผมที่ดึงศีรษะศพขึ้นมาพร้อมกับผงะเสียหลัก ต้องเอามือทั้งสองยันพื้นดินเอาไว้ นัยตาฝ้าฟางทั้งคู่เบิกโพลง
“เฮ้ย ไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่”
แม่เฒ่าร้องเสียงสั่น โบกมือไปมา ทำท่าจะยังตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ
“อะไรแม่ เกิดอะไรขึ้น”
“ด...ดูนี่”
“ไหน อะไร”
“นี่มันไม่ใช่โอซือ ศพนี่เป็นใครไม่รู้ ขอทาน หรือไม่ก็คนเจ็บไข้ใกล้ตาย”
“น่าจะเป็นพวกซามูไรไร้นายมากกว่า”
มาตาฮาจิชะโงกลงไปดูใบหน้าด้านข้างและรูปร่างของศพใกล้ ๆ แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด
“แม่ ไอ้หมอนี่ข้ารู้จัก
“ว่าไงนะ เจ้ารู้จักมันรึ”
“ใช่ ไอ้นี่มันพวกสิบแปดมงกุฏ ชื่ออากาคาเบะ ยาโซมะ เคยหลอกเอาเงินข้าไปจนหมดตัว และเป็นไงมายังไงไอ้ยาโซมะจอมกะล่อนถึงได้มาอยู่แถวนี้”
ต่อให้มาตาฮาจิคิดยังไงก็คิดไม่ออก นอกเสียจากว่าอาโอกิ ทันซาเอมอน พระวณิพกที่อาศัยอยู่ในวิหารเก่าแก่ที่หุบเขาโคมัตสึ หรือไม่ก็อาเกมิที่กำลังจะถูกเจ้ายาโซมะขย้ำจมเขี้ยวจะเผอิญผ่านมาช่วยบอกให้ นอกจากนั้นก็มีสวรรค์เท่านั้นที่รู้ แต่จะให้สวรรค์มาตอบเรื่องจองมนุษย์เดนตายไร้ค่าคนนี้ก็ออกจะมากไป
“ใครอยู่ตรงนั้น โอซือใช่ไหม”
เสียงของพระทากูอันดังกังวานขึ้นข้างหลังสองแม่ลูกพร้อมกับกับเงาวูบวาบที่เกิดจากแสงโคมไฟ
มาตาฮาจิถนัดเรื่องเผ่นหนีเอาตัวรอดอยู่แล้ว กว่าแม่เฒ่าจะยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาได้เจ้าลูกชายก็เตลิดไปไกลลิบ
พระทากูอันก้าวเข้าไปประชิดตัวแม่เฒ่าสารพัดพิษแล้วจับคอเสื้อรั้งเอาไว้
“แม่เฒ่าโอซูงิ”
3
“ไอ้ที่หนีไปน่ะมาตาฮาจิไม่ใช่รึ เอ๊ะ แล้วทิ้งแม่ไปได้ยังไง จะหนีไปไหนไอ้คนขี้ขลาด ไอ้ลูกอกตัญญู หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ”
พระทากูอันตะโกนเสียงดังไล่หลังเจ้าหนุ่มขี้ขลาด อกตัญญูเข้าไปในความมืด
แม่เฒ่าดิ้นขลุกขลักอยู่ในใต้เข่าที่หลวงพี่ใช้กดตัวนางเอาเว้
“เจ้าเป็นใครถึงได้บังอาจมาทำกับข้าแบบนี้”
แม่เฒ่ายังไม่สิ้นฤทธิ์ง่าย ๆ
พระทากูอันเห็นว่ามาตาฮาจิคงไม่ย้อนกลับมาแน่ จึงผ่อนแรงที่จับนางเอาไว้เพื่อจะได้เจรจากันดี ๆ
“แม่เฒ่าจำอาตมาไม่ได้รึ หรือว่าหลงลืมเพราะแก่ชรา”
“อ๋อ หลวงพี่ทากูอัน”
“ตกใจมากรึ”
“ทำไมข้าถึงต้องตกใจด้วย”
แม่เฒ่าสารพัดพิษสั่นหัวแรง ๆ จนผมขาวกระจายสะท้อนแสงโคมไฟเป็นเงาละเลื่อม
“ก็แค่พระวณิพกเดินทางพเนจรไร้จุดหมาย คราวนี้ลมเพลมพัดมาจนถึงเกียวโต แล้วยังไง”
“แม่เฒ่าพูดถูก”
พระทากูอันยิ้มน้อย ๆ
“อาตมาเตร็ดเตร่อยู่แถวหุบเขายากิวและแคว้นอิซูมิพักหนึ่ง เพิ่งมาถึงเกียวโตเมื่อคืนนี้เอง พอดีได้ยินข่าวไม่ค่อยดีจากเพื่อนที่อาตมาไปพักด้วย ก็เลยร้อนใจคิดว่าจะปล่อยเรื่องสำคัญอย่างนั้นเอาไว้โดยไม่ทำอะไรคงไม่ได้ ก็เลยออกตามหาแม่เฒ่าตั้งแต่พลบค่ำ”
“หลวงพี่มีธุระอะไรกับข้าฮึ”
“อาตมาคิดว่าพบแม่เฒ่าแล้วจะได้พบโอซือด้วย เพราะรู้ว่ามาด้วยกัน”
“งั้นรึ”
“แม่เฒ่า”
“อะไรรึ”
“โอซือไปไหนเสียล่ะ”
“ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้ได้ไง”
“เวลาไปไหนมาไหนข้าไม่ได้เอาเชือกผูกโอซือจูงไปด้วยนี่”
เจ้าของโรงเตี๊ยมถือโคมไฟยืนอยู่ข้างหลังร้องลั่น แล้วส่องโคมเข้าไปใกล้ศพ
“เฮ้ย หลวงพี่ ดูนั่นเลือดสด ๆ นองอยู่บนพื้น”
พระทากูอันมองตามมือชี้ แสงไฟสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เครียดขึ้นทันที
แม่เฒ่าได้จังหวะจึงสลัดออกจากมือพระทากูอันที่เกาะกุมอยู่ แล้ววิ่งขโยกเขยกหนีเต็มฝีเท้า
พระทากูอันเหลียวหลังไปทางที่แม่เฒ่าหนีไป แล้วพูดเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำ
“ช้าก่อนแม่เฒ่าโอซูงิ โยมทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดมาก็เพื่อลบล้างมลทินให้แก่วงตระกูลไม่ใช่รึ โยมไม่คิดเลยรึว่าหากหนีกลับไปทั้งอย่างนี้มลทินก็จะยิ่งพอกพูนขึ้นไปอีก คราวนี้จะไปมองใครได้ยังไง แม่เฒ่าออกจากบ้านมาก็เพราะความรักที่มีต่อลูกชายสุดสวาท แล้วนี่จะหนีกลับไปโดยทิ้งให้ลูกชายต้องทุกข์ทรมานอยู่กับกรรมที่โยมเองเป็นคนกดดันให้ต้องทำอย่างนั้นรึ”
แม่เฒ่าได้ยินทุกถ้อยคำของพระทากูอันที่ดังก้องกังวานราวกับเสียงสวรรค์ตวาด นางหยุดกึกแต่ก็ยังไม่ลดทิษฐิ ขมวดคิ้วนิ่วหน้าที่ยับยู่ด้วยรอยย่นส่งเสียงเถียงมาไม่ลดละ
“ว่าไงนะ มลทินตระกูลข้าน่ะรึจะยิ่งพอกพูนขึ้นไปอีก ว่าข้ากดดันให้ลูกต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นรึ”
“ใช่”
“บ้ารึเปล่า”
นางหัวเราะเยาะ แล้วท้าวสะเอวด่าเอาเจ็บ ๆ
“อย่ามาทำพูดดี ตัวเองเป็นแค่พระวณิพกขอข้าวชาวบ้านกินไปวัน ๆ ถ่ายมูลตามท้องทุ่งท้องนา วัดของตัวเองก็ไม่มีต้องเที่ยวไปซุกหัวนอนตามวัดตามวาของคนอื่น ไม่รู้ว่าผู้คนเขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานแค่ไหน ยังมาทำสะเออะพูดถึงชื่อเสียงวงตระกูลบ้างละความรักลูกบ้างละ ถ้าอยากจะสั่งสอนอะไรให้คนเขาเชื่อเขานับถือ ก็ไปทำตัวเสียใหม่ก่อน ทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองอย่างที่คนอื่นเขาทำกันน่ะ ทำได้ไหม”
“ช่างพูดเสียดแทงได้ดีแท้ ในโลกนี้มีพระหลายคนที่อาตมาอยากขอยืมคำพูดโยมไปถ่ายทอดให้ฟังเหลือเกิน อาตมาสู้ปากของโยมไม่ได้มาตั้งแต่สมัยที่อาตมาไปอาศัยอยู่ที่วัดชิปโปจิแล้ว จนป่านนี้แล้วก็ยังปากจัดไม่หายเลยนะ”
“แน่นอน ข้าไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ไม่ได้แน่ เพราะยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอยู่อีกมากมายนัก ข้าไม่ได้ปากจัดอย่างเดียวนะจะบอกให้”
“เอาละ ๆ เรื่องอะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป เรามาพูดกันถึงเรื่องเฉพาะหน้าดีกว่า”
“เรื่องอะไร”
“แม่เฒ่าส่งมาตาฮาจิมาฆ่าโอซือใช่ไหม โยมกับลูกชายต้องร่วมมือกันฆ่าโอซือแน่”
แม่เฒ่าเตรียมตัวอยู่แล้วว่าจะต้องเจอไม้นี้ นางยื่นหน้าออกมาหัวเราะเสียงดัง
“หลวงพี่ทากูอัน ท่านจะถือโคมไฟเดินไปไหนก็ได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าท่านไม่ลืมตาโลกก็จะมืดมนอนธการอยู่อย่างนั้น ตาของท่านคืออะไร เครื่องประดับใบหน้ารึ หรือว่ารูกลวง ๆ ในกระโหลก“