นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือชะงักมือที่ถือเข็มด้นลงไปบนผืนผ้า
“โครน่ะ”
นางร้องถามออกไปพร้อมกับลุกขึ้นไปเลื่อนประตูด้านระเบียงเปิดออกดูแต่ก็ไม่พบใคร พอรู้ว่าหูฝาดไปนางก็เดินหงอย ๆ กลับมานั่งมองกิโมโนที่เย็บแขนเสร็จและกำลังเข้าคออยู่ ความเศร้าเคลื่อนเข้ามาครองใจจนวาบหวิว
เย็บเสร็จก็ไม่ได้ใส่ แล้วจะมานั่งเย็บต่อไปทำไม
นึกว่าโจทาโรจะมาส่งข่าวเสียอีก
โอซือกระซิบกับตัวเองอยู่ในใจ
แต่นางก็ยังไม่ถอดใจเสียเลยทีเดียว เพราะเห็นเฝ้าออกมองไปข้างนอก แค่เห็นเงาใครวูบมาในซอยเปลี่ยวก็ใจโลดนึกว่าโจทาโรมาแล้ว
ยามเที่ยงวัน ที่ชายเนินซันเน็นซาก ด้านล่างของวัดคิโยมิซุ
แม้บนถนนจะมีผู้คนสัญจรไปมาคึกคัก แต่พอเลี้ยวเข้าตรอกซอยไปไม่กี่ก้าวก็มีแต่แมกไม้ พงหญ้าและทุ่งนา ดอกกุหลาบป่าบานสะพรั่ง และดอกตูมของต้นบ๊วยก็กำลังจะผลิกลีบ
เรือนที่โอซือนั่งเย็บผ้าอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงเตี๊ยม ด้านหลังเป็นสวนล้อมรอบด้วยแมกไม้ ด้านหน้ามีไร่ผัก เล็ก ๆ กั้นระหว่างเรือนกับโรงครัวของโรงเตี๊ยมที่ส่งเสียงชุลมุนวุ่นวายตั้งแต่เช้ายันค่ำ และคนในโรงครัวจะยกอาหารเช้าเย็นมาให้ถึงที่นี่
แม่เฒ่าโอซูงิชอบเรือนหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาก เดินทางผ่านมาทางเกียวโตทีไรจะต้องมาพักทุกครั้ง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่านางหายไปไหน ทิ้งให้โอซือนั่งเย็บผ้าอยู่คนเดียว
“โอซือ ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว จะให้ยกเข้าไปได้หรือยัง”
เสียงหญิงคนครัวที่ตะโกนถามมาจากฟากโน้นของไร่ผัก ปลุกโอซือให้ตื่นจากภวังค์
“ข้าวเที่ยงหรือ เดี๋ยวค่อยเอามาก็ได้ ข้าจะคอยให้นายแม่ใหญ่กลับมาก่อนจะได้กินพร้อมกัน”
หญิงคนครัวได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า
“นายแม่ใหญ่น่ะรึ เห็นบอกว่าวันนี้จะกลับช้านะ ดูท่าทางแล้วคงจะเย็นค่ำเลยละ”
“ถ้างั้นวันนี้งดข้าวเที่ยวเลยดีกว่า ฉันเองก็ไม่ค่อยหิว”
“กินอะไรสักนิดดีกว่าไหมโอซือ ข้าเห็นเจ้ากินแต่ละทีน้อยนิดเหลือเกินแล้ว สงสัยเลยว่ามีชีวิตอยู่ได้ยังไง”
ไม่รู้ว่าใครเผาไม้สนอยู่ที่ไหนควันหนาจึงลอยมาบดบังต้นบ๊วยริมไร่ผักและเรือนใหญ่ของโรงเตี๊ยมจนมิด
แถบนี้มีเตาเผาถ้วยชามอยู่ตรงนั้นตรงนี้ทั่วไป วันที่เตาเผาแห่งไหนก่อไฟเผาถ้วยชาม ควันไฟก็จะคลุ้งกระจายไปทั่วละแวกบ้านเช่นนี้ แต่เมื่อควันจางท้องฟ้ายามต้นฤดูใบไม้ผลิจะยิ่งแจ่มใสงดงาม
ท่ามกลางเสียงม้าร้อง เสียงฝีเท้าของผู้มาแสวงบุญที่วัดคิโยมิซุ ที่ดังจอแจอยู่ทางด้านถนนใหญ่ โอซือแว่วเสียงคนที่เดินผ่านไปมาโจษย์ขานกันถึงเรื่องมูซาชิพิชิตโยชิโอกะ
ใบหน้าของมูซาชิวาบขึ้นมาชัดเจนอยู่บนม่านตา
โจทาโรต้องไปดูการประลองยุทธ์ที่ทุ่งเร็นไดจิแน่ และเมื่อพบกันคงจะเอาเรื่องมาเล่าให้ฟังโดยละเอียด
โอซือหวังและในเวลาเดียวกันก็สุดจะอดทนคอยเจ้าหนุ่มโจทาโรต่อไปไม่ไหว เพราะตั้งแต่แยกกันที่สะพานโกโจเมื่อยี่สิบกว่าวันมาแล้วก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย ทำให้คิดไปต่าง ๆ นา ๆ
หรือว่าจะหาเราไม่พบ แต่ก็บอกแล้วนี่นาว่าจะคอยอยู่ที่ซันเน็นซากะ แค่เดินถามตามโรงเตี๊ยมเท่านั้นเองก็เจอแล้ว
หรือว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นไข้เป็นหวัดนอนซมอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่คนอย่างโจทาโรน่ะหรือจะเป็นไข้เป็นหวัด ไม่น่าเชื่อ
คนอย่างโจทาโร ต้องกำลังเล่นว่าวชัดขึ้นฟ้ายามต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่อย่างสำราญบานใจเป็นแน่
โอซือโกรธจัดเมื่อคิดมาถึงตรงนี้
หนอยแน่ ปล่อยให้คอยอยู่ได้คนเดียว
2
---แต่มาคิดดูดี ๆ บางทีโจทาโรอาจกำลังคอยอยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่า...
ใกล้แค่นี้เอง โอซือน่าจะมาคนเดียวได้ ไม่เห็นจะต้องคอยมาด้วยกันเลย แล้วตอนออกจากคฤหาสน์ คาราซูมารุมาก็ไม่เห็นได้ร่ำลา เสียมารยาทรึเปล่า
เรื่องนี้โอซือผู้เป็นกุลสตรีมีมารยาทรู้ดีและกังวลใจอยู่ทุกวัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อตอนนี้นางถูกแม่เฒ่าโอซูงิคุมตัวแจ คฤหาสน์คาราซูมารุนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่จะออกไปฟังข่าวมูซาชิที่ถนนก็ยังยาก จะทำได้ก็แค่เงี่ยหูฟัง... โจทาโรคงไม่รู้หรอก
คนอย่างเรา ๆ ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอาจคิดว่า
อ้าว...ก็วันนี้แม่เฒ่าไม่อยู่ ได้โอกาสดีแล้วอยากไปไหนก็ไปเลยสิ
แต่แม่เฒ่าสารพัดพิษคนนี้มีหรือจะประมาท นางสั่งคนที่โรงเตี๊ยมเอาไว้ดิบดีแล้ว ดังนั้นไม่ว่าโอซือจะขยับตัวไปทางไหนก็ไม่มีทางรอดสายตาคมเหยี่ยวของใครคนนั้นไปได้ แค่เยี่ยมหน้าออกไปดูคนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น ก็มีเสียงถามลอย ๆ ออกมาจากเรือนใหญ่ทันทีว่า โอซือจะไปไหน
และไม่ใช่แค่นั้น แม่เฒ่าโอซูงิยังกว้างขวางอยู่ในละแวกนี้ตั้งแต่บริเวณวัดคิโยมิซุลงมาจนถึงซันเน็นซากะ มีคนรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาชาวบ้านมานาน ตั้งแต่เมื่อนางตามหาตัวมูซาชิจนพบและดวลดาบกันโดยไม่เจียมสังขาร แถววัดคิโยมิซุเมื่อปีก่อน
ตอนนั้นแม่เฒ่าสำแดงอิทธิฤทธิ์จนเป็นที่เลื่องลือกันไประยะหนึ่ง ชายฉกรรจ์คนหามกระเช้าแถวนั้นส่ายหน้าด้วยความทึ่งในพลกำลังของแม่เฒ่าสารพัดพิษไปตาม ๆ กัน
“แข็งแรงชะมัด”
“จริง ข้าไม่เคยเห็นแม่เฒ่าที่ไหน เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างนี้มาก่อนเลยเอ็ง”
“บ้าบิ่นไม่กลัวตายเลยเอ็ง หาญสู้กับนักดาบร่างใหญ่ยังกะยักษ์ ทำได้ไงอ่ะ”
หลังแสดงอิทธิฤทธิ์หาญกล้าประดาบกับมูซาชิครั้งนั้น ชื่อเสียงของแม่เฒ่าโอซูกิขจรขยาย เป็นที่นิยมชมชอบกันอย่างกว้างขวางในละแวกวัดคิโยมิซุ แถมเฒ่าชแรแก่ชราด้วยจึงเป็นที่เคารพนับถือเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้น แค่สั่งเพียงคำเดียวว่า
“เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้หนีไปไหนเด็ดขาด นางคนนี้ทำเรื่องงามหน้าไว้มากนัก”
จึงเป็นธรรมดาที่พวกคนในโรงเตี๊ยมก็จะโค้งคำนับรับคำและทำตามอย่างเข้มงวดกวดขันไม่มีข้อบกพร่องช่องว่าง
โอซือตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกคุมขัง จะออกจากเรือนไปไหนมาตามอำเภอใจไม่ได้ จะเขียนจดหมายส่งให้ใครก็จะต้องผ่านมือคนที่โรงเตี๊ยมก่อน สุดท้ายนางจึงได้แต่ตั้งตาคอยโจทาโร
โอซือผลักกิโมโนที่เย็บค้างอยู่ไปทางหนึ่ง และดึงชุดเดินทางของแม่เฒ่าโคซูงิมาเพื่อซ่อมตะเข็บที่ปริขาด
พอจะลงมือเย็บ ก็มีเงาของใครคนหนึ่งวูบผ่านไป
“เอ๊ะ สงสัยจะไม่ใช่”
เสียงผู้หญิงฟังไม่คุ้นหูพึมพำเบา ๆ อยู่ตรงริมระเบียง สงสัยจะเดินหลงเข้าตรอกมาจากถนนคนเดิน
โอซือแง้มบานประตูเลื่อนออกไปดู ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นบ๊วยบนท้องร่องระหว่างแปลงปลูกหัวหอมและกำลังมองมาทางนี้
พอเห็นหน้าโอซือ ก็ก้มศีรษะทักทายและถามด้วยท่าทีไม่สู้จะแน่ใจว่า
“ที่นี่โรงเตี๊ยมใช่ไหมเจ้าคะ เห็นติดไว้ป้ายที่ปากตรอกว่า ฮาตาโงะและแขวนโคมเอาไว้ด้วยก็เลยเดินเข้ามา”
โอซือตะลึงมองผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้าจนลืมตอบ
อีกฝ่ายคงอ่านสายตาของนางผิดไป คิดว่าไม่พอใจที่นางล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าตรอกนี้เป็นทางตัน จึงน้อมตัวลงถามอย่างเกรงใจ
“พอจะทราบไหมเจ้าคะว่าหลังไหน”
ถามแล้วจึงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองหาไปตามหลังคาเรือนใกล้ ๆ นั้น และเบนสายตากลับมาชมต้นบ๊วย ข้าง ๆ นั้นแก้เขิน
“ตายจริง ออกดอกเต็มต้นเลย พอบานแล้วจะต้องสวยมาก”
ดวงตากลมโตของผู้หญิงคนนั้นเป็นประกายด้วยความชื่นชมจากใจจริง
ใช่ ที่สะพานโกโจไงล่ะ
โอซือนึกออกทันทีแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจำคนผิดหรือเปล่า จึงรีบทบทวนความจำให้แน่ใจอีกครั้ง
ใช่แน่นอน นางคือสาวสวยที่ซบหน้าร้องไห้พิรี้พิไรอยู่กับอกของมูซาชิตรงเชิงสะพานใหญ่แห่งนั้นในเช้า วันปีใหม่ ฝ่ายนั้นไม่รู้ตัว แต่โอซือลืมภาพนั้นไม่ลง
นางตั้งตัวเป็นศัตรูกับสาวสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้มาตั้งแต่วันนั้น
3
หญิงคนครัวคงจะไปรายงาน ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงรีบเดินจากประตูทางเข้าด้านหน้าเข้ามาหาในตรอก
“แม่สาวน้อยกำลังหาที่พักรึ”
“ใช่ โรงเตี๊ยมอยู่ที่ไหนรู้ไหม”
อาเกมิตอบ ขณะที่ตายังมองไปทางนั้นทางนี้
“อยู่ตรงนี้แหละ ประตูทางเข้าอยู่ทางโน้น ตรงหัวมุมขวาของตรอกนี้ไง”
“อยู่ริมถนนเลยเหรอ”
“ริมถนน แต่ตรงนี้คนไม่พลุกพล่านหรอก”
“ข้ากำลังมองหาโรงเตี๊ยมที่เวลาเข้าออกจะไม่มีใครสังเกตเห็น ก็พอดีมาเจอป้ายกับโคมตรงปากตรอก นึกว่าอยู่ลึกเข้ามาในนี้ก็เลยเดินเข้ามา”
อาเกมิว่าพลางลอบมองเข้าไปในเรือนที่อยู่ของโอซือ
“ที่นี่เป็นเรือนรับรองหรือ”
“ใช่ เรือนรับรองของโรงเตี๊ยมเรา”
“ตรงนี้ดีจัง เงียบด้วย ไม่มีใครเห็น”
“ที่เรือนใหญ่ตรงโน้นก็มีห้องดี ๆ มากมาย”
“ผู้ดูแลเจ้าค่ะ แขกที่พักในเรือนก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน ข้าขอพักด้วยไม่ได้เหรอ”
“ถ้าจะไม่ได้หรอกแม่หนู เพราะที่นี่อยู่กันสองคน อีกคนเป็นแม่เฒ่า ดุ เข้มงวด แล้วก็เอาใจยากด้วย”
“ไม่เป็นไรเลย ข้าอยู่ได้”
“ตอนนี้แม่เฒ่าไม่อยู่ เอาไว้กลับมาจะถามให้นะว่าจะยอมให้อยู่ด้วยหรือเปล่า”
“ก็ได้ แต่ระหว่างรอ ขอไปนั่งพักทางโน้นหน่อยได้ไหม”
“ตามสบายเลยแม่สาวน้อย ห้องพักที่นั่นน่าอยู่ทุกห้อง เห็นแล้วจะต้องชอบใจ”
อาเกมิเดินตามผู้ดูแลโรงเตี๊ยมออกจากตรอกไปยังประตูทางเข้าเรือนใหญ่
โอซือเลยไม่มีโอกาสได้พูดอะไร นึกเสียใจอยู่ครามครันว่าน่าจะถามอะไรออกไปสักคำ นึกเกลียดนิสิสัยตนเองตรงที่ตัดสินใจอะไรช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ ทำให้ต้องมานั่งคอตกอยู่คนเดียวอย่างนี้ทุกคราไป
อยากรู้อย่างเดียวว่า สาวน้อยคนนี้กับมูซาชิเป็นอะไรกัน
ตอนเห็นที่สะพานโกโจ ทั้งสองยืนคุยอะไรกันอยู่นานมาก เท่านั้นยังไม่พอ สุดท้ายก่อนจากกันแม่สาวคนงามยังร้องไห้ออเซาะให้มูซาชิโอบกอดเข้ามาซบอก น่าแค้นใจนัก
ไม่นึกเลยว่ามูซาชิจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
ทุกวันตั้งแต่วันนั้นมา โอซือพยายามเอาทางพระเข้าข่มความหึงหวง ตั้งสมาธิสงบสติอารมณ์เพื่อปัดเป่าความ รู้สึกที่บั่นทอนจิตใจให้มลายหายสิ้น
แต่แทนที่ความหึงหวงจะหายไป การพยายามเช่นนั้นกลับเป็นเหตุให้นางค้นพบความเป็นจริงที่ยิ่งเสียดแทงใจให้เป็นแผลบอบช้ำเหลือเกิน
---สาวน้อยคนนั้นสวยกว่า
---มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับมูซาชิมากกว่า
---จิตใจเข้มแข็งกว่า และฉลาดในเชิงใช้เสน่ห์มารยาจับดวงใจชาย
ที่ผ่านมาโอซือคิดถึงแต่ตัวเองกับมูซาชิ แต่พอมีโอกาสเข้าไปมองโลกของผู้หญิงด้วยกัน นางก็รู้สึกอ่อนด้อยขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับหญิงอื่นที่มีอยู่มากมายในโลกกว้าง เมื่อนึกถึงข้อด้อยก็พบว่ามากมายเกินกว่าจะจารนัยได้หมด
---ไม่สวย
---ไม่เข็มแข็ง
---ไร้ญาติขาดมิตร
แล้วอย่างนี้ยังกล้าหวัง กล้าตั้งความหวังที่ยิ่งใหญ่เกินตัว สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ความฝันที่จรรโลงใจในยามค่ำคืน และฟูฟ่องเป็นฟองอากาศแตกสลายไปเมื่อตื่น
ความกล้าหาญที่ทรงพลังยิ่งกว่าลมสลาตันเมื่อปีนขึ้นไปช่วยมูซาชิบนต้นสนพันปีที่วัดชิปโปจิเมื่อนานมาแล้วนั้นหายที่ไหนหมด ทำไมไม่สำแดงออกมา ทำไมจิตใจตนจึงมีแต่ความอ่อนแอ นึกถึงตอนที่เข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังล้อเกวียนเทียมวัวเมื่อเช้าวันนั้นที่สะพานโกโจแล้ว สุดแสนที่จะเวทนาตัวเอง
โจทาโรไปไหน มาช่วยข้าที
โอซือรำพึงอยู่คนเดียวด้วยความรันทด
ใช่ ความกล้าหาญเมื่อครั้งที่เราปีนต้นสนพันปีฝ่าลมสลาตันขึ้นไปนั้น คือพลังในวัยไร้เดียงสาอย่างที่โจทาโรยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ความคิดสับสนที่ทำให้ต้องกลัดกลุ้มอยู่คนเดียวนั้นเอง ที่ริดรอนความกล้าหาญเมื่อครั้งแรกรุ่นดรุณีให้หมดไปตามอายุวัยที่ล่วงเลย คิดมาถึงตรงนี้ หยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาคลอคลองเต็มเบ้าก็ร่วงเผาะลงบนผืนผ้าที่กำลังด้นปลายเข็มเป็นตะเข็บเรียบสวย
“อยู่หรือไม่อยู่ โอซือ ทำไมถึงไม่จุดตะเกียง อยู่ได้ยังไงมืด ๆ”
แม่เฒ่าโอซูงิกลับมาเมื่อพลบค่ำ และพอก้าวขึ้นเรือนรับรองก็ส่งเสียงบ่นขรมถมเถ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือชะงักมือที่ถือเข็มด้นลงไปบนผืนผ้า
“โครน่ะ”
นางร้องถามออกไปพร้อมกับลุกขึ้นไปเลื่อนประตูด้านระเบียงเปิดออกดูแต่ก็ไม่พบใคร พอรู้ว่าหูฝาดไปนางก็เดินหงอย ๆ กลับมานั่งมองกิโมโนที่เย็บแขนเสร็จและกำลังเข้าคออยู่ ความเศร้าเคลื่อนเข้ามาครองใจจนวาบหวิว
เย็บเสร็จก็ไม่ได้ใส่ แล้วจะมานั่งเย็บต่อไปทำไม
นึกว่าโจทาโรจะมาส่งข่าวเสียอีก
โอซือกระซิบกับตัวเองอยู่ในใจ
แต่นางก็ยังไม่ถอดใจเสียเลยทีเดียว เพราะเห็นเฝ้าออกมองไปข้างนอก แค่เห็นเงาใครวูบมาในซอยเปลี่ยวก็ใจโลดนึกว่าโจทาโรมาแล้ว
ยามเที่ยงวัน ที่ชายเนินซันเน็นซาก ด้านล่างของวัดคิโยมิซุ
แม้บนถนนจะมีผู้คนสัญจรไปมาคึกคัก แต่พอเลี้ยวเข้าตรอกซอยไปไม่กี่ก้าวก็มีแต่แมกไม้ พงหญ้าและทุ่งนา ดอกกุหลาบป่าบานสะพรั่ง และดอกตูมของต้นบ๊วยก็กำลังจะผลิกลีบ
เรือนที่โอซือนั่งเย็บผ้าอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงเตี๊ยม ด้านหลังเป็นสวนล้อมรอบด้วยแมกไม้ ด้านหน้ามีไร่ผัก เล็ก ๆ กั้นระหว่างเรือนกับโรงครัวของโรงเตี๊ยมที่ส่งเสียงชุลมุนวุ่นวายตั้งแต่เช้ายันค่ำ และคนในโรงครัวจะยกอาหารเช้าเย็นมาให้ถึงที่นี่
แม่เฒ่าโอซูงิชอบเรือนหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาก เดินทางผ่านมาทางเกียวโตทีไรจะต้องมาพักทุกครั้ง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่านางหายไปไหน ทิ้งให้โอซือนั่งเย็บผ้าอยู่คนเดียว
“โอซือ ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว จะให้ยกเข้าไปได้หรือยัง”
เสียงหญิงคนครัวที่ตะโกนถามมาจากฟากโน้นของไร่ผัก ปลุกโอซือให้ตื่นจากภวังค์
“ข้าวเที่ยงหรือ เดี๋ยวค่อยเอามาก็ได้ ข้าจะคอยให้นายแม่ใหญ่กลับมาก่อนจะได้กินพร้อมกัน”
หญิงคนครัวได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า
“นายแม่ใหญ่น่ะรึ เห็นบอกว่าวันนี้จะกลับช้านะ ดูท่าทางแล้วคงจะเย็นค่ำเลยละ”
“ถ้างั้นวันนี้งดข้าวเที่ยวเลยดีกว่า ฉันเองก็ไม่ค่อยหิว”
“กินอะไรสักนิดดีกว่าไหมโอซือ ข้าเห็นเจ้ากินแต่ละทีน้อยนิดเหลือเกินแล้ว สงสัยเลยว่ามีชีวิตอยู่ได้ยังไง”
ไม่รู้ว่าใครเผาไม้สนอยู่ที่ไหนควันหนาจึงลอยมาบดบังต้นบ๊วยริมไร่ผักและเรือนใหญ่ของโรงเตี๊ยมจนมิด
แถบนี้มีเตาเผาถ้วยชามอยู่ตรงนั้นตรงนี้ทั่วไป วันที่เตาเผาแห่งไหนก่อไฟเผาถ้วยชาม ควันไฟก็จะคลุ้งกระจายไปทั่วละแวกบ้านเช่นนี้ แต่เมื่อควันจางท้องฟ้ายามต้นฤดูใบไม้ผลิจะยิ่งแจ่มใสงดงาม
ท่ามกลางเสียงม้าร้อง เสียงฝีเท้าของผู้มาแสวงบุญที่วัดคิโยมิซุ ที่ดังจอแจอยู่ทางด้านถนนใหญ่ โอซือแว่วเสียงคนที่เดินผ่านไปมาโจษย์ขานกันถึงเรื่องมูซาชิพิชิตโยชิโอกะ
ใบหน้าของมูซาชิวาบขึ้นมาชัดเจนอยู่บนม่านตา
โจทาโรต้องไปดูการประลองยุทธ์ที่ทุ่งเร็นไดจิแน่ และเมื่อพบกันคงจะเอาเรื่องมาเล่าให้ฟังโดยละเอียด
โอซือหวังและในเวลาเดียวกันก็สุดจะอดทนคอยเจ้าหนุ่มโจทาโรต่อไปไม่ไหว เพราะตั้งแต่แยกกันที่สะพานโกโจเมื่อยี่สิบกว่าวันมาแล้วก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย ทำให้คิดไปต่าง ๆ นา ๆ
หรือว่าจะหาเราไม่พบ แต่ก็บอกแล้วนี่นาว่าจะคอยอยู่ที่ซันเน็นซากะ แค่เดินถามตามโรงเตี๊ยมเท่านั้นเองก็เจอแล้ว
หรือว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นไข้เป็นหวัดนอนซมอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่คนอย่างโจทาโรน่ะหรือจะเป็นไข้เป็นหวัด ไม่น่าเชื่อ
คนอย่างโจทาโร ต้องกำลังเล่นว่าวชัดขึ้นฟ้ายามต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่อย่างสำราญบานใจเป็นแน่
โอซือโกรธจัดเมื่อคิดมาถึงตรงนี้
หนอยแน่ ปล่อยให้คอยอยู่ได้คนเดียว
2
---แต่มาคิดดูดี ๆ บางทีโจทาโรอาจกำลังคอยอยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่า...
ใกล้แค่นี้เอง โอซือน่าจะมาคนเดียวได้ ไม่เห็นจะต้องคอยมาด้วยกันเลย แล้วตอนออกจากคฤหาสน์ คาราซูมารุมาก็ไม่เห็นได้ร่ำลา เสียมารยาทรึเปล่า
เรื่องนี้โอซือผู้เป็นกุลสตรีมีมารยาทรู้ดีและกังวลใจอยู่ทุกวัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อตอนนี้นางถูกแม่เฒ่าโอซูงิคุมตัวแจ คฤหาสน์คาราซูมารุนั้นไม่ต้องพูดถึง แค่จะออกไปฟังข่าวมูซาชิที่ถนนก็ยังยาก จะทำได้ก็แค่เงี่ยหูฟัง... โจทาโรคงไม่รู้หรอก
คนอย่างเรา ๆ ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอาจคิดว่า
อ้าว...ก็วันนี้แม่เฒ่าไม่อยู่ ได้โอกาสดีแล้วอยากไปไหนก็ไปเลยสิ
แต่แม่เฒ่าสารพัดพิษคนนี้มีหรือจะประมาท นางสั่งคนที่โรงเตี๊ยมเอาไว้ดิบดีแล้ว ดังนั้นไม่ว่าโอซือจะขยับตัวไปทางไหนก็ไม่มีทางรอดสายตาคมเหยี่ยวของใครคนนั้นไปได้ แค่เยี่ยมหน้าออกไปดูคนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น ก็มีเสียงถามลอย ๆ ออกมาจากเรือนใหญ่ทันทีว่า โอซือจะไปไหน
และไม่ใช่แค่นั้น แม่เฒ่าโอซูงิยังกว้างขวางอยู่ในละแวกนี้ตั้งแต่บริเวณวัดคิโยมิซุลงมาจนถึงซันเน็นซากะ มีคนรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาชาวบ้านมานาน ตั้งแต่เมื่อนางตามหาตัวมูซาชิจนพบและดวลดาบกันโดยไม่เจียมสังขาร แถววัดคิโยมิซุเมื่อปีก่อน
ตอนนั้นแม่เฒ่าสำแดงอิทธิฤทธิ์จนเป็นที่เลื่องลือกันไประยะหนึ่ง ชายฉกรรจ์คนหามกระเช้าแถวนั้นส่ายหน้าด้วยความทึ่งในพลกำลังของแม่เฒ่าสารพัดพิษไปตาม ๆ กัน
“แข็งแรงชะมัด”
“จริง ข้าไม่เคยเห็นแม่เฒ่าที่ไหน เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างนี้มาก่อนเลยเอ็ง”
“บ้าบิ่นไม่กลัวตายเลยเอ็ง หาญสู้กับนักดาบร่างใหญ่ยังกะยักษ์ ทำได้ไงอ่ะ”
หลังแสดงอิทธิฤทธิ์หาญกล้าประดาบกับมูซาชิครั้งนั้น ชื่อเสียงของแม่เฒ่าโอซูกิขจรขยาย เป็นที่นิยมชมชอบกันอย่างกว้างขวางในละแวกวัดคิโยมิซุ แถมเฒ่าชแรแก่ชราด้วยจึงเป็นที่เคารพนับถือเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้น แค่สั่งเพียงคำเดียวว่า
“เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้หนีไปไหนเด็ดขาด นางคนนี้ทำเรื่องงามหน้าไว้มากนัก”
จึงเป็นธรรมดาที่พวกคนในโรงเตี๊ยมก็จะโค้งคำนับรับคำและทำตามอย่างเข้มงวดกวดขันไม่มีข้อบกพร่องช่องว่าง
โอซือตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกคุมขัง จะออกจากเรือนไปไหนมาตามอำเภอใจไม่ได้ จะเขียนจดหมายส่งให้ใครก็จะต้องผ่านมือคนที่โรงเตี๊ยมก่อน สุดท้ายนางจึงได้แต่ตั้งตาคอยโจทาโร
โอซือผลักกิโมโนที่เย็บค้างอยู่ไปทางหนึ่ง และดึงชุดเดินทางของแม่เฒ่าโคซูงิมาเพื่อซ่อมตะเข็บที่ปริขาด
พอจะลงมือเย็บ ก็มีเงาของใครคนหนึ่งวูบผ่านไป
“เอ๊ะ สงสัยจะไม่ใช่”
เสียงผู้หญิงฟังไม่คุ้นหูพึมพำเบา ๆ อยู่ตรงริมระเบียง สงสัยจะเดินหลงเข้าตรอกมาจากถนนคนเดิน
โอซือแง้มบานประตูเลื่อนออกไปดู ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นบ๊วยบนท้องร่องระหว่างแปลงปลูกหัวหอมและกำลังมองมาทางนี้
พอเห็นหน้าโอซือ ก็ก้มศีรษะทักทายและถามด้วยท่าทีไม่สู้จะแน่ใจว่า
“ที่นี่โรงเตี๊ยมใช่ไหมเจ้าคะ เห็นติดไว้ป้ายที่ปากตรอกว่า ฮาตาโงะและแขวนโคมเอาไว้ด้วยก็เลยเดินเข้ามา”
โอซือตะลึงมองผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้าจนลืมตอบ
อีกฝ่ายคงอ่านสายตาของนางผิดไป คิดว่าไม่พอใจที่นางล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าตรอกนี้เป็นทางตัน จึงน้อมตัวลงถามอย่างเกรงใจ
“พอจะทราบไหมเจ้าคะว่าหลังไหน”
ถามแล้วจึงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองหาไปตามหลังคาเรือนใกล้ ๆ นั้น และเบนสายตากลับมาชมต้นบ๊วย ข้าง ๆ นั้นแก้เขิน
“ตายจริง ออกดอกเต็มต้นเลย พอบานแล้วจะต้องสวยมาก”
ดวงตากลมโตของผู้หญิงคนนั้นเป็นประกายด้วยความชื่นชมจากใจจริง
ใช่ ที่สะพานโกโจไงล่ะ
โอซือนึกออกทันทีแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจำคนผิดหรือเปล่า จึงรีบทบทวนความจำให้แน่ใจอีกครั้ง
ใช่แน่นอน นางคือสาวสวยที่ซบหน้าร้องไห้พิรี้พิไรอยู่กับอกของมูซาชิตรงเชิงสะพานใหญ่แห่งนั้นในเช้า วันปีใหม่ ฝ่ายนั้นไม่รู้ตัว แต่โอซือลืมภาพนั้นไม่ลง
นางตั้งตัวเป็นศัตรูกับสาวสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้มาตั้งแต่วันนั้น
3
หญิงคนครัวคงจะไปรายงาน ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงรีบเดินจากประตูทางเข้าด้านหน้าเข้ามาหาในตรอก
“แม่สาวน้อยกำลังหาที่พักรึ”
“ใช่ โรงเตี๊ยมอยู่ที่ไหนรู้ไหม”
อาเกมิตอบ ขณะที่ตายังมองไปทางนั้นทางนี้
“อยู่ตรงนี้แหละ ประตูทางเข้าอยู่ทางโน้น ตรงหัวมุมขวาของตรอกนี้ไง”
“อยู่ริมถนนเลยเหรอ”
“ริมถนน แต่ตรงนี้คนไม่พลุกพล่านหรอก”
“ข้ากำลังมองหาโรงเตี๊ยมที่เวลาเข้าออกจะไม่มีใครสังเกตเห็น ก็พอดีมาเจอป้ายกับโคมตรงปากตรอก นึกว่าอยู่ลึกเข้ามาในนี้ก็เลยเดินเข้ามา”
อาเกมิว่าพลางลอบมองเข้าไปในเรือนที่อยู่ของโอซือ
“ที่นี่เป็นเรือนรับรองหรือ”
“ใช่ เรือนรับรองของโรงเตี๊ยมเรา”
“ตรงนี้ดีจัง เงียบด้วย ไม่มีใครเห็น”
“ที่เรือนใหญ่ตรงโน้นก็มีห้องดี ๆ มากมาย”
“ผู้ดูแลเจ้าค่ะ แขกที่พักในเรือนก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน ข้าขอพักด้วยไม่ได้เหรอ”
“ถ้าจะไม่ได้หรอกแม่หนู เพราะที่นี่อยู่กันสองคน อีกคนเป็นแม่เฒ่า ดุ เข้มงวด แล้วก็เอาใจยากด้วย”
“ไม่เป็นไรเลย ข้าอยู่ได้”
“ตอนนี้แม่เฒ่าไม่อยู่ เอาไว้กลับมาจะถามให้นะว่าจะยอมให้อยู่ด้วยหรือเปล่า”
“ก็ได้ แต่ระหว่างรอ ขอไปนั่งพักทางโน้นหน่อยได้ไหม”
“ตามสบายเลยแม่สาวน้อย ห้องพักที่นั่นน่าอยู่ทุกห้อง เห็นแล้วจะต้องชอบใจ”
อาเกมิเดินตามผู้ดูแลโรงเตี๊ยมออกจากตรอกไปยังประตูทางเข้าเรือนใหญ่
โอซือเลยไม่มีโอกาสได้พูดอะไร นึกเสียใจอยู่ครามครันว่าน่าจะถามอะไรออกไปสักคำ นึกเกลียดนิสิสัยตนเองตรงที่ตัดสินใจอะไรช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ ทำให้ต้องมานั่งคอตกอยู่คนเดียวอย่างนี้ทุกคราไป
อยากรู้อย่างเดียวว่า สาวน้อยคนนี้กับมูซาชิเป็นอะไรกัน
ตอนเห็นที่สะพานโกโจ ทั้งสองยืนคุยอะไรกันอยู่นานมาก เท่านั้นยังไม่พอ สุดท้ายก่อนจากกันแม่สาวคนงามยังร้องไห้ออเซาะให้มูซาชิโอบกอดเข้ามาซบอก น่าแค้นใจนัก
ไม่นึกเลยว่ามูซาชิจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
ทุกวันตั้งแต่วันนั้นมา โอซือพยายามเอาทางพระเข้าข่มความหึงหวง ตั้งสมาธิสงบสติอารมณ์เพื่อปัดเป่าความ รู้สึกที่บั่นทอนจิตใจให้มลายหายสิ้น
แต่แทนที่ความหึงหวงจะหายไป การพยายามเช่นนั้นกลับเป็นเหตุให้นางค้นพบความเป็นจริงที่ยิ่งเสียดแทงใจให้เป็นแผลบอบช้ำเหลือเกิน
---สาวน้อยคนนั้นสวยกว่า
---มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับมูซาชิมากกว่า
---จิตใจเข้มแข็งกว่า และฉลาดในเชิงใช้เสน่ห์มารยาจับดวงใจชาย
ที่ผ่านมาโอซือคิดถึงแต่ตัวเองกับมูซาชิ แต่พอมีโอกาสเข้าไปมองโลกของผู้หญิงด้วยกัน นางก็รู้สึกอ่อนด้อยขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับหญิงอื่นที่มีอยู่มากมายในโลกกว้าง เมื่อนึกถึงข้อด้อยก็พบว่ามากมายเกินกว่าจะจารนัยได้หมด
---ไม่สวย
---ไม่เข็มแข็ง
---ไร้ญาติขาดมิตร
แล้วอย่างนี้ยังกล้าหวัง กล้าตั้งความหวังที่ยิ่งใหญ่เกินตัว สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ความฝันที่จรรโลงใจในยามค่ำคืน และฟูฟ่องเป็นฟองอากาศแตกสลายไปเมื่อตื่น
ความกล้าหาญที่ทรงพลังยิ่งกว่าลมสลาตันเมื่อปีนขึ้นไปช่วยมูซาชิบนต้นสนพันปีที่วัดชิปโปจิเมื่อนานมาแล้วนั้นหายที่ไหนหมด ทำไมไม่สำแดงออกมา ทำไมจิตใจตนจึงมีแต่ความอ่อนแอ นึกถึงตอนที่เข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังล้อเกวียนเทียมวัวเมื่อเช้าวันนั้นที่สะพานโกโจแล้ว สุดแสนที่จะเวทนาตัวเอง
โจทาโรไปไหน มาช่วยข้าที
โอซือรำพึงอยู่คนเดียวด้วยความรันทด
ใช่ ความกล้าหาญเมื่อครั้งที่เราปีนต้นสนพันปีฝ่าลมสลาตันขึ้นไปนั้น คือพลังในวัยไร้เดียงสาอย่างที่โจทาโรยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ความคิดสับสนที่ทำให้ต้องกลัดกลุ้มอยู่คนเดียวนั้นเอง ที่ริดรอนความกล้าหาญเมื่อครั้งแรกรุ่นดรุณีให้หมดไปตามอายุวัยที่ล่วงเลย คิดมาถึงตรงนี้ หยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาคลอคลองเต็มเบ้าก็ร่วงเผาะลงบนผืนผ้าที่กำลังด้นปลายเข็มเป็นตะเข็บเรียบสวย
“อยู่หรือไม่อยู่ โอซือ ทำไมถึงไม่จุดตะเกียง อยู่ได้ยังไงมืด ๆ”
แม่เฒ่าโอซูงิกลับมาเมื่อพลบค่ำ และพอก้าวขึ้นเรือนรับรองก็ส่งเสียงบ่นขรมถมเถ