นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เสียงน้ำตกดังซู่ซ่า น้ำไม่ได้บ่าแต่เพราะความเงียบสงัดในยามค่ำเสียงจึงก้องสะท้อนไปทั่วป่าลึก
“นั่นไง ป้ายที่ปักอยู่โคนต้นไม้นั่นเขียนไว้ว่าต้นซากุระเจ้าป่า ถ้าอย่างนั้นศาลเจ้าข้างหน้าก็คือศาลเจ้าป่า”
หญิงสาวคนชราคนเดินขึ้นเขามาตามทางข้างวัดคิโยมิซุจนเห็นศาลเจ้าเก่าแก่อยู่ไกล ๆ
แม้หญิงชราไม่ปริปากบ่นสักคำว่าเหนื่อยจนแทบหายใจจะไม่ทันอยู่แล้ว แต่ก็รู้ได้จากเสียงสั่นเครือที่ร้องเรียกหาลูกชาย เข้าไปในความมืดมิดของศาลเจ้า
ใบหน้าเหี่ยวย่นและน้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความรักจากใจแม่ สะท้อนให้โอซือที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของแม่เฒ่าที่ได้ชื่อว่าสารพัดพิษคนนี้
“โอซือ ระวังดี ๆ อย่าให้โคมไฟดับทีเดียว”
“เจ้าค่ะ”
“ไม่อยู่ ลูกชายข้าไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกรึ”
แม่เฒ่าพึมพำพลางเดินกระย่องกระแย่งไปรอบ ๆ ศาลเจ้า
“ก็เขียนมาในจดหมายนี่นา ว่าให้ข้าขึ้นมาที่ศาลเจ้าเขา”
“เขียนว่าให้มาคืนนี้ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ”
“ไม่ได้เขียนหรอกว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรือว่าเมื่อไร ให้ตายสิลูกคนนี้ อายุอานามก็ปูนนี้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ร่ำไป เมื่อไรจะโตสักทีก็ไม่รู้...น่าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเสียก็สิ้นเรื่อง แทนที่จะมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้ หรือว่ายังละอายใจกับเรื่องที่ซูมิโยชิก็ไม่รู้”
โอซือรั้งชายเสื้อแม่เฒ่าเอาไว้
“ใครไม่รู้กำลังเดินขึ้นมา ใช่มาตาฮาจิหรือเปล่าก็ไม่รู้นะเจ้าคะ”
“ไหน...มาแล้วรึ”
แม่เฒ่าเขม้นมองไปที่ทางเดินขึ้นเขาและตะโกนเรียกลูกชายเสียงดังลั่น
แต่ใครคนนั้นพอเดินขึ้นมาถึงยอดเนินก็เดินอ้อมไปข้างหลังศาลเจ้าป่า โดยไม่สนใจมองแม่เฒ่าผู้สำคัญผิดคิดว่าตนเป็นลูกชาย
ไม่นานก็กลับมายืนจ้องมองหน้าขาวนวลของโอซือภายใต้แสงจากโคมไฟอย่างไม่เกรงใจ
โอซืออุทานเบา ๆ อยู่ในใจ เมื่อครู่ก่อนไม่ทันสังเกตเพราะเห็นผ่านตาไปเพียงแวบเดียว แต่พอได้เห็นหน้ากันในระยะประชิดเช่นนี้นางก็จำได้ทันทีว่าเคยพบชายผู้นี้ที่เชิงสะพานโกโจ แต่สำหรับซาซากิ โคจิโร นางคือผู้หญิงแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง
“มืดค่ำแล้ว นางกับแม่เฒ่าขึ้นมาทำอะไรที่นี่ฮึ”
“... ... ...”
โอซือและแม่เฒ่าโอซูงิตะลึงมองหนุ่มรูปงามแต่งกายโอ่อ่าฉูดฉาดนำสมัย ที่อยู่ ๆ ก็ทักถามขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทั้งยังชี้หน้าโอซือตรง ๆ และบอกว่า
“ข้ากำลังตามหาผู้หญิงชื่ออาเกมิ อายุอานามประมาณแม่คนนี้ หน้ากลมกว่านิดท้วมกว่าหน่อย เป็นชาวนครหลวงที่เติบโตขึ้นมาในร้านน้ำชา ท่าทางแก่แดดเกินวัย เจ้าเห็นนางอยู่แถวนี้บ้างหรือไม่”
“... ... ...”
โอซือและแม่เฒ่าส่ายหน้า
“ถ้างั้นก็แปลก มีคนเห็นนางอยู่ที่เชิงเนินซันเน็นซากะ ข้าจึงคิดว่าคงจะขึ้นมาหาที่นอนศาลเจ้านี่”
หนุ่มรูปงามทิ้งท้ายคล้ายรำพึงกับตัวเอง และทำท่าคล้ายกับว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ ก่อนพึมพำอะไรอีกสองสามคำแล้วเดินหายไปในความมืดโดยไม่ร่ำลา
เชอะ แม่เฒ่าทำเสียงไล่หลังไป
“สะพายดาบดูทะมัดทะแมงเป็นชายชาตินักรบดีอยู่หรอก แต่ดูการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วไม่ผิดอะไรกับไอ้พวกเจ้าชู้เที่ยวผู้หญิงเสเพลไปวัน ๆ ดูทีรึ กลางค่ำกลางคืนยังตามก้นผู้หญิงขึ้นมาถึงที่นี่...ไปให้พ้นน่ะดีแล้ว ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”
ส่วนโอซือนึกขึ้นมาได้ว่า
ใช่แล้ว ต้องเป็นผู้หญิงที่เดินหลงเข้ามาที่โรงเตี๊ยมเมื่อกี้นี้แน่เลย
แล้ว...มูซาชิ อาเกมิ โคจิโร...สามคนนี่เกี่ยวข้องกันตรงไหนหรือ
นึกเท่าไรก็ไม่เข้าใจ โอซือจึงได้แต่เหม่อมองไปในทิศทางที่เห็นโคจิโรเดินหายลับไป
“กลับกันดีกว่า”
แม่เฒ่าชวนด้วยเสียงแหบแห้งสิ้นกำลังใจแล้วออกเดินนำหน้าลงเนิน นึกน้อยใจลูกชายที่บอกให้มาที่ศาลเจ้าป่า แท้ ๆ แต่ก็ไม่กลับไม่เห็นหัว
เสียงน้ำตกซู่ซ่าเสียดแทงขุมขนเข้าไปหนาวเหน็บอยู่ในอก
2
โอซือกับแม่เฒ่าโอซูงิเดินลงเขามาได้พักหนึ่งก็พบกับโคจิโรอีกครั้งที่หน้าซุ้มประตูฮนงันโดของวัดคิโยมิซุ
“... ... ...”
แต่ก็ต่างเดินสวนกันไปเงียบ ๆ
พอเดินพ้นมาแล้วและเหลียวไปดู แม่เฒ่าก็เห็นเจ้าหนุ่มเดินจากเจดีชิอันโดมุ่งไปทางเนินซันเน็นซากะและเดินตรงลงไป
“ตาดุดันเหลือเกิน...คล้ายเจ้ามูซาชิมาก”
แม่เฒ่าพึมพำยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างผอมเกร็งและคุ้มงอก็สะดุ้งแทบตัวลอยเมื่อชายตาไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง และอุทานออกมาเหมือนนกฮูกที่ตื่นตระหนก
ใครคนหนึ่งแฝงตัวอยู่หลังต้นสนใหญ่และกวักมือไหว ๆ
แม้ตาของแม่เฒ่าจะฝ้าฟางและรอบ ๆ บริเวณนั้นจะมืดสลัว แต่นางก็รู้ว่าต้องใช่มาตาฮาจิ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแน่นอนและคิดว่าไม่ได้ตาฝาดไปที่เห็นดวงตาทั้งคู่นั้นส่งประกายตาวิบวับ
นางอ่านใจลูกชายออกว่าอยากเจอนางคนเดียว จึงร้องบอกโอซือที่เดินลงเนินนำหน้าไปสองสามก้าวว่า
“โอซือ เจ้าเดินล่วงหน้าข้าไปก่อนเถิดแต่อย่าให้ไกลนัก ไปรอที่จิริมาซูกะก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าตามไป”
โอซือพยักหน้ารับคำและก้าวเดินต่อไปอย่างว่าง่าย โดยมีเสียงของแม่เท้าร้องสำทับไล่หลังมา
“แล้วก็อย่างคิดหนีไปไหนเป็นอันขาด จำไว้เลยว่าแม่เฒ่าคนนี้ไม่มีวันละสายตาจากเจ้าแม้แต่พริบตาเดี๋ยว ขืนคิดหนี เป็นได้เห็นดีกัน เข้าใจนะ”
ว่าแล้วแม่เฒ่าก็วิ่งปราดไปที่ต้นสนใหญ่ต้นนั้นทันที
“มาตาฮาจิใช่ไหม”
“แม่...”
เจ้าหนุ่มที่เฝ้าคอยอยู่นานมากแล้ว ยื่นมือออกมาจากความมืดและจับมือแม่เฒ่าไว้แน่น
“ไปทำอะไรอยู่หลังต้นไม้นั่น ตายละ ทำไมมือเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างนี้ล่ะ”
แม่เฒ่าดุทั้งที่หัวใจแห้งเหี่ยวด้วยความเวทนาจนน้ำตาแทบจะหยด
มาตาฮาจิทำตาหลุกหลิกมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ไม่สนใจว่าแม่จะดุด่าว่าอย่างไร
“ก็ข้าต้องซ่อนตัวน่ะซี แม่เห็นคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้นี้ใช่ไหม”
“ใครรึ”
“เจ้าหนุ่มตาดุที่สะพายดาบยาวพาดหลังไง”
“เจ้ารู้จักหมอนั่นด้วยรึ”
“รู้จักสิ ชื่อซาซากิ โคจิโร ข้าถูกเจ้านั่นเล่นงานแทบแย่เมื่อสองวันก่อนที่ทุ่งมัตสึบาระ”
“ซาซากิ โคจิโรรึ เป็นไปได้ยังไง ก็เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าซาซากิ โคจิโรเป็นชื่อของเจ้า”
“อะไรนะ”
“ก็ตอนเจอกันที่โอซากา เจ้าเอาม้วนใบปริญญาที่ได้รับมาจากสำนักดาบนากาโจออกมาอวดข้า และบอกว่า ซาซากิ โคจิโรเป็นชื่อที่เจ้าใช้ในสำนักดาบยังละ”
“แม่ ข้าขอโทษ ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ตอนนี้เรื่องที่ข้าสวมรอยเป็นซาซากิ โคจิโรถูกเปิดโปงออกมาหมดแล้ว และข้าก็โดนซาซากิ โคจิโรสั่งสอนเสียบอบช้ำจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด วันนี้ข้าเขียนจดหมายวานให้คนไปส่งให้ถึงมือแม่และกำลังจะขึ้นไปยังที่นัดพบ ก็พอดีเห็นเจ้าหมอนั่นเดินผ่านมาทางนี้ ก็เลยหลบไปทางนั้นทางนี้ดูเชิงหมอนั่นอยู่ เพราะถ้าถูกจับได้เป็นต้องเจ็บตัวอีกแน่
ไปหรือยังก็ไม่รู้นะเน่ะ ถ้าเกิดกลับมาอีกละก็แย่เลย...”
“... ... ...”
แม่เฒ่าตกตะลึงเมื่อได้ยินความจริงจากปากลูกชายสุดสวาท พูดอะไรไม่ออกได้แต่กรอกตาไปมา แต่พอเห็นสภาพร่างกายที่ผ่ายผอมไม่มีสง่าราศีของมาตาฮาจิ หน้าตาซีดเซียว ตาละห้อย บ่งบอกถึงความอ่อนแอไร้พลกำลังทั้งกายและใจ ใจของแม่เฒ่าก็สะท้อนสะเทือนใจด้วยความรักและเวทนายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเหลือประมาณ
3
“เรื่องพวกนั้นข้าไม่สนใจ จะเป็นยังไงก็ชั่ง”
แม่เฒ่าทนฟังเสียงอ่อย ๆ ของลูกชายอีกต่อไปจึงสะบัดหน้าพรืด
“นี่แน่ะ มาตาฮาจิ อย่ามัวแต่พร่ำเพ้อเรื่องอื่นอยู่เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าอากงตายแล้ว”
“อะไรนะแม่ อากงน่ะเหรอตายแล้ว”
“ข้าจะโกหกเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมาฮึ อากงตายที่ชายหาดซูมิโยชิหลังจากแยกทางกับเจ้าได้ไม่นาน ตายอยู่ที่ชายหาดนั่นแหละ”
“ข้าไม่รู้เลย โธ่อากง”
“ใช่ มาตาฮาจิ เจ้าไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้อากงต้องตายอย่างน่าอนาถ และไม่รู้ด้วยว่าทำไมข้าต้องออกเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศ ทั้งที่แก่ชราและจิตใจที่สลดหดหู่เช่นนี้”
“คำดุด่าสั่งสอนของแม่ที่ข้านั่งคุกเข่าฟังกับพื้นดินเย็นเฉียบเมื่อครั้งพบกันที่โอซากา ยังตราตรึงประทับใจข้ามาจนทุกวันนี้ “
“ก็ดีที่ยังจำได้ไม่ลืม ครั้งนี้แม่มีข่าวดีที่จะทำให้เจ้าดีใจ”
“อะไรหรือแม่”
“ก็โอซือน่ะซี”
“จริงเหรอ งั้นผู้หญิงที่เดินมากับแม่ แล้วเดินล่วงหน้าไปทางโน้นก็คือนาง”
มาตาฮาจิลิงโลด ก้าวถลันออกมาจากหลังต้นไม่ใหญ่
“เดี๋ยวก่อน เจ้าจะไปไหน”
“ก็ไปหาโอซือน่ะซี คิดถึงจัง แม่ให้ข้าไปหานางนะ”
แม่เฒ่าพยักหน้าอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นลูกชายลุกลี้ลุกลน
“ที่ข้าพานางมาถึงที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้พบนางไงเล่า...แต่มาตาฮาจิ บอกข้าได้ไหมว่าพบกับโอซือแล้วเจ้าจะทำยังไง”
“ข้าก็จะขอโทษนางเป็นอย่างแรกเลย บอกว่าข้ามันเลว ผิดไปแล้ว ยกโทษให้มาตาฮาจิเถิดนะโอซือ”
“แล้วยังไง”
“แล้วข้าก็จะบอกนางว่าข้าจะไม่ทำอะไรชั่ว ๆ อย่างนั้นอีก แม่ช่วยข้าพูดอีกแรงหนึ่งด้วยนะ ข้าขอร้อง”
“แล้วไงอีก”
“ข้าจะขอให้เรากลับมาคบกันดังเดิม”
“ยังไง”
“ก็กลับมาเป็นคู่หมั้นกันแล้วก็แต่งงานกันไง ข้าอยากสร้างครอบครัวกับโอซือ แต่แม่...โอซือยังมีเยื่อใยกับข้าเหมือนแต่ก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”
มาตาฮาจิไม่ทันจะพูดจบดี แม่เฒ่าก็ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด
“บ้า บ้าที่สุด”
และตบหน้าลูกชายฉาดใหญ่ มาตาฮาจิผงะ ทำหน้าฉงนพลางยกมือขึ้นคลำแก้ม
“อะ...อะไรอ่ะแม่”
แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหน้าแม่
ตั้งแต่หย่านมจนถึงวันนี้เจ้าหนุ่มไม่เคยเห็นแม่ทำหน้าน่ากลัวอย่างนี้มาก่อน
“เจ้าเพิ่งบอกเดี๋ยวนี้เองไม่ใช่รึว่าคำพูดของข้าที่โอซากายังตราตรึงใจไม่เคยลืม”
“... ... ...”
“แล้วใครสอนใครสั่งให้เจ้าไปขอโทษนางหญิงแพศยาคนนั้น เจ้าจะต้องไปขอโทษขอขมามันทำไม นางผู้หญิงใจง่ายที่ทำให้ตระกูลฮนอิเด็นของเราต้องแปดเปื้อน ต่อให้ล้างแค้นถึงเจ็ดชั่วโคตรก็ไม่หมดหรอกจะบอกให้ คิดสิคิด นางผู้หญิงคนนี้มีเจ้าเป็นคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคนยังทิ้งได้ลงคอ และหนีไปกับใคร ไม่ใช่กับไอ้เพื่อนตัวดีของเจ้ารึสารเลวทั้งคู่”
“... ... ...”
“เห็นชัด ๆ ว่าเป็นนางปีศาจหลายใจอย่างนี้แล้ว เจ้ายังจะยอมก้มหัวขอโทษได้อีกรึ ใจเจ้าทำด้วยอะไร ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ”
แม่เฒ่าขยุ้มคอเสื้อลูกชายเขย่าแรง ๆ จนอีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอน
มาตาฮาจิปล่อยให้แม่ดุด่าและทำอะไรตามใจชอบ และพอหลับตาลงน้ำตาก็ร่วงพรู
“อะไร”
แม่เฒ่าทำเสียงแหวเมื่อเห็นน้ำตาลูกชาย
“ร้องไห้ทำไม ยังโหยหาอาวรณ์นางปีศาจหลายใจถึงกับร้องไห้เชียวรึ ถ้าตัดใจจากนางนั่นไม่ขาดก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าแม่”
แม่เฒ่าผลักลูกชายเต็มแรงลงไปกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น และทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้อยู่ด้วยกันสองแม่ลูก
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เสียงน้ำตกดังซู่ซ่า น้ำไม่ได้บ่าแต่เพราะความเงียบสงัดในยามค่ำเสียงจึงก้องสะท้อนไปทั่วป่าลึก
“นั่นไง ป้ายที่ปักอยู่โคนต้นไม้นั่นเขียนไว้ว่าต้นซากุระเจ้าป่า ถ้าอย่างนั้นศาลเจ้าข้างหน้าก็คือศาลเจ้าป่า”
หญิงสาวคนชราคนเดินขึ้นเขามาตามทางข้างวัดคิโยมิซุจนเห็นศาลเจ้าเก่าแก่อยู่ไกล ๆ
แม้หญิงชราไม่ปริปากบ่นสักคำว่าเหนื่อยจนแทบหายใจจะไม่ทันอยู่แล้ว แต่ก็รู้ได้จากเสียงสั่นเครือที่ร้องเรียกหาลูกชาย เข้าไปในความมืดมิดของศาลเจ้า
ใบหน้าเหี่ยวย่นและน้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความรักจากใจแม่ สะท้อนให้โอซือที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของแม่เฒ่าที่ได้ชื่อว่าสารพัดพิษคนนี้
“โอซือ ระวังดี ๆ อย่าให้โคมไฟดับทีเดียว”
“เจ้าค่ะ”
“ไม่อยู่ ลูกชายข้าไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกรึ”
แม่เฒ่าพึมพำพลางเดินกระย่องกระแย่งไปรอบ ๆ ศาลเจ้า
“ก็เขียนมาในจดหมายนี่นา ว่าให้ข้าขึ้นมาที่ศาลเจ้าเขา”
“เขียนว่าให้มาคืนนี้ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ”
“ไม่ได้เขียนหรอกว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรือว่าเมื่อไร ให้ตายสิลูกคนนี้ อายุอานามก็ปูนนี้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ร่ำไป เมื่อไรจะโตสักทีก็ไม่รู้...น่าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเสียก็สิ้นเรื่อง แทนที่จะมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้ หรือว่ายังละอายใจกับเรื่องที่ซูมิโยชิก็ไม่รู้”
โอซือรั้งชายเสื้อแม่เฒ่าเอาไว้
“ใครไม่รู้กำลังเดินขึ้นมา ใช่มาตาฮาจิหรือเปล่าก็ไม่รู้นะเจ้าคะ”
“ไหน...มาแล้วรึ”
แม่เฒ่าเขม้นมองไปที่ทางเดินขึ้นเขาและตะโกนเรียกลูกชายเสียงดังลั่น
แต่ใครคนนั้นพอเดินขึ้นมาถึงยอดเนินก็เดินอ้อมไปข้างหลังศาลเจ้าป่า โดยไม่สนใจมองแม่เฒ่าผู้สำคัญผิดคิดว่าตนเป็นลูกชาย
ไม่นานก็กลับมายืนจ้องมองหน้าขาวนวลของโอซือภายใต้แสงจากโคมไฟอย่างไม่เกรงใจ
โอซืออุทานเบา ๆ อยู่ในใจ เมื่อครู่ก่อนไม่ทันสังเกตเพราะเห็นผ่านตาไปเพียงแวบเดียว แต่พอได้เห็นหน้ากันในระยะประชิดเช่นนี้นางก็จำได้ทันทีว่าเคยพบชายผู้นี้ที่เชิงสะพานโกโจ แต่สำหรับซาซากิ โคจิโร นางคือผู้หญิงแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง
“มืดค่ำแล้ว นางกับแม่เฒ่าขึ้นมาทำอะไรที่นี่ฮึ”
“... ... ...”
โอซือและแม่เฒ่าโอซูงิตะลึงมองหนุ่มรูปงามแต่งกายโอ่อ่าฉูดฉาดนำสมัย ที่อยู่ ๆ ก็ทักถามขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทั้งยังชี้หน้าโอซือตรง ๆ และบอกว่า
“ข้ากำลังตามหาผู้หญิงชื่ออาเกมิ อายุอานามประมาณแม่คนนี้ หน้ากลมกว่านิดท้วมกว่าหน่อย เป็นชาวนครหลวงที่เติบโตขึ้นมาในร้านน้ำชา ท่าทางแก่แดดเกินวัย เจ้าเห็นนางอยู่แถวนี้บ้างหรือไม่”
“... ... ...”
โอซือและแม่เฒ่าส่ายหน้า
“ถ้างั้นก็แปลก มีคนเห็นนางอยู่ที่เชิงเนินซันเน็นซากะ ข้าจึงคิดว่าคงจะขึ้นมาหาที่นอนศาลเจ้านี่”
หนุ่มรูปงามทิ้งท้ายคล้ายรำพึงกับตัวเอง และทำท่าคล้ายกับว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ ก่อนพึมพำอะไรอีกสองสามคำแล้วเดินหายไปในความมืดโดยไม่ร่ำลา
เชอะ แม่เฒ่าทำเสียงไล่หลังไป
“สะพายดาบดูทะมัดทะแมงเป็นชายชาตินักรบดีอยู่หรอก แต่ดูการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วไม่ผิดอะไรกับไอ้พวกเจ้าชู้เที่ยวผู้หญิงเสเพลไปวัน ๆ ดูทีรึ กลางค่ำกลางคืนยังตามก้นผู้หญิงขึ้นมาถึงที่นี่...ไปให้พ้นน่ะดีแล้ว ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”
ส่วนโอซือนึกขึ้นมาได้ว่า
ใช่แล้ว ต้องเป็นผู้หญิงที่เดินหลงเข้ามาที่โรงเตี๊ยมเมื่อกี้นี้แน่เลย
แล้ว...มูซาชิ อาเกมิ โคจิโร...สามคนนี่เกี่ยวข้องกันตรงไหนหรือ
นึกเท่าไรก็ไม่เข้าใจ โอซือจึงได้แต่เหม่อมองไปในทิศทางที่เห็นโคจิโรเดินหายลับไป
“กลับกันดีกว่า”
แม่เฒ่าชวนด้วยเสียงแหบแห้งสิ้นกำลังใจแล้วออกเดินนำหน้าลงเนิน นึกน้อยใจลูกชายที่บอกให้มาที่ศาลเจ้าป่า แท้ ๆ แต่ก็ไม่กลับไม่เห็นหัว
เสียงน้ำตกซู่ซ่าเสียดแทงขุมขนเข้าไปหนาวเหน็บอยู่ในอก
2
โอซือกับแม่เฒ่าโอซูงิเดินลงเขามาได้พักหนึ่งก็พบกับโคจิโรอีกครั้งที่หน้าซุ้มประตูฮนงันโดของวัดคิโยมิซุ
“... ... ...”
แต่ก็ต่างเดินสวนกันไปเงียบ ๆ
พอเดินพ้นมาแล้วและเหลียวไปดู แม่เฒ่าก็เห็นเจ้าหนุ่มเดินจากเจดีชิอันโดมุ่งไปทางเนินซันเน็นซากะและเดินตรงลงไป
“ตาดุดันเหลือเกิน...คล้ายเจ้ามูซาชิมาก”
แม่เฒ่าพึมพำยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างผอมเกร็งและคุ้มงอก็สะดุ้งแทบตัวลอยเมื่อชายตาไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง และอุทานออกมาเหมือนนกฮูกที่ตื่นตระหนก
ใครคนหนึ่งแฝงตัวอยู่หลังต้นสนใหญ่และกวักมือไหว ๆ
แม้ตาของแม่เฒ่าจะฝ้าฟางและรอบ ๆ บริเวณนั้นจะมืดสลัว แต่นางก็รู้ว่าต้องใช่มาตาฮาจิ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแน่นอนและคิดว่าไม่ได้ตาฝาดไปที่เห็นดวงตาทั้งคู่นั้นส่งประกายตาวิบวับ
นางอ่านใจลูกชายออกว่าอยากเจอนางคนเดียว จึงร้องบอกโอซือที่เดินลงเนินนำหน้าไปสองสามก้าวว่า
“โอซือ เจ้าเดินล่วงหน้าข้าไปก่อนเถิดแต่อย่าให้ไกลนัก ไปรอที่จิริมาซูกะก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าตามไป”
โอซือพยักหน้ารับคำและก้าวเดินต่อไปอย่างว่าง่าย โดยมีเสียงของแม่เท้าร้องสำทับไล่หลังมา
“แล้วก็อย่างคิดหนีไปไหนเป็นอันขาด จำไว้เลยว่าแม่เฒ่าคนนี้ไม่มีวันละสายตาจากเจ้าแม้แต่พริบตาเดี๋ยว ขืนคิดหนี เป็นได้เห็นดีกัน เข้าใจนะ”
ว่าแล้วแม่เฒ่าก็วิ่งปราดไปที่ต้นสนใหญ่ต้นนั้นทันที
“มาตาฮาจิใช่ไหม”
“แม่...”
เจ้าหนุ่มที่เฝ้าคอยอยู่นานมากแล้ว ยื่นมือออกมาจากความมืดและจับมือแม่เฒ่าไว้แน่น
“ไปทำอะไรอยู่หลังต้นไม้นั่น ตายละ ทำไมมือเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างนี้ล่ะ”
แม่เฒ่าดุทั้งที่หัวใจแห้งเหี่ยวด้วยความเวทนาจนน้ำตาแทบจะหยด
มาตาฮาจิทำตาหลุกหลิกมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ไม่สนใจว่าแม่จะดุด่าว่าอย่างไร
“ก็ข้าต้องซ่อนตัวน่ะซี แม่เห็นคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้นี้ใช่ไหม”
“ใครรึ”
“เจ้าหนุ่มตาดุที่สะพายดาบยาวพาดหลังไง”
“เจ้ารู้จักหมอนั่นด้วยรึ”
“รู้จักสิ ชื่อซาซากิ โคจิโร ข้าถูกเจ้านั่นเล่นงานแทบแย่เมื่อสองวันก่อนที่ทุ่งมัตสึบาระ”
“ซาซากิ โคจิโรรึ เป็นไปได้ยังไง ก็เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าซาซากิ โคจิโรเป็นชื่อของเจ้า”
“อะไรนะ”
“ก็ตอนเจอกันที่โอซากา เจ้าเอาม้วนใบปริญญาที่ได้รับมาจากสำนักดาบนากาโจออกมาอวดข้า และบอกว่า ซาซากิ โคจิโรเป็นชื่อที่เจ้าใช้ในสำนักดาบยังละ”
“แม่ ข้าขอโทษ ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ตอนนี้เรื่องที่ข้าสวมรอยเป็นซาซากิ โคจิโรถูกเปิดโปงออกมาหมดแล้ว และข้าก็โดนซาซากิ โคจิโรสั่งสอนเสียบอบช้ำจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด วันนี้ข้าเขียนจดหมายวานให้คนไปส่งให้ถึงมือแม่และกำลังจะขึ้นไปยังที่นัดพบ ก็พอดีเห็นเจ้าหมอนั่นเดินผ่านมาทางนี้ ก็เลยหลบไปทางนั้นทางนี้ดูเชิงหมอนั่นอยู่ เพราะถ้าถูกจับได้เป็นต้องเจ็บตัวอีกแน่
ไปหรือยังก็ไม่รู้นะเน่ะ ถ้าเกิดกลับมาอีกละก็แย่เลย...”
“... ... ...”
แม่เฒ่าตกตะลึงเมื่อได้ยินความจริงจากปากลูกชายสุดสวาท พูดอะไรไม่ออกได้แต่กรอกตาไปมา แต่พอเห็นสภาพร่างกายที่ผ่ายผอมไม่มีสง่าราศีของมาตาฮาจิ หน้าตาซีดเซียว ตาละห้อย บ่งบอกถึงความอ่อนแอไร้พลกำลังทั้งกายและใจ ใจของแม่เฒ่าก็สะท้อนสะเทือนใจด้วยความรักและเวทนายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเหลือประมาณ
3
“เรื่องพวกนั้นข้าไม่สนใจ จะเป็นยังไงก็ชั่ง”
แม่เฒ่าทนฟังเสียงอ่อย ๆ ของลูกชายอีกต่อไปจึงสะบัดหน้าพรืด
“นี่แน่ะ มาตาฮาจิ อย่ามัวแต่พร่ำเพ้อเรื่องอื่นอยู่เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าอากงตายแล้ว”
“อะไรนะแม่ อากงน่ะเหรอตายแล้ว”
“ข้าจะโกหกเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมาฮึ อากงตายที่ชายหาดซูมิโยชิหลังจากแยกทางกับเจ้าได้ไม่นาน ตายอยู่ที่ชายหาดนั่นแหละ”
“ข้าไม่รู้เลย โธ่อากง”
“ใช่ มาตาฮาจิ เจ้าไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้อากงต้องตายอย่างน่าอนาถ และไม่รู้ด้วยว่าทำไมข้าต้องออกเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศ ทั้งที่แก่ชราและจิตใจที่สลดหดหู่เช่นนี้”
“คำดุด่าสั่งสอนของแม่ที่ข้านั่งคุกเข่าฟังกับพื้นดินเย็นเฉียบเมื่อครั้งพบกันที่โอซากา ยังตราตรึงประทับใจข้ามาจนทุกวันนี้ “
“ก็ดีที่ยังจำได้ไม่ลืม ครั้งนี้แม่มีข่าวดีที่จะทำให้เจ้าดีใจ”
“อะไรหรือแม่”
“ก็โอซือน่ะซี”
“จริงเหรอ งั้นผู้หญิงที่เดินมากับแม่ แล้วเดินล่วงหน้าไปทางโน้นก็คือนาง”
มาตาฮาจิลิงโลด ก้าวถลันออกมาจากหลังต้นไม่ใหญ่
“เดี๋ยวก่อน เจ้าจะไปไหน”
“ก็ไปหาโอซือน่ะซี คิดถึงจัง แม่ให้ข้าไปหานางนะ”
แม่เฒ่าพยักหน้าอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นลูกชายลุกลี้ลุกลน
“ที่ข้าพานางมาถึงที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้พบนางไงเล่า...แต่มาตาฮาจิ บอกข้าได้ไหมว่าพบกับโอซือแล้วเจ้าจะทำยังไง”
“ข้าก็จะขอโทษนางเป็นอย่างแรกเลย บอกว่าข้ามันเลว ผิดไปแล้ว ยกโทษให้มาตาฮาจิเถิดนะโอซือ”
“แล้วยังไง”
“แล้วข้าก็จะบอกนางว่าข้าจะไม่ทำอะไรชั่ว ๆ อย่างนั้นอีก แม่ช่วยข้าพูดอีกแรงหนึ่งด้วยนะ ข้าขอร้อง”
“แล้วไงอีก”
“ข้าจะขอให้เรากลับมาคบกันดังเดิม”
“ยังไง”
“ก็กลับมาเป็นคู่หมั้นกันแล้วก็แต่งงานกันไง ข้าอยากสร้างครอบครัวกับโอซือ แต่แม่...โอซือยังมีเยื่อใยกับข้าเหมือนแต่ก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”
มาตาฮาจิไม่ทันจะพูดจบดี แม่เฒ่าก็ตวาดเสียงเกรี้ยวกราด
“บ้า บ้าที่สุด”
และตบหน้าลูกชายฉาดใหญ่ มาตาฮาจิผงะ ทำหน้าฉงนพลางยกมือขึ้นคลำแก้ม
“อะ...อะไรอ่ะแม่”
แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหน้าแม่
ตั้งแต่หย่านมจนถึงวันนี้เจ้าหนุ่มไม่เคยเห็นแม่ทำหน้าน่ากลัวอย่างนี้มาก่อน
“เจ้าเพิ่งบอกเดี๋ยวนี้เองไม่ใช่รึว่าคำพูดของข้าที่โอซากายังตราตรึงใจไม่เคยลืม”
“... ... ...”
“แล้วใครสอนใครสั่งให้เจ้าไปขอโทษนางหญิงแพศยาคนนั้น เจ้าจะต้องไปขอโทษขอขมามันทำไม นางผู้หญิงใจง่ายที่ทำให้ตระกูลฮนอิเด็นของเราต้องแปดเปื้อน ต่อให้ล้างแค้นถึงเจ็ดชั่วโคตรก็ไม่หมดหรอกจะบอกให้ คิดสิคิด นางผู้หญิงคนนี้มีเจ้าเป็นคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคนยังทิ้งได้ลงคอ และหนีไปกับใคร ไม่ใช่กับไอ้เพื่อนตัวดีของเจ้ารึสารเลวทั้งคู่”
“... ... ...”
“เห็นชัด ๆ ว่าเป็นนางปีศาจหลายใจอย่างนี้แล้ว เจ้ายังจะยอมก้มหัวขอโทษได้อีกรึ ใจเจ้าทำด้วยอะไร ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ”
แม่เฒ่าขยุ้มคอเสื้อลูกชายเขย่าแรง ๆ จนอีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอน
มาตาฮาจิปล่อยให้แม่ดุด่าและทำอะไรตามใจชอบ และพอหลับตาลงน้ำตาก็ร่วงพรู
“อะไร”
แม่เฒ่าทำเสียงแหวเมื่อเห็นน้ำตาลูกชาย
“ร้องไห้ทำไม ยังโหยหาอาวรณ์นางปีศาจหลายใจถึงกับร้องไห้เชียวรึ ถ้าตัดใจจากนางนั่นไม่ขาดก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าแม่”
แม่เฒ่าผลักลูกชายเต็มแรงลงไปกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น และทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้อยู่ด้วยกันสองแม่ลูก