นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คนอย่างแม่เฒ่าสารพัดพิษน่ะหรือจะพิรี้พิไรอยู่ได้นาน
ไม่กี่อึดใจต่อมานางก็ปาดน้ำตาทิ้ง ขยับตัวที่ทรุดอยู่กับพื้นดินขึ้นมาเกรี้ยวกราดต่อ
“มาตาฮาจิ ฟังข้าให้ดี ๆ ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด สิบปียี่สิบปีข้างหน้าโลกนี้ก็คงไม่มีข้าอยู่อีกแล้ว และเมื่อข้าตายไป ถึงอยากจะได้ยินเสียงข้า เจ้าก็จะไม่ได้ยินอีก”
เจ้าลูกชายยังเบือนหน้าไปทางอื่น ทำท่าให้เห็นชัดกันไปเลยว่าไม่อยากจะฟังคำพูดซ้ำซากของแม่
แม่เฒ่าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของลูกชายจึงลดเสียงให้อ่อนโยนลงจนเกือบเป็นปลอบโยน
“โอซือไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวในโลกนะลูก อย่าไปมีเยื่อใยอะไรกับนางผู้หญิงอย่างนั้นอีกเลย ต่อแต่นี้ไปหากเจ้าได้พบกับหญิงใดที่หมายปอง ข้านี่แหละจะไปสู่ขอให้เจ้าเอง จะต้องไปที่บ้านของสาวคนนั้นกี่ร้อยกี่พันหนข้าก็จะไปจนกว่าพ่อแม่เขาจะยกให้ ส่วนสินสอดทองหมั้นข้าก็จะสรรหาไปให้ ถึงจะต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็ยอม”
“... ... ...”
“เว้นคนเดียวคือโอซือ ใครจะว่ายังไง ให้หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่ยอม และในนามของตระกูลฮนอิเด็นข้าไม่ยอมรับผู้หญิงคนนี้มาร่วมสกุลด้วยเด็ดขาด”
“... ... ...”
“ถ้าเจ้ายังยืนกรานว่าชีวิตเจ้าจะขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แล้วละก็ เอาดาบมาบั่นคอคอข้าเสียให้ตายคามือเดี๋ยวนี้เลย”
“แม่ พอได้แล้ว”
มาตาฮาจิตวาดเสียงเขียว แม่เฒ่าโอซูงิชันเข่าขึ้นมาทำหน้าขึง ถลึงตาเข้าใส่
“หนอยแน่ะ กล้าดียังไงถึงได้บังอาจขึ้นเสียงกับข้า”
“ใครจะบังอาจ แค่อยากจะถามว่าคนที่จะมีเมียน่ะ ข้าหรือว่าแม่กันแน่”
“ไม่ต้องมาประชดข้าเลยนะ”
“แล้วทำไมข้าถึงจะเลือกเมียเองไม่ได้”
“นี่ข้าต้องพูดยังไงเจ้าถึงจะเข้าใจ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะงี่เง่าได้ถึงขนาดนี้ อายุเท่าไรแล้วฮึ”
“ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ถึงจะเป็นแม่แต่ก็เกินไปไหม คอยแต่จะบังคับปรับหมายให้ข้าทำโน่นทำนี่ไม่เคยเห็นใจข้าเลย”
แม่ลูกคู่นี้ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของกันและกัน จะพูดอะไรกันทีไรอารมณ์มักจะมาก่อนคำพูดเสมอ สุดท้ายแทนที่จะเข้าใจกัน ก็กลับกลายเป็นการปะทะคารมกันอย่างเผ็ดร้อนแล้วสะบัดหน้าแยกกันไปคนละทาง ไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น สมัยอยู่ด้วยกันที่บ้านนอกก็เป็นอย่างนี้จนใคร ๆ เห็นเป็นเรื่องปกติวิสัย
“บังคับปรับหมายรึ ถามหน่อยเถอะว่าเจ้าเป็นลูกใคร ใครเป็นคนเบ่งให้เจ้าออกมาลืมตาดูโลก”
“พอทีเถอะ เรื่องพวกนั้นพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าขอบอกแม่เอาไว้เป็นคำขาดเลยนะว่า ข้ารักโอซือและอยากอยู่กับโอซือไปจนวันตาย”
มาตาฮาจิเงยหน้าขึ้นพูดเสียงแข็งกร้าวกับท้องฟ้า เพราะไม่กล้าพอที่จะพูดใส่หน้าซีดขาวของแม่ตรง ๆ
“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงรึ”
แม่เฒ่าตัวสั่นเทิ้ม กระชากมีดสั้นที่เอวขึ้นมาจ่อที่คอหอย
“แม่ ทำอะไรน่ะ”
มาตาฮาจิร้องเสียงหลง
“ไม่ต้องห้าม จะได้หมดสิ้นกันเสียที คอยช่วยบั่นคอข้าให้ตายสนิทสมเกียรติตระกูลซามูไรเม่านั้นเป็นพอ”
“เสียสติไปแล้วรึ อย่าทำอย่างนี้กับข้าได้ไหม แม่คิดหรือว่าลูกอย่างข้าจะทนเห็นแม่ตายไปต่อหน้าได้”
“งั้นเจ้าก็ตัดใจจากโอซือเสีย แล้วเริ่มชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้น”
“ถ้าอยากให้ข้าตัดใจจากโอซือ แล้วแม่พานางมาที่นี่ทำไม จงใจจะแกล้งให้ข้าช้ำใจเล่นอย่างนั้นรึ ข้าไม่เข้าใจแม่เลยจริง ๆ “
“นางผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างโอซือ ถ้าข้าคิดจะฆ่าด้วยมือตัวเองก็ทำได้ไม่ยาก แต่ข้าอยากให้เจ้าเป็นคนปลิดชีวิตนางเองให้สาสมกับความแค้นที่ถูกนางทรยศนอกใจไปกับชายอื่น เจ้าน่าจะขอบใจข้าที่อุตส่าห์พานางมาถึงนี่ ทำไมไม่เห็นบุญคุณกันบ้าง
2
“แม่คิดจะให้ข้าฆ่าโอซืองั้นรึ”
“ไม่อยากรึไง”
มาตาฮาจิตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดที่ราวกับเปล่งออกมาจากปากของปีศาจร้าย
ไม่คิดมาก่อนว่าแม่ของตนจะมีความร้ายกาจปานนี้แฝงอยู่ในใจ
“ถ้าไม่อยากฆ่าเองก็บอกมา แล้วก็ทำใจไว้ได้เลยว่าข้าจะไม่ออมแรง”
“ต...แต่ แม่”
“ยังจะมีเยื่อใยอยู่อีกใช่ไหม งั้นก็พอกันที คนอย่างเจ้าไม่ต้องมาลูกนับแม่กับข้า ถ้าบั่นคอนางหญิงแพศยาคนนั้นไม่ได้ ก็บั่นคอนางเฒ่านี่เสีย”
ทีแรกอาจแค่ขู่ แต่ตอนนี้ถ้าจะเอาจริง
แม่เฒ่ากระชับมีดในมือทำท่าจะแทงคอตาย
พ่อแม่ปวดหัวกับลูกที่ดื้อดึงเอาแต่ใจ ส่วนพ่อแม่บทจะดื้อหัวชนฝาขึ้นมาก็ทำเอาลูกต้องปวดหัวไม่แพ้กัน
แต่ดื้ออย่างแม่เฒ่าโอซูงิผู้นี้ดีไม่ดีอาจถึงกับเลือดตกยางออกได้ง่าย ๆ ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้วประกายตาของนางไม่ได้แสดงว่าไม่ได้แค่ขู่ขวัญลูกชายแน่นอน
มาตาฮาจิตัวสั่น
“แม่...ใจเย็น ๆ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก พูดกันดี ๆ ก็ได้”
“ยังไง”
“ก็ตัดใจจากนางน่ะซี”
“แค่นั้นเองรึ”
“แม่อยากให้ข้าเก็บโอซือด้วยมือข้าเองไม่ใช่รึ จะมาซักไซ้อะไรอีก”
“เจ้าจะฆ่านางรึ”
“อือ จะฆ่าให้ดู”
แม่เฒ่าน้ำตาไหลพรากด้วยความปลื้มใจ ปล่อยมีดสั้นร่วงลงจากมือแล้วคว้ามือทั้งคู่ของลูกชายมาบีบกุมไว้แน่น
“ดีมากลูกรัก สมกับที่จะได้เป็นประมุขของตระกูลฮนอิเด็นในภายหน้า บรรพบุรุษของเราจะต้องภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชายของเจ้า”
“แม่คิดอย่างนั้นจริง ๆ รึ”
“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปจัดการนางหญิงแพศยาทันทีเลย ข้าสั่งให้นางรออยู่ที่หน้าจิริมาซูกะข้างล่างนั่น”
“อือ ไปเดี๋ยวนี้ละ”
“พอเข้าจัดการเสร็จ ข้าจะเขียนจดหมายแนบหัวนางโอซือส่งไปที่วัดชิปโปจิ แค่เสียงซุบซิบของชาวบ้านก็จะช่วยกู้หน้าเราเอาไว้อย่างน้อยก็กว่าครึ่ง และเมื่อเจ้ามูซาชิได้ข่าวว่าโอซือตาย มันก็จะต้องออกตามหาเราสองแม่ลูกจนพบ...มาตาฮาจิไปเลยสิ ข้าทนรอไม่ไหวแล้ว”
“แม่จะรออยู่ที่นี่รึ”
“ไม่หรอก ข้าจะตามไปแอบดูอยู่ใกล้ ๆ เพราะถ้าเห็นข้าเข้านางต้องเอะอะแน่ว่าถูกข้าหลอกมา”
“ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวเอง”
มาตาฮาจิยันตัวลุกขึ้นยืนโอนเอน
“แม่ รออยู่ตรงนี้แหละ ข้าจะเอาหัวโอซือขึ้นมาให้ ผู้หญิงคนเดียว ไม่ต้องห่วงหรอกว่าข้าจะปล่อยให้หลุดมือไป”
“อย่าประมาทเลยทีเดียว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนั้นแหละ พอเห็นคมดาบเข้าก็จะฮึดสู้ ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน”
“เอาเถอะน่า”
ว่าแล้ว มาตาฮาจิก็ออกเดินดุ่มไปยังจุดหมายโดยมีแม่เฒ่าโอซูงิเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง
“มาตาฮาจิ อย่าประมาทนะเจ้า”
“อ้าว แม่ ตามมาทำไม บอกให้รออยู่ตรงนั้นไง”
“จิริมาซูกะอยู่ไกลลงไปทางโน้น”
“รู้แล้วน่า”
มาตาฮาจิรำคาญเหลือทนจึงหันมาตวาด
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องไปถึงสองคน แต่ถ้าแม่จะไปให้ได้ข้าก็จะรออยู่ตรงนี้เอง”
“อย่ามาทำโยกโย้ ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้ายังทำใจไม่ได้”
“ข้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง จึงยากที่ทำใจให้จะฆ่าใครสักคนด้วยความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะฆ่าแมว”
“ข้าเข้าใจ ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะลังเลเพราะถึงจะเป็นหญิงแพศยา แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจ้า...เอาเถอะ ถ้าคิดว่าข้าจะไปเกะกะละก็ เจ้าไปคนเดียวเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ ขอให้สำเร็จก็แล้วกัน”
มาตาฮาจิไม่ตอบ ได้แต่เดินกอดอกดุ่ม ๆ ลงไปตามทางลาดเนิน
3
โอซือยืนรอแม่เฒ่าโอซูงิอยู่ที่หน้าชิริมาซึกะมาได้ครู่ใหญ่แล้ว
นางคิดจะหนีอยู่เหมือนกันเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ แต่พอไตร่ตรองดูอีกทีก็นึกเสียดายว่าเวลาที่สู้อดทนมานานถึงยี่สิบวันจะหมดความหมายไปเปล่า ๆ
ทนอีกนิดเถอะนะ
โอซือปลอบใจตนเอง ขณะเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้า ส่งใจไปถึงมูซาชิและโจทาโร
และพอวาดภาพมูซาชิ ชายอันเป็นที่รักขึ้นในใจ ใจของนางก็วิบวับไปด้วยประกายแสงแห่งดวงดาวมากมายกว่าบนท้องฟ้าเสียอีก
อีกไม่นาน...
โอซือนับความปรารถนาที่นางร้อยเรียงเอาไว้ในใจอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยอารมณ์ที่คล้ายกับกำลังเคลิ้มฝัน นึกไปถึงพูดของมูซาชิบนภูเขาชายแดนของแว่นแคว้น คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนางบนสะพาะฮานาดะ ทวนซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
โอซือเชื่อจนหมดใจว่ามูซาชิจะมั่นคงกับสัญญาที่ให้ไว้กับนาง ไม่ว่าเดือนปีจะเคลื่อนคล้อยไปสักเท่าไร
---แต่พอนึกถึงผู้หญิงที่ชื่ออาเกมิขึ้นมาเท่านั้นเอง โอซือก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เหมือนมีเงาดำทาบทับลงมาบนความปรารถนาของนาง แต่ก็เพียงชั่ววูบ เพราะตัวตนของผู้หญิงคนนั้นไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับความเชื่อมั่นสุดหัวใจที่นางมอบให้มูซาชิ...โอซือไม่ใส่ใจและไม่หมกมุ่น
ทั้งที่ไม่ได้พบกัน ไม่ได้พูดจากันเลยนับตั้งแต่จากกันที่สะพานฮานาดะ แต่ทำไมเรายังมีความสุข หลวงพี่ทากูอันเคยออกปากว่าน่าสงสาร จึงออกจะสงสัยอยู่ว่าหลวงพี่คิดยังไงถึงได้มองความสุขของเราเป็นความทุกข์ไปได้
โอซือมีความสุขอยู่กับการทำอะไร ๆ สนุกอยู่คนเดียวอย่างเวลานั่งเย็บผ้า หรือแม้แต่เวลาที่กำลังคอยคนที่ไม่อยากพบเจออยู่คนเดียวในความมืดและอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างในขณะนี้
โครเห็นโอซือนั่งเหม่อมองฟ้า ขอให้รู้เถิดว่าใจนางกำลังเปี่ยมสุข
“โอซือ”
นางสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก
ไม่ใช่แม่เฒ่านี่
“เอ๊ะ นั่นใคร”
“ข้าเอง”
“ข้าน่ะใคร”
“ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ”
“อะไรนะ”
โอซือสะดุ้งอีก คราวนี้แทบจะตัวลอย
“มาตาฮาจิ ?”
“อะไรกัน ลืมเสียงข้าแล้วรึ”
“เสียงของมาตาฮาจิจริง ๆ ด้วย พบกับนายแม่บ้านใหญ่แล้วหรือยัง”
“พบแล้ว ข้าให้แม่รออยู่ตรงโน้น โอซือ เจ้าไม่เปลี่ยนเลยนะ อยู่ที่วัดชิปโปจิเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”
“มาตาฮาจิอยู่ตรงไหน มืดมากฉันมองไม่เห็น”
“ข้าเข้าไปหาเจ้าใกล้ ๆ ได้ไหม เข้ามาซุ่มดูเจ้าอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งแล้ว เห็นยืนคิดอะไรอยู่จึงไม่อยากเข้าไปกวน...เจ้าคิดอะไรอยู่รึ”
“ก็ไม่มีอะไรนะ”
“ไม่คิดถึงข้าบ้างเลยรึ คงไม่เหมือนข้าที่คิดถึงเจ้าทุกวันไม่ได้ขาดแม้แต่วันเดียว”
โอซือมองร่างมาตาฮาจิที่ย่างใกล้เข้ามาด้วยความหวั่นใจ เมื่อไม่เห็นแม่เฒ่าตามด้วย
“นายแม่บ้านใหญ่เล่าอะไรให้ท่านฟังรึเปล่า”
“อือ ตอนอยู่ข้างบนนั่น”
“เรื่องฉัน”
“ใช่”
โอซือโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คิดเอาเองว่าแม่เฒ่าคงปรับความเข้าใจกับลูกชายเกี่ยวกับเรื่องของนางเรียบร้อยแล้ว มาตาฮาจิจึงลงมาหานางคนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงเข้าใจความรู้สึกของข้าดีแล้ว และข้าก็อยากขอร้องท่านด้วยตัวเองว่า ขอให้ลืมเรื่องในอดีตเสียให้หมดในคืนนี้ คิดเสียว่าดวงชะตาลิขิตให้เราไม่ได้เป็นคู่กัน”
4
มาตาฮาจิฟังแล้วงงอยู่ ไม่รู้ว่าแม่กับโอซือตกลงอะไรกันไว้นางจึงได้พูดเช่นนั้นกับตน แต่เพราะรู้นิสัยเจ้าเล่ห์ของแม่เฒ่าดีจึงพอจะมองออกว่าโอซืออาจถูกนางหลอกเอาก็ได้
“เดี๋ยวก่อน โอซือ” เจ้าหนุ่มส่ายหน้า
“อย่าพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วได้ไหม ข้าสะเทือนใจ ข้ามันเลวนัก ไม่ควรแม้แต่จะแบกหน้ามาให้เจ้าเห็น ถ้าลืมได้อย่างที่เจ้าบอกข้าก็อยากจะลืม แต่ข้าก็ได้แต่คิดและไม่อาจลืมเจ้าได้ โอซือข้าทำใจให้ลืมเจ้าและตัดใจจากเจ้าไม่ได้จริง ๆ
โอซือลำบากใจ และงงอยู่เหมือนกันว่าทำไมเรื่องถึงได้ย้อนแย้งกันอย่างนี้
“มาตาฮาจิ เวลานี้ใจของเราสองคนมีช่องว่างระหว่างกัน ราวหุบเหวที่ลึกล้ำและกว้างเกินกว่าจะข้ามไปหากันอีกได้”
“และกาลเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านหุบเขานั้นไปนานถึงห้าปี”
“ใช่ กาลเวลาล่วงไปแล้วไม่มีวันย้อนคืนมาฉันใด เราก็ไม่อาจเรียกใจของเราในอดีตให้กลับคืนมาฉันนั้น”
“ไม่จริง เรียกคืนได้สิ โอซือ โอซือ”
“ไม่ได้”
ใบหน้าและหางเสียงที่เยียบเย็นของโอซือทำเอามาตาฮาจินิ่งขึงตลึงไป
ไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะมีความเยียบเย็นราวกับสัมผัสของหินอ่อน กับความคมเฉียบราวกับจะบาดนิ้วเมื่อเผลอไปแตะต้องโดยไม่ระวัง แฝงอยู่ในดวงหน้าสวยหวานของโอซือ ซึ่งเมื่อยามมีอารมณ์จะเปล่งประกายเปล่งปลั่งราวดอกไม้แดงกับแสงอาทิตย์แข่งกันสาดสีใส่อย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าที่เยียบเย็นของโอซือทำให้มาตาฮาจิหวนคิดถึงวันเวลาที่นางมักจะนั่งเหม่อมองฟ้าอยู่ที่ระเบียงโบสถ์วัดชิปโปจิ
---นึกถึงภาพของเด็กหญิงกำพร้าที่นั่งเหม่อมองฟ้าคิดอะไรเงียบ ๆ อยู่ที่ระเบียงโบสถ์ทั้งวันบางครั้งก็ครึ่งวัน มีแต่เมฆเท่านั้นที่เป็นทั้งแม่ ทั้งพ่อ ทั้งพี่น้องและเพื่อน ความเยียบเย็นคงจะเกิดจากการมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกเดียวดายมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง---มาตาฮาจิคิดแล้วใจสะท้าน
เจ้าหนุ่มเขยิบเข้าไปใกล้ รวบรวมความกล้าด้วยความรู้สึกเดียวกันกับเมื่อกำลังจะยื่นนิ้วไปแตะกุหลาบขาวที่มีหนามแหลม
“เรามาตั้งต้นกันใหม่เถอะนะ”
มาตาฮาจิกระซิบเสียงสั่น
“นะโอซือ เราเรียกวันเวลาเก่าก่อนให้กลับคืนมาไม่ได้ก็จริง แต่เราสองคนเริ่มกันใหม่ได้นะ”
“มาตาฮาจิ ท่านจะเข้าใจอะไรผิด ๆ ไปถึงไหน ข้าไม่ได้พูดถึงวันเวลา แต่พูดถึงหัวใจ”
“ก็นั่นแหละ จากนี้ไปข้าจะกลับตัวกลับใจไม่ทำอะไรอย่างนั้นอีก พูดไปก็จะหาว่าแก้ตัว แต่ชายหนุ่มไม่ว่าใครก็ต้องเคยผิดพลาดอย่างข้ากันทั้งนั้น ไม่ใช่รึ”
“ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง ข้าก็ไม่มีใจที่จะรับฟังคำของท่านอีกต่อไปแล้ว”
“เออ ข้าผิดไปแล้ว ไอ้ชายชั่วคนนี้แบกหน้ามาขอโทษเจ้า โอซือ...เจ้ารู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่ผู้ชายต้องมาขอโทษผู้หญิงอย่างนี้”
“พอเถอะมาตาฮาจิ ท่านเองก็เป็นผู้ชายที่จะต้องอยู่ในสังคมของผู้ชายต่อไป จะมาหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนี้ไม่ได้”
“แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของข้า จะให้ข้าคุกเข่าลงขอขมาข้าก็จะทำ เจ้าจะขอให้ข้าสาบานยังไงข้าก็จะสาบาน บอกมาเลยโอซือ”
“ข้าไม่รู้อะไรด้วยแล้ว”
“อย่าโกรธข้าเลยนะโอซือ ตรงนี้พูดกันไม่ถนัด เราไปหาที่อื่นคุยกันดีกว่า นะ ๆ ไปกันเถอะ”
“ข้าไม่ไป”
“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่มาก็จะยุ่งกันใหญ่ รีบไปเร็วเข้า...โอซือ ข้าฆ่าเจ้าไม่ลงหรอกนะ ข้าจะฆ่าเจ้าได้ยังไง”
มาตาฮาจิคว้ามือโอซือไปกุมไว้แต่นางสะบัดออกเต็มแรง
“อย่ามายุ่งกับข้า ข้าไม่มีวันเดินทางสายเดียวกับท่านเด็ดขาด ถึงจะต้องตายก็ยอม”