xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลมตอนฆ่าไม่ลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
​คนอย่างแม่เฒ่าสารพัดพิษน่ะหรือจะพิรี้พิไรอยู่ได้นาน
​ไม่กี่อึดใจต่อมานางก็ปาดน้ำตาทิ้ง ขยับตัวที่ทรุดอยู่กับพื้นดินขึ้นมาเกรี้ยวกราดต่อ
​“มาตาฮาจิ ฟังข้าให้ดี ๆ ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด สิบปียี่สิบปีข้างหน้าโลกนี้ก็คงไม่มีข้าอยู่อีกแล้ว และเมื่อข้าตายไป ถึงอยากจะได้ยินเสียงข้า เจ้าก็จะไม่ได้ยินอีก”
เจ้าลูกชายยังเบือนหน้าไปทางอื่น ทำท่าให้เห็นชัดกันไปเลยว่าไม่อยากจะฟังคำพูดซ้ำซากของแม่
แม่เฒ่าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของลูกชายจึงลดเสียงให้อ่อนโยนลงจนเกือบเป็นปลอบโยน
​“โอซือไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวในโลกนะลูก อย่าไปมีเยื่อใยอะไรกับนางผู้หญิงอย่างนั้นอีกเลย ต่อแต่นี้ไปหากเจ้าได้พบกับหญิงใดที่หมายปอง ข้านี่แหละจะไปสู่ขอให้เจ้าเอง จะต้องไปที่บ้านของสาวคนนั้นกี่ร้อยกี่พันหนข้าก็จะไปจนกว่าพ่อแม่เขาจะยกให้ ส่วนสินสอดทองหมั้นข้าก็จะสรรหาไปให้ ถึงจะต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็ยอม”
​“... ... ...”
​“เว้นคนเดียวคือโอซือ ใครจะว่ายังไง ให้หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่ยอม และในนามของตระกูลฮนอิเด็นข้าไม่ยอมรับผู้หญิงคนนี้มาร่วมสกุลด้วยเด็ดขาด”
​“... ... ...”
​“ถ้าเจ้ายังยืนกรานว่าชีวิตเจ้าจะขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แล้วละก็ เอาดาบมาบั่นคอคอข้าเสียให้ตายคามือเดี๋ยวนี้เลย”
​“แม่ พอได้แล้ว”
มาตาฮาจิตวาดเสียงเขียว แม่เฒ่าโอซูงิชันเข่าขึ้นมาทำหน้าขึง ถลึงตาเข้าใส่
​“หนอยแน่ะ กล้าดียังไงถึงได้บังอาจขึ้นเสียงกับข้า”
​“ใครจะบังอาจ แค่อยากจะถามว่าคนที่จะมีเมียน่ะ ข้าหรือว่าแม่กันแน่”
​“ไม่ต้องมาประชดข้าเลยนะ”
​“แล้วทำไมข้าถึงจะเลือกเมียเองไม่ได้”
​“นี่ข้าต้องพูดยังไงเจ้าถึงจะเข้าใจ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะงี่เง่าได้ถึงขนาดนี้ อายุเท่าไรแล้วฮึ”
​“ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ถึงจะเป็นแม่แต่ก็เกินไปไหม คอยแต่จะบังคับปรับหมายให้ข้าทำโน่นทำนี่ไม่เคยเห็นใจข้าเลย”
​แม่ลูกคู่นี้ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของกันและกัน จะพูดอะไรกันทีไรอารมณ์มักจะมาก่อนคำพูดเสมอ สุดท้ายแทนที่จะเข้าใจกัน ก็กลับกลายเป็นการปะทะคารมกันอย่างเผ็ดร้อนแล้วสะบัดหน้าแยกกันไปคนละทาง ไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น สมัยอยู่ด้วยกันที่บ้านนอกก็เป็นอย่างนี้จนใคร ๆ เห็นเป็นเรื่องปกติวิสัย
​​“บังคับปรับหมายรึ ถามหน่อยเถอะว่าเจ้าเป็นลูกใคร ใครเป็นคนเบ่งให้เจ้าออกมาลืมตาดูโลก”
​“พอทีเถอะ เรื่องพวกนั้นพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าขอบอกแม่เอาไว้เป็นคำขาดเลยนะว่า ข้ารักโอซือและอยากอยู่กับโอซือไปจนวันตาย”
มาตาฮาจิเงยหน้าขึ้นพูดเสียงแข็งกร้าวกับท้องฟ้า เพราะไม่กล้าพอที่จะพูดใส่หน้าซีดขาวของแม่ตรง ๆ
​​“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงรึ”
แม่เฒ่าตัวสั่นเทิ้ม กระชากมีดสั้นที่เอวขึ้นมาจ่อที่คอหอย
​​“แม่ ทำอะไรน่ะ”
มาตาฮาจิร้องเสียงหลง
​​“ไม่ต้องห้าม จะได้หมดสิ้นกันเสียที คอยช่วยบั่นคอข้าให้ตายสนิทสมเกียรติตระกูลซามูไรเม่านั้นเป็นพอ”
​​“เสียสติไปแล้วรึ อย่าทำอย่างนี้กับข้าได้ไหม แม่คิดหรือว่าลูกอย่างข้าจะทนเห็นแม่ตายไปต่อหน้าได้”
​​“งั้นเจ้าก็ตัดใจจากโอซือเสีย แล้วเริ่มชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้น”
​“ถ้าอยากให้ข้าตัดใจจากโอซือ แล้วแม่พานางมาที่นี่ทำไม จงใจจะแกล้งให้ข้าช้ำใจเล่นอย่างนั้นรึ ข้าไม่เข้าใจแม่เลยจริง ๆ “
​“นางผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างโอซือ ถ้าข้าคิดจะฆ่าด้วยมือตัวเองก็ทำได้ไม่ยาก แต่ข้าอยากให้เจ้าเป็นคนปลิดชีวิตนางเองให้สาสมกับความแค้นที่ถูกนางทรยศนอกใจไปกับชายอื่น เจ้าน่าจะขอบใจข้าที่อุตส่าห์พานางมาถึงนี่ ทำไมไม่เห็นบุญคุณกันบ้าง
2
​​“แม่คิดจะให้ข้าฆ่าโอซืองั้นรึ”
​​“ไม่อยากรึไง”
​มาตาฮาจิตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดที่ราวกับเปล่งออกมาจากปากของปีศาจร้าย
​ไม่คิดมาก่อนว่าแม่ของตนจะมีความร้ายกาจปานนี้แฝงอยู่ในใจ
​​“ถ้าไม่อยากฆ่าเองก็บอกมา แล้วก็ทำใจไว้ได้เลยว่าข้าจะไม่ออมแรง”
​​“ต...แต่ แม่”
​“ยังจะมีเยื่อใยอยู่อีกใช่ไหม งั้นก็พอกันที คนอย่างเจ้าไม่ต้องมาลูกนับแม่กับข้า ถ้าบั่นคอนางหญิงแพศยาคนนั้นไม่ได้ ก็บั่นคอนางเฒ่านี่เสีย”
​ทีแรกอาจแค่ขู่ แต่ตอนนี้ถ้าจะเอาจริง
​แม่เฒ่ากระชับมีดในมือทำท่าจะแทงคอตาย

​พ่อแม่ปวดหัวกับลูกที่ดื้อดึงเอาแต่ใจ ส่วนพ่อแม่บทจะดื้อหัวชนฝาขึ้นมาก็ทำเอาลูกต้องปวดหัวไม่แพ้กัน
​แต่ดื้ออย่างแม่เฒ่าโอซูงิผู้นี้ดีไม่ดีอาจถึงกับเลือดตกยางออกได้ง่าย ๆ ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้วประกายตาของนางไม่ได้แสดงว่าไม่ได้แค่ขู่ขวัญลูกชายแน่นอน
​มาตาฮาจิตัวสั่น
​​“แม่...ใจเย็น ๆ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก พูดกันดี ๆ ก็ได้”
​​“ยังไง”
​​“ก็ตัดใจจากนางน่ะซี”
​​“แค่นั้นเองรึ”
​​“แม่อยากให้ข้าเก็บโอซือด้วยมือข้าเองไม่ใช่รึ จะมาซักไซ้อะไรอีก”
​​“เจ้าจะฆ่านางรึ”
​​“อือ จะฆ่าให้ดู”
​แม่เฒ่าน้ำตาไหลพรากด้วยความปลื้มใจ ปล่อยมีดสั้นร่วงลงจากมือแล้วคว้ามือทั้งคู่ของลูกชายมาบีบกุมไว้แน่น
​“ดีมากลูกรัก สมกับที่จะได้เป็นประมุขของตระกูลฮนอิเด็นในภายหน้า บรรพบุรุษของเราจะต้องภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชายของเจ้า”
​“แม่คิดอย่างนั้นจริง ๆ รึ”
​“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปจัดการนางหญิงแพศยาทันทีเลย ข้าสั่งให้นางรออยู่ที่หน้าจิริมาซูกะข้างล่างนั่น”
​“อือ ไปเดี๋ยวนี้ละ”
​“พอเข้าจัดการเสร็จ ข้าจะเขียนจดหมายแนบหัวนางโอซือส่งไปที่วัดชิปโปจิ แค่เสียงซุบซิบของชาวบ้านก็จะช่วยกู้หน้าเราเอาไว้อย่างน้อยก็กว่าครึ่ง และเมื่อเจ้ามูซาชิได้ข่าวว่าโอซือตาย มันก็จะต้องออกตามหาเราสองแม่ลูกจนพบ...มาตาฮาจิไปเลยสิ ข้าทนรอไม่ไหวแล้ว”
​“แม่จะรออยู่ที่นี่รึ”
​“ไม่หรอก ข้าจะตามไปแอบดูอยู่ใกล้ ๆ เพราะถ้าเห็นข้าเข้านางต้องเอะอะแน่ว่าถูกข้าหลอกมา”
​“ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวเอง”
มาตาฮาจิยันตัวลุกขึ้นยืนโอนเอน
​“แม่ รออยู่ตรงนี้แหละ ข้าจะเอาหัวโอซือขึ้นมาให้ ผู้หญิงคนเดียว ไม่ต้องห่วงหรอกว่าข้าจะปล่อยให้หลุดมือไป”
​“อย่าประมาทเลยทีเดียว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนั้นแหละ พอเห็นคมดาบเข้าก็จะฮึดสู้ ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน”
​“เอาเถอะน่า”
ว่าแล้ว มาตาฮาจิก็ออกเดินดุ่มไปยังจุดหมายโดยมีแม่เฒ่าโอซูงิเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง
​“มาตาฮาจิ อย่าประมาทนะเจ้า”
​“อ้าว แม่ ตามมาทำไม บอกให้รออยู่ตรงนั้นไง”
​“จิริมาซูกะอยู่ไกลลงไปทางโน้น”
​“รู้แล้วน่า”
มาตาฮาจิรำคาญเหลือทนจึงหันมาตวาด
​“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องไปถึงสองคน แต่ถ้าแม่จะไปให้ได้ข้าก็จะรออยู่ตรงนี้เอง”
​“อย่ามาทำโยกโย้ ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้ายังทำใจไม่ได้”
​“ข้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง จึงยากที่ทำใจให้จะฆ่าใครสักคนด้วยความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะฆ่าแมว”
​“ข้าเข้าใจ ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะลังเลเพราะถึงจะเป็นหญิงแพศยา แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจ้า...เอาเถอะ ถ้าคิดว่าข้าจะไปเกะกะละก็ เจ้าไปคนเดียวเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ ขอให้สำเร็จก็แล้วกัน”
มาตาฮาจิไม่ตอบ ได้แต่เดินกอดอกดุ่ม ๆ ลงไปตามทางลาดเนิน
3
​โอซือยืนรอแม่เฒ่าโอซูงิอยู่ที่หน้าชิริมาซึกะมาได้ครู่ใหญ่แล้ว
​นางคิดจะหนีอยู่เหมือนกันเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ แต่พอไตร่ตรองดูอีกทีก็นึกเสียดายว่าเวลาที่สู้อดทนมานานถึงยี่สิบวันจะหมดความหมายไปเปล่า ๆ
​​ทนอีกนิดเถอะนะ
​โอซือปลอบใจตนเอง ขณะเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้า ส่งใจไปถึงมูซาชิและโจทาโร
​และพอวาดภาพมูซาชิ ชายอันเป็นที่รักขึ้นในใจ ใจของนางก็วิบวับไปด้วยประกายแสงแห่งดวงดาวมากมายกว่าบนท้องฟ้าเสียอีก
​​อีกไม่นาน...
​โอซือนับความปรารถนาที่นางร้อยเรียงเอาไว้ในใจอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยอารมณ์ที่คล้ายกับกำลังเคลิ้มฝัน นึกไปถึงพูดของมูซาชิบนภูเขาชายแดนของแว่นแคว้น คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนางบนสะพาะฮานาดะ ทวนซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
​โอซือเชื่อจนหมดใจว่ามูซาชิจะมั่นคงกับสัญญาที่ให้ไว้กับนาง ไม่ว่าเดือนปีจะเคลื่อนคล้อยไปสักเท่าไร
​---แต่พอนึกถึงผู้หญิงที่ชื่ออาเกมิขึ้นมาเท่านั้นเอง โอซือก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เหมือนมีเงาดำทาบทับลงมาบนความปรารถนาของนาง แต่ก็เพียงชั่ววูบ เพราะตัวตนของผู้หญิงคนนั้นไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับความเชื่อมั่นสุดหัวใจที่นางมอบให้มูซาชิ...โอซือไม่ใส่ใจและไม่หมกมุ่น
​ทั้งที่ไม่ได้พบกัน ไม่ได้พูดจากันเลยนับตั้งแต่จากกันที่สะพานฮานาดะ แต่ทำไมเรายังมีความสุข หลวงพี่ทากูอันเคยออกปากว่าน่าสงสาร จึงออกจะสงสัยอยู่ว่าหลวงพี่คิดยังไงถึงได้มองความสุขของเราเป็นความทุกข์ไปได้
​โอซือมีความสุขอยู่กับการทำอะไร ๆ สนุกอยู่คนเดียวอย่างเวลานั่งเย็บผ้า หรือแม้แต่เวลาที่กำลังคอยคนที่ไม่อยากพบเจออยู่คนเดียวในความมืดและอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างในขณะนี้
​โครเห็นโอซือนั่งเหม่อมองฟ้า ขอให้รู้เถิดว่าใจนางกำลังเปี่ยมสุข
​​“โอซือ”
​นางสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก
​​ไม่ใช่แม่เฒ่านี่
​​“เอ๊ะ นั่นใคร”
​​“ข้าเอง”
​​“ข้าน่ะใคร”
​​“ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ”
​​“อะไรนะ”
​โอซือสะดุ้งอีก คราวนี้แทบจะตัวลอย
​​“มาตาฮาจิ ?”
​​“อะไรกัน ลืมเสียงข้าแล้วรึ”
​​“เสียงของมาตาฮาจิจริง ๆ ด้วย พบกับนายแม่บ้านใหญ่แล้วหรือยัง”
​“พบแล้ว ข้าให้แม่รออยู่ตรงโน้น โอซือ เจ้าไม่เปลี่ยนเลยนะ อยู่ที่วัดชิปโปจิเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”
​“มาตาฮาจิอยู่ตรงไหน มืดมากฉันมองไม่เห็น”
​“ข้าเข้าไปหาเจ้าใกล้ ๆ ได้ไหม เข้ามาซุ่มดูเจ้าอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งแล้ว เห็นยืนคิดอะไรอยู่จึงไม่อยากเข้าไปกวน...เจ้าคิดอะไรอยู่รึ”
​“ก็ไม่มีอะไรนะ”
​“ไม่คิดถึงข้าบ้างเลยรึ คงไม่เหมือนข้าที่คิดถึงเจ้าทุกวันไม่ได้ขาดแม้แต่วันเดียว”
​โอซือมองร่างมาตาฮาจิที่ย่างใกล้เข้ามาด้วยความหวั่นใจ เมื่อไม่เห็นแม่เฒ่าตามด้วย​
​​“นายแม่บ้านใหญ่เล่าอะไรให้ท่านฟังรึเปล่า”
​​“อือ ตอนอยู่ข้างบนนั่น”
​​“เรื่องฉัน”
​​“ใช่”
​โอซือโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คิดเอาเองว่าแม่เฒ่าคงปรับความเข้าใจกับลูกชายเกี่ยวกับเรื่องของนางเรียบร้อยแล้ว มาตาฮาจิจึงลงมาหานางคนเดียว
​​“ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงเข้าใจความรู้สึกของข้าดีแล้ว และข้าก็อยากขอร้องท่านด้วยตัวเองว่า ขอให้ลืมเรื่องในอดีตเสียให้หมดในคืนนี้ คิดเสียว่าดวงชะตาลิขิตให้เราไม่ได้เป็นคู่กัน”
4
​มาตาฮาจิฟังแล้วงงอยู่ ไม่รู้ว่าแม่กับโอซือตกลงอะไรกันไว้นางจึงได้พูดเช่นนั้นกับตน แต่เพราะรู้นิสัยเจ้าเล่ห์ของแม่เฒ่าดีจึงพอจะมองออกว่าโอซืออาจถูกนางหลอกเอาก็ได้
​​“เดี๋ยวก่อน โอซือ” เจ้าหนุ่มส่ายหน้า
​​“อย่าพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วได้ไหม ข้าสะเทือนใจ ข้ามันเลวนัก ไม่ควรแม้แต่จะแบกหน้ามาให้เจ้าเห็น ถ้าลืมได้อย่างที่เจ้าบอกข้าก็อยากจะลืม แต่ข้าก็ได้แต่คิดและไม่อาจลืมเจ้าได้ โอซือข้าทำใจให้ลืมเจ้าและตัดใจจากเจ้าไม่ได้จริง ๆ
​โอซือลำบากใจ และงงอยู่เหมือนกันว่าทำไมเรื่องถึงได้ย้อนแย้งกันอย่างนี้
​“มาตาฮาจิ เวลานี้ใจของเราสองคนมีช่องว่างระหว่างกัน ราวหุบเหวที่ลึกล้ำและกว้างเกินกว่าจะข้ามไปหากันอีกได้”
​​“และกาลเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านหุบเขานั้นไปนานถึงห้าปี”
​​“ใช่ กาลเวลาล่วงไปแล้วไม่มีวันย้อนคืนมาฉันใด เราก็ไม่อาจเรียกใจของเราในอดีตให้กลับคืนมาฉันนั้น”
​​“ไม่จริง เรียกคืนได้สิ โอซือ โอซือ”
​​“ไม่ได้”
​ใบหน้าและหางเสียงที่เยียบเย็นของโอซือทำเอามาตาฮาจินิ่งขึงตลึงไป
​ไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะมีความเยียบเย็นราวกับสัมผัสของหินอ่อน กับความคมเฉียบราวกับจะบาดนิ้วเมื่อเผลอไปแตะต้องโดยไม่ระวัง แฝงอยู่ในดวงหน้าสวยหวานของโอซือ ซึ่งเมื่อยามมีอารมณ์จะเปล่งประกายเปล่งปลั่งราวดอกไม้แดงกับแสงอาทิตย์แข่งกันสาดสีใส่อย่างบ้าคลั่ง
​ใบหน้าที่เยียบเย็นของโอซือทำให้มาตาฮาจิหวนคิดถึงวันเวลาที่นางมักจะนั่งเหม่อมองฟ้าอยู่ที่ระเบียงโบสถ์วัดชิปโปจิ
​---นึกถึงภาพของเด็กหญิงกำพร้าที่นั่งเหม่อมองฟ้าคิดอะไรเงียบ ๆ อยู่ที่ระเบียงโบสถ์ทั้งวันบางครั้งก็ครึ่งวัน มีแต่เมฆเท่านั้นที่เป็นทั้งแม่ ทั้งพ่อ ทั้งพี่น้องและเพื่อน ความเยียบเย็นคงจะเกิดจากการมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกเดียวดายมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง---มาตาฮาจิคิดแล้วใจสะท้าน
​เจ้าหนุ่มเขยิบเข้าไปใกล้ รวบรวมความกล้าด้วยความรู้สึกเดียวกันกับเมื่อกำลังจะยื่นนิ้วไปแตะกุหลาบขาวที่มีหนามแหลม
​​“เรามาตั้งต้นกันใหม่เถอะนะ”
มาตาฮาจิกระซิบเสียงสั่น
​​“นะโอซือ เราเรียกวันเวลาเก่าก่อนให้กลับคืนมาไม่ได้ก็จริง แต่เราสองคนเริ่มกันใหม่ได้นะ”
​​“มาตาฮาจิ ท่านจะเข้าใจอะไรผิด ๆ ไปถึงไหน ข้าไม่ได้พูดถึงวันเวลา แต่พูดถึงหัวใจ”
​“ก็นั่นแหละ จากนี้ไปข้าจะกลับตัวกลับใจไม่ทำอะไรอย่างนั้นอีก พูดไปก็จะหาว่าแก้ตัว แต่ชายหนุ่มไม่ว่าใครก็ต้องเคยผิดพลาดอย่างข้ากันทั้งนั้น ไม่ใช่รึ”
​​“ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง ข้าก็ไม่มีใจที่จะรับฟังคำของท่านอีกต่อไปแล้ว”
​“เออ ข้าผิดไปแล้ว ไอ้ชายชั่วคนนี้แบกหน้ามาขอโทษเจ้า โอซือ...เจ้ารู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่ผู้ชายต้องมาขอโทษผู้หญิงอย่างนี้”
​​“พอเถอะมาตาฮาจิ ท่านเองก็เป็นผู้ชายที่จะต้องอยู่ในสังคมของผู้ชายต่อไป จะมาหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนี้ไม่ได้”
​“แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของข้า จะให้ข้าคุกเข่าลงขอขมาข้าก็จะทำ เจ้าจะขอให้ข้าสาบานยังไงข้าก็จะสาบาน บอกมาเลยโอซือ”
​“ข้าไม่รู้อะไรด้วยแล้ว”
​“อย่าโกรธข้าเลยนะโอซือ ตรงนี้พูดกันไม่ถนัด เราไปหาที่อื่นคุยกันดีกว่า นะ ๆ ไปกันเถอะ”
​“ข้าไม่ไป”
​“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่มาก็จะยุ่งกันใหญ่ รีบไปเร็วเข้า...โอซือ ข้าฆ่าเจ้าไม่ลงหรอกนะ ข้าจะฆ่าเจ้าได้ยังไง”
มาตาฮาจิคว้ามือโอซือไปกุมไว้แต่นางสะบัดออกเต็มแรง
​“อย่ามายุ่งกับข้า ข้าไม่มีวันเดินทางสายเดียวกับท่านเด็ดขาด ถึงจะต้องตายก็ยอม”


กำลังโหลดความคิดเห็น