นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ศิษย์ที่อยู่ตรงนั้นได้ยินเสียงเรียกก็ขานรับและรับเข้าครัวเตรียมเหล้าสาเกเพื่อยกเข้ามาเทียบโดยด่วนตามสั่ง แต่พอมาถึงก็ต้องร้อง เอ๊ะ...เพราะเด็นชิจิโรหายไปจากห้องคนเจ็บแล้ว และพอเห็นคนเจ็บนอนตกหมอนกำลังไขว่ขว้าอะไรด้วยแขนที่เหลือเพียงข้างเดียว เจ้าหนุ่มก็ตกใจรีบวางถาดเหล้าสาเกลงแล้วปราดเข้าไปประคองให้หนุนหมอนตามเดิมเพลางระล่ำระลักถามอาการ
“เป็นอะไรไปขอรับอาจารย์น้อย” “เรียกกลับมา เรียกเด็นชิจิโรกลับมาเดี๋ยวนี้ ข้ายังพูดไม่จบ ไปตามตัวกลับมา”
เซจูโรเค้นคำสั่งออกมาได้ด้วยเสียงแหบเบา
ศิษย์หนุ่มโล่งใจที่อาจารย์น้อยของตนยังพูดได้เข้าใจดี จึงรับคำแข็งขันแล้วรีบออกไปตามตัวน้องชายเจ้าสำนักที่โรงฝึกวิชาดาบเป็นแห่งแรก
เด็นชิจิโรนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโรงฝึกที่ไม่ได้ย่างก้าวเข้ามานานมาก แวดล้อมไปด้วยศิษย์เอกทั้งสิบ ซึ่งได้แก่ อูเอดะ เรียวเฮ นัมโป นีอิเกะ และโอตางูโระ เป็นต้น
“ท่านเข้าไปเยี่ยมอาจารย์น้อยรึยัง”
“อือ ก็ไปดูมาแล้ว”
“อาจารย์น้อยคงจะดีใจมาก”
“ไม่เห็นจะดีใจสักเท่าไร ข้าเองก่อนเข้าไปในห้องก็อกใจตื้นตันอยู่ แต่พบหน้ากันจริง ๆ พูดดี ๆ กันไม่กี่คำต่างคนต่างพูดไม่เกรงใจใคร สุดท้ายก็ทะเลาะกันตามเคย”
“ทะเลาะหรือขอรับ โธ่ อาจารย์น้อย อาการเพิ่งจะดีขึ้นมาวันสองวันนี้เอง ไม่น่าไปชวนคนเจ็บทะเลาะเลย เดี๋ยวได้ทรุดลงไปอีกหรอก”
“เฮ้ย อะไร มาต่อว่าข้าคนเดียวได้ไง”
น้องชายเจ้าสำนักกับศิษย์เอกทั้งสิบพูดจากันฉันเพื่อนสนิท
เด็นชิจิโรจับไหล่เรียวเฮเขย่าแรง ๆ สำแดงพลังเชิงเย้าหยอก
“จะไม่ให้ข้าเดือดได้ยังไง เรียวเฮ ฟังพี่ชายข้าพูดเสียบ้าง เซจูโรบอกว่า...น้องชายอย่าคิดสู้กับมูซาชิเพื่อกู้ชื่อให้ข้าเพราะเจ้าไม่มีทางชนะ และถ้าเจ้าพ่ายแพ้สำนักดาบแห่งนี้ก็จะพลอยสิ้นชื่อและล่มสลายไปด้วย ขอให้ข้าได้รับความอับอายที่ปราชัยมูซาชิแต่เพียงผู้เดียว ต่อแต่นี้ข้าขอปฏิญาณว่าจะไม่จับดาบไปชั่วชีวิต ขอให้เจ้าจงทำหนเที่เจ้าสำนักแทนข้า กอบกู้ชื่อเสียงที่ข้าเป็นคนทำให้มัวหมองไปกลับมาและสร้างชื่อเสียงให้เกริกก้องขจรไกลยิ่งขึ้นด้วยเถิด...พี่ชายว่าอย่างนี้ เจ้าคิอดูก็แล้วกัน”
“อ้อ เข้าใจละ”
“เข้าใจอะไร เห็นด้วยกับพี่ชายงั้นรึ”
“... ... ...”
ยังไม่ทันที่เด็นชิจิโรจะหาเรื่องทะเลาะ ศิษย์หนุ่มที่มาตามหาและนั่งคอยจังหวะอยู่ก็ขัดขึ้น
“อาจารย์น้อยสั่งให้ข้ามาตามท่านเด็นชิจิโรกลับไปหาขอรับ”
เด็นชิจิโรเหลือบไปมอง และพอเห็นว่าเป็นศิษย์หนุ่มคนเดิมจึงถามว่า
“แล้วสาเกล่ะ”
“ข้าเอาไปวางไว้ในห้องอาจารย์น้อยเรียบร้อยแล้ว”
“ไปเอามา ข้าจะดื่มกับทุกคนที่นี่ เรามีเรื่องต้องคุยกันมากมาย”
“แต่ท่านอาจารย์น้อย...”
“ไม่ต้องพูดมาก พี่ชายข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี กลัวอะไรก็ไม่รู้ ข้าไม่อยากกวน ไปเอาสาเกมาเร็ว ๆ”
เรียวเฮ กับมีอิเกะ ปฏิเสธแทบจะพร้อมกันว่า
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมานั่งดื่มสาเกกัน”
เด็นชิจิโรทำหน้าไม่สบอารมณ์
“อะไรกันนี่ เจ้ามูซาชิคนเดียวทำให้หัวหดกันไปหมดอย่างนั้นรึ”
2
สำนักดาบโยชิโอกะยิ่งใหญ่เพียงใดผลกระทบจากอิทธิฤทธ์ของผู้พิชิตก็ยิ่งใหญ่ปานนั้น
พลังดาบไม้ที่มูซาชิฟาดฟันลงมาเพียงดาบเดียว ไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายของเจ้าสำนักบอบช้ำเจียนตายเท่านั้น แต่ยังริดรอนแสนยานุภาพของสำนักดาบโยชิโอกะแทบจะถอนรากถอนโคนเลยทีเดียว
ก่อนที่เด็นชิจิโรจะกลับมาถึงสำนัก บรรดาศิษย์เอกยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเคลื่อนไหวกันอย่างไรดี ระหว่างการหารือในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมาความคิดเห็นต่างกันออกไปสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเสนอให้ท้าประลองยุทธ์กับมูซาชิอีกครั้งส่วนอีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งฝ่ายนี้ไม่อาจเผยความในใจออกมาต่อหน้าน้องชายหัวร้อนของเจ้าสำนักผู้นี้จึงได้แต่กรอกตา
แม้ไม่พูดแต่เด็นชิจิโรก็สังเกตเห็นจึงบอกว่า
“ถึงจะบาดเจ็บ แต่พวกเจ้าจะให้ข้าจะทนฟังคำพูดที่แสดงถึงความอ่อนแอราวสตรีของพี่ชายได้อย่างไร อย่าหวังเลยว่าจะเห็นชอบด้วย”
ว่าแล้วก็รินสาเกจากกระปุกใส่จอกแจกเวียนไปรอบวง และประกาศด้วยท่าทีแข็งขันว่าตั้งแต่วันนี้ตนจะเป็นคนจัดการโรงฝึกวิชาดาบแทนพี่ชายตามแนวของตนเอง ขอให้ทุกคนปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีแห่งตน
“ข้าจะท้าประลองยุทธ์กับมูซาชิให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้างหนึ่ง ข้าตัดสินใจแล้วไม่ว่าพี่ชายจะคิดยังไงก็หยุดข้าไม่ได้ จะให้ข้าดำรงรักษาสำนักดาบอันเกรียงไกรของเราให้คงอยู่ไว้ได้อย่างไร โดยที่ปล่อยเจ้ามูซาชิลอยนวลอยู่ คิดอย่างนั้นก็มีแต่แพ้กับแพ้ ขอให้พวกเจ้าจงตระหนักไว้ว่าข้ากับพี่ชายนั้นคือคนละคนกัน”
“พวกเรา...”
นัมโปเอ่ยนขึ้นไม่สู้จะเต็มเสียงนัก
“เชื่อมั่นในฝีมือดาบของท่านเด็นชิจิโร แต่ทว่า”
“แต่ทว่าอะไร ไหนบอกมาสิ”
“ในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ข้าเห็นว่าท่านอาจารย์น้อยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมูซาชิมากไปกว่านักดาบฝึกหัด ไหนเลยจะมาเทียบเท่านักดาบจากสำนักที่เลื่องชื่อลือไกลมาตั้งแต่สมัยมูโรมาจิ จะแพ้หรือชนะก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพนันขันต่อ”
“ว่ายังไงนะ”
เด็นชิจิโรย้อนถามเสียงกร้าว ดวงตาเป็นประกายทำให้อีกฝ่ายระล่ำระลัก
“ข้า...ข้าขอถอนคำพูด...”
เด็นชิจิโรไม่รอฟังจนจบ ขยุ้มคอเสื้อนัมโปดึงให้ลุกขึ้น
“ไปให้พ้น ไอ้คนขี้ขลาด”
“ข้าขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดมาก คนขี้ขลาดอย่างเจ้าไม่สมควรมาเสนอหน้าร่วมวงดื่มกับข้า ไสหัวไปให้พ้น”
ว่าแล้วก็ผลักศิษย์เอกออกไปโดยแรง
นัมโปเสียหลักหลังกระแทกผนังโรงฝึกทรุดลงไปนั่งหน้าซีดอยู่กับพื้น ครู่หนึ่งต่อมาถึงยันตัวลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยโค้งคำนับมาทางวงสาเก
“ขอบคุณทุกท่านที่ให้ข้าร่วมวงด้วย”
แล้วหันไปคำนับทางแท่นบูชาพระก่อนลุกขึ้นก้าวเดินออกไปจากโรงฝึก
เด็นชิจิโรไม่ใส่ใจแม้แต่จะมองตาม ยกกระปุกสาเกรินใส่จอกไปทั่วแล้วชวนดื่ม
“เอ้า ดื่ม ๆ ดื่มแล้วแยกย้ายกันออกไปเที่ยวหาให้พบว่ามูซาชิพักแรมอยู่ที่ไหน คิดว่าไม่น่าจะออกเดินทางไปที่อื่น ป่านนี้คงยังเดินยืดอกอวดอภินิหารไปทั่วเกียวโต
ส่วนที่อยู่ในโรงฝึกก็ต้องระดมกำลังกันมาฝึกวิชาดาบกันให้คึกคักเช่นเดิม จะปล่อยให้เงียบเหงาอย่างนี้ไม่ได้ ข้าจะไปพักสักครู่ กลับออกมาจะต้องเรียบร้อย ขอให้เข้าใจกันให้ทั่ว ว่าข้านั้นดุดันนัก ไม่ใจอ่อนใจดีเหมือนพี่ชาย ขอให้เตรียมตัวรับมือเอาไว้ให้ดี ข้าไม่อ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น”
3
เจ็ดวันผ่านไป
ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาในโรงฝึกวิชาดาบของสำนักโยชิโอกะ
“ข้าพบตัวแล้ว”
เด็นชิจิโร ลงโรงฝึกทุกวันและสอนเชิงดาบแก่บรรดาศิษย์อย่างเข้มงวดและดุดัน จริงดังที่เจ้าตัวได้ประกาศเตือนเอาไว้
วันนี้ก็เช่นกัน เด็นชิจิโรทุ่มเทพละกำลังฝึกซ้อมลูกศิษย์อย่างเคร่งเครียดมาตั้งแต่เช้า โดยที่ใบหน้าไม่มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
“ช้าก่อน โอตางูโระ”
เด็นชิจิโรร้องบอกคู่ซ้อมระดับศิษย์เอกที่กำลังถูกต้อนเข้าไปจนมุมเหมือนเด็กอ่อนหัด ลดดาบไม้ในมือลงแล้วมองไปยังเจ้าหนุ่มที่เข้ามาแจ้งข่าว
“พบตัวมูซาชิแล้วรึ”
“ขอรับ”
“พบที่ไหน”
“มูซาชิพักอยู่ที่บ้านของฮนอามิ โคเอ็ตสึ ทางตะวันออกของจิชโชอิน”
“เป็นไปได้รึ เจ้านักดาบบ้านนอกอย่างนั้นจะรู้จักท่านโคเอ็ตสึได้ยังไง ไม่ผิดคนแน่นะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มูซาชิอยู่ที่นั่นแน่นอน”
“ดี งั้นพวกเรา ไปกัน”
ว่าแล้วก็ก้าวยาว ๆ ไปทางด้านในโรงฝึกเพื่อเตรียมตัวออกไปเผชิญหน้าปรปักษ์ โอตางูโระกับเรียวเฮ และศิษย์เอกคนอื่น ๆ ตามไปห้ามไว้
“ข้าคิดว่าการไปจู่โจมโดยไม่บอกกล่าวนั้นมันไม่เหมาะ เหมือนกับไปชวนทะเลาะวิวาทไม่สมกับที่เป็นนักดาบของสำนักเรา ถึงจะชนะผู้คนก็จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย”
“ข้าไม่สน การฝึกซ้อมย่อมต้องรักษามารยาทขตามวิถีแห่งดาบก็จริง แต่การประลองยุทธ์นั้นเป็นอีกเรื่อง ชนะเป็นชนะ”
“แต่กรณีของท่านอาจารย์น้อยไม่ใช่เช่นนั้นนะท่าน ข้าเข้าใจว่าการประลองยุทธ์ที่สง่างาม ควรมีการยื่นคำท้าทาย กำหนดวันเวลาและสถานที่กันก่อนหน้า”
“ก็จริง งั้นก็ทำตามนั้น แต่ระหว่างนั้น ใครอย่าได้บังอาจไปพูดอะไรให้พี่ชายมาขัดขวางข้าเป็นอันขาด ข้าจะต้องประดาบกับมูซาชิให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าเซจูโรหรือใครจะว่ายังไงก็ตาม”
“ท่านไม่ต้องกังวล ในช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมานี้คนที่คัดค้านและพวกอกตัญญูไม่รู้คุณสำนักดาบนโยชิโอกะ ได้พากันออกไปหมดแล้ว”
“ดี ไม่มีคนพวกนั้นสำนักดาบเราจะได้แข็งแกร่งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น เราไม่ต้องการนักดาบเสเพลอย่างกิองโทจิ และคนขี้ขลาดอย่างนัมโป อยากไปไหนก็ไปให้พ้น”
“เราควรบอกท่านอาจารย์น้อยก่อนส่งจดหมายไปท้าทายมูซาชิไหม”
“พวกเจ้าไม่ต้อง เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องไม่มีใครอ่อนข้อให้ใครค้างคามาได้เกือบสิบวันแล้ว บรรดาศิษย์เอกต่างก็ไม่รู้ว่าจะหาทางใดมาระงับข้อพิพาทนี้ได้ แต่เมื่อเด็นชิจิโรหายเงียบเข้าไปในห้องพี่ชายโดยไม่มีเสียงทะเลาะดังออกมา ทุกคนจึงคลายใจ
แต่พอจะหันหน้าเข้าปรึกษากันถึงวันเวลาและสถานที่ท้าประลองยุทธ์ครั้งที่สองต่อไป เด็นชิจิโรก็ส่งเสียงเรียกดังลั่นออกมาจากห้อง
“อูเอดะ นีอิเกะ โอตางูโระ และทุกคนเข้ามาในนี้หน่อย”
ไม่มีใครได้ยินเสียงของเซจูโร
ทุกคนถลันเข้าไปในห้องก็พบเด็นชิจิโรน้ำตากบตา ยืนเคว้งอยู่คนเดียวกลางห้อง
บรรดาศิษย์เอกตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนักดาบใจหาญกล้ามาก่อน
“ทุกคนดูนี่”
เสียงของเด็นชิจิโรโกรธเกรี้ยวขัดกับสีหน้าเศร้าหมอง ขณะยื่นจดหมายที่พี่ชายทิ้งไว้ก่อนจากให้ทุกคนดู
“พี่ชายทิ้งจดหมายสาธยายความคิดบ้า ๆ ยืดยาวฉบับนี้ไว้ให้ข้า ไม่บอกด้วยว่าไปไหน”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ศิษย์ที่อยู่ตรงนั้นได้ยินเสียงเรียกก็ขานรับและรับเข้าครัวเตรียมเหล้าสาเกเพื่อยกเข้ามาเทียบโดยด่วนตามสั่ง แต่พอมาถึงก็ต้องร้อง เอ๊ะ...เพราะเด็นชิจิโรหายไปจากห้องคนเจ็บแล้ว และพอเห็นคนเจ็บนอนตกหมอนกำลังไขว่ขว้าอะไรด้วยแขนที่เหลือเพียงข้างเดียว เจ้าหนุ่มก็ตกใจรีบวางถาดเหล้าสาเกลงแล้วปราดเข้าไปประคองให้หนุนหมอนตามเดิมเพลางระล่ำระลักถามอาการ
“เป็นอะไรไปขอรับอาจารย์น้อย” “เรียกกลับมา เรียกเด็นชิจิโรกลับมาเดี๋ยวนี้ ข้ายังพูดไม่จบ ไปตามตัวกลับมา”
เซจูโรเค้นคำสั่งออกมาได้ด้วยเสียงแหบเบา
ศิษย์หนุ่มโล่งใจที่อาจารย์น้อยของตนยังพูดได้เข้าใจดี จึงรับคำแข็งขันแล้วรีบออกไปตามตัวน้องชายเจ้าสำนักที่โรงฝึกวิชาดาบเป็นแห่งแรก
เด็นชิจิโรนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโรงฝึกที่ไม่ได้ย่างก้าวเข้ามานานมาก แวดล้อมไปด้วยศิษย์เอกทั้งสิบ ซึ่งได้แก่ อูเอดะ เรียวเฮ นัมโป นีอิเกะ และโอตางูโระ เป็นต้น
“ท่านเข้าไปเยี่ยมอาจารย์น้อยรึยัง”
“อือ ก็ไปดูมาแล้ว”
“อาจารย์น้อยคงจะดีใจมาก”
“ไม่เห็นจะดีใจสักเท่าไร ข้าเองก่อนเข้าไปในห้องก็อกใจตื้นตันอยู่ แต่พบหน้ากันจริง ๆ พูดดี ๆ กันไม่กี่คำต่างคนต่างพูดไม่เกรงใจใคร สุดท้ายก็ทะเลาะกันตามเคย”
“ทะเลาะหรือขอรับ โธ่ อาจารย์น้อย อาการเพิ่งจะดีขึ้นมาวันสองวันนี้เอง ไม่น่าไปชวนคนเจ็บทะเลาะเลย เดี๋ยวได้ทรุดลงไปอีกหรอก”
“เฮ้ย อะไร มาต่อว่าข้าคนเดียวได้ไง”
น้องชายเจ้าสำนักกับศิษย์เอกทั้งสิบพูดจากันฉันเพื่อนสนิท
เด็นชิจิโรจับไหล่เรียวเฮเขย่าแรง ๆ สำแดงพลังเชิงเย้าหยอก
“จะไม่ให้ข้าเดือดได้ยังไง เรียวเฮ ฟังพี่ชายข้าพูดเสียบ้าง เซจูโรบอกว่า...น้องชายอย่าคิดสู้กับมูซาชิเพื่อกู้ชื่อให้ข้าเพราะเจ้าไม่มีทางชนะ และถ้าเจ้าพ่ายแพ้สำนักดาบแห่งนี้ก็จะพลอยสิ้นชื่อและล่มสลายไปด้วย ขอให้ข้าได้รับความอับอายที่ปราชัยมูซาชิแต่เพียงผู้เดียว ต่อแต่นี้ข้าขอปฏิญาณว่าจะไม่จับดาบไปชั่วชีวิต ขอให้เจ้าจงทำหนเที่เจ้าสำนักแทนข้า กอบกู้ชื่อเสียงที่ข้าเป็นคนทำให้มัวหมองไปกลับมาและสร้างชื่อเสียงให้เกริกก้องขจรไกลยิ่งขึ้นด้วยเถิด...พี่ชายว่าอย่างนี้ เจ้าคิอดูก็แล้วกัน”
“อ้อ เข้าใจละ”
“เข้าใจอะไร เห็นด้วยกับพี่ชายงั้นรึ”
“... ... ...”
ยังไม่ทันที่เด็นชิจิโรจะหาเรื่องทะเลาะ ศิษย์หนุ่มที่มาตามหาและนั่งคอยจังหวะอยู่ก็ขัดขึ้น
“อาจารย์น้อยสั่งให้ข้ามาตามท่านเด็นชิจิโรกลับไปหาขอรับ”
เด็นชิจิโรเหลือบไปมอง และพอเห็นว่าเป็นศิษย์หนุ่มคนเดิมจึงถามว่า
“แล้วสาเกล่ะ”
“ข้าเอาไปวางไว้ในห้องอาจารย์น้อยเรียบร้อยแล้ว”
“ไปเอามา ข้าจะดื่มกับทุกคนที่นี่ เรามีเรื่องต้องคุยกันมากมาย”
“แต่ท่านอาจารย์น้อย...”
“ไม่ต้องพูดมาก พี่ชายข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี กลัวอะไรก็ไม่รู้ ข้าไม่อยากกวน ไปเอาสาเกมาเร็ว ๆ”
เรียวเฮ กับมีอิเกะ ปฏิเสธแทบจะพร้อมกันว่า
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมานั่งดื่มสาเกกัน”
เด็นชิจิโรทำหน้าไม่สบอารมณ์
“อะไรกันนี่ เจ้ามูซาชิคนเดียวทำให้หัวหดกันไปหมดอย่างนั้นรึ”
2
สำนักดาบโยชิโอกะยิ่งใหญ่เพียงใดผลกระทบจากอิทธิฤทธ์ของผู้พิชิตก็ยิ่งใหญ่ปานนั้น
พลังดาบไม้ที่มูซาชิฟาดฟันลงมาเพียงดาบเดียว ไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายของเจ้าสำนักบอบช้ำเจียนตายเท่านั้น แต่ยังริดรอนแสนยานุภาพของสำนักดาบโยชิโอกะแทบจะถอนรากถอนโคนเลยทีเดียว
ก่อนที่เด็นชิจิโรจะกลับมาถึงสำนัก บรรดาศิษย์เอกยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเคลื่อนไหวกันอย่างไรดี ระหว่างการหารือในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมาความคิดเห็นต่างกันออกไปสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเสนอให้ท้าประลองยุทธ์กับมูซาชิอีกครั้งส่วนอีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งฝ่ายนี้ไม่อาจเผยความในใจออกมาต่อหน้าน้องชายหัวร้อนของเจ้าสำนักผู้นี้จึงได้แต่กรอกตา
แม้ไม่พูดแต่เด็นชิจิโรก็สังเกตเห็นจึงบอกว่า
“ถึงจะบาดเจ็บ แต่พวกเจ้าจะให้ข้าจะทนฟังคำพูดที่แสดงถึงความอ่อนแอราวสตรีของพี่ชายได้อย่างไร อย่าหวังเลยว่าจะเห็นชอบด้วย”
ว่าแล้วก็รินสาเกจากกระปุกใส่จอกแจกเวียนไปรอบวง และประกาศด้วยท่าทีแข็งขันว่าตั้งแต่วันนี้ตนจะเป็นคนจัดการโรงฝึกวิชาดาบแทนพี่ชายตามแนวของตนเอง ขอให้ทุกคนปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีแห่งตน
“ข้าจะท้าประลองยุทธ์กับมูซาชิให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้างหนึ่ง ข้าตัดสินใจแล้วไม่ว่าพี่ชายจะคิดยังไงก็หยุดข้าไม่ได้ จะให้ข้าดำรงรักษาสำนักดาบอันเกรียงไกรของเราให้คงอยู่ไว้ได้อย่างไร โดยที่ปล่อยเจ้ามูซาชิลอยนวลอยู่ คิดอย่างนั้นก็มีแต่แพ้กับแพ้ ขอให้พวกเจ้าจงตระหนักไว้ว่าข้ากับพี่ชายนั้นคือคนละคนกัน”
“พวกเรา...”
นัมโปเอ่ยนขึ้นไม่สู้จะเต็มเสียงนัก
“เชื่อมั่นในฝีมือดาบของท่านเด็นชิจิโร แต่ทว่า”
“แต่ทว่าอะไร ไหนบอกมาสิ”
“ในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ข้าเห็นว่าท่านอาจารย์น้อยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมูซาชิมากไปกว่านักดาบฝึกหัด ไหนเลยจะมาเทียบเท่านักดาบจากสำนักที่เลื่องชื่อลือไกลมาตั้งแต่สมัยมูโรมาจิ จะแพ้หรือชนะก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพนันขันต่อ”
“ว่ายังไงนะ”
เด็นชิจิโรย้อนถามเสียงกร้าว ดวงตาเป็นประกายทำให้อีกฝ่ายระล่ำระลัก
“ข้า...ข้าขอถอนคำพูด...”
เด็นชิจิโรไม่รอฟังจนจบ ขยุ้มคอเสื้อนัมโปดึงให้ลุกขึ้น
“ไปให้พ้น ไอ้คนขี้ขลาด”
“ข้าขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดมาก คนขี้ขลาดอย่างเจ้าไม่สมควรมาเสนอหน้าร่วมวงดื่มกับข้า ไสหัวไปให้พ้น”
ว่าแล้วก็ผลักศิษย์เอกออกไปโดยแรง
นัมโปเสียหลักหลังกระแทกผนังโรงฝึกทรุดลงไปนั่งหน้าซีดอยู่กับพื้น ครู่หนึ่งต่อมาถึงยันตัวลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยโค้งคำนับมาทางวงสาเก
“ขอบคุณทุกท่านที่ให้ข้าร่วมวงด้วย”
แล้วหันไปคำนับทางแท่นบูชาพระก่อนลุกขึ้นก้าวเดินออกไปจากโรงฝึก
เด็นชิจิโรไม่ใส่ใจแม้แต่จะมองตาม ยกกระปุกสาเกรินใส่จอกไปทั่วแล้วชวนดื่ม
“เอ้า ดื่ม ๆ ดื่มแล้วแยกย้ายกันออกไปเที่ยวหาให้พบว่ามูซาชิพักแรมอยู่ที่ไหน คิดว่าไม่น่าจะออกเดินทางไปที่อื่น ป่านนี้คงยังเดินยืดอกอวดอภินิหารไปทั่วเกียวโต
ส่วนที่อยู่ในโรงฝึกก็ต้องระดมกำลังกันมาฝึกวิชาดาบกันให้คึกคักเช่นเดิม จะปล่อยให้เงียบเหงาอย่างนี้ไม่ได้ ข้าจะไปพักสักครู่ กลับออกมาจะต้องเรียบร้อย ขอให้เข้าใจกันให้ทั่ว ว่าข้านั้นดุดันนัก ไม่ใจอ่อนใจดีเหมือนพี่ชาย ขอให้เตรียมตัวรับมือเอาไว้ให้ดี ข้าไม่อ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น”
3
เจ็ดวันผ่านไป
ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาในโรงฝึกวิชาดาบของสำนักโยชิโอกะ
“ข้าพบตัวแล้ว”
เด็นชิจิโร ลงโรงฝึกทุกวันและสอนเชิงดาบแก่บรรดาศิษย์อย่างเข้มงวดและดุดัน จริงดังที่เจ้าตัวได้ประกาศเตือนเอาไว้
วันนี้ก็เช่นกัน เด็นชิจิโรทุ่มเทพละกำลังฝึกซ้อมลูกศิษย์อย่างเคร่งเครียดมาตั้งแต่เช้า โดยที่ใบหน้าไม่มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
“ช้าก่อน โอตางูโระ”
เด็นชิจิโรร้องบอกคู่ซ้อมระดับศิษย์เอกที่กำลังถูกต้อนเข้าไปจนมุมเหมือนเด็กอ่อนหัด ลดดาบไม้ในมือลงแล้วมองไปยังเจ้าหนุ่มที่เข้ามาแจ้งข่าว
“พบตัวมูซาชิแล้วรึ”
“ขอรับ”
“พบที่ไหน”
“มูซาชิพักอยู่ที่บ้านของฮนอามิ โคเอ็ตสึ ทางตะวันออกของจิชโชอิน”
“เป็นไปได้รึ เจ้านักดาบบ้านนอกอย่างนั้นจะรู้จักท่านโคเอ็ตสึได้ยังไง ไม่ผิดคนแน่นะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มูซาชิอยู่ที่นั่นแน่นอน”
“ดี งั้นพวกเรา ไปกัน”
ว่าแล้วก็ก้าวยาว ๆ ไปทางด้านในโรงฝึกเพื่อเตรียมตัวออกไปเผชิญหน้าปรปักษ์ โอตางูโระกับเรียวเฮ และศิษย์เอกคนอื่น ๆ ตามไปห้ามไว้
“ข้าคิดว่าการไปจู่โจมโดยไม่บอกกล่าวนั้นมันไม่เหมาะ เหมือนกับไปชวนทะเลาะวิวาทไม่สมกับที่เป็นนักดาบของสำนักเรา ถึงจะชนะผู้คนก็จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย”
“ข้าไม่สน การฝึกซ้อมย่อมต้องรักษามารยาทขตามวิถีแห่งดาบก็จริง แต่การประลองยุทธ์นั้นเป็นอีกเรื่อง ชนะเป็นชนะ”
“แต่กรณีของท่านอาจารย์น้อยไม่ใช่เช่นนั้นนะท่าน ข้าเข้าใจว่าการประลองยุทธ์ที่สง่างาม ควรมีการยื่นคำท้าทาย กำหนดวันเวลาและสถานที่กันก่อนหน้า”
“ก็จริง งั้นก็ทำตามนั้น แต่ระหว่างนั้น ใครอย่าได้บังอาจไปพูดอะไรให้พี่ชายมาขัดขวางข้าเป็นอันขาด ข้าจะต้องประดาบกับมูซาชิให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าเซจูโรหรือใครจะว่ายังไงก็ตาม”
“ท่านไม่ต้องกังวล ในช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมานี้คนที่คัดค้านและพวกอกตัญญูไม่รู้คุณสำนักดาบนโยชิโอกะ ได้พากันออกไปหมดแล้ว”
“ดี ไม่มีคนพวกนั้นสำนักดาบเราจะได้แข็งแกร่งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น เราไม่ต้องการนักดาบเสเพลอย่างกิองโทจิ และคนขี้ขลาดอย่างนัมโป อยากไปไหนก็ไปให้พ้น”
“เราควรบอกท่านอาจารย์น้อยก่อนส่งจดหมายไปท้าทายมูซาชิไหม”
“พวกเจ้าไม่ต้อง เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องไม่มีใครอ่อนข้อให้ใครค้างคามาได้เกือบสิบวันแล้ว บรรดาศิษย์เอกต่างก็ไม่รู้ว่าจะหาทางใดมาระงับข้อพิพาทนี้ได้ แต่เมื่อเด็นชิจิโรหายเงียบเข้าไปในห้องพี่ชายโดยไม่มีเสียงทะเลาะดังออกมา ทุกคนจึงคลายใจ
แต่พอจะหันหน้าเข้าปรึกษากันถึงวันเวลาและสถานที่ท้าประลองยุทธ์ครั้งที่สองต่อไป เด็นชิจิโรก็ส่งเสียงเรียกดังลั่นออกมาจากห้อง
“อูเอดะ นีอิเกะ โอตางูโระ และทุกคนเข้ามาในนี้หน่อย”
ไม่มีใครได้ยินเสียงของเซจูโร
ทุกคนถลันเข้าไปในห้องก็พบเด็นชิจิโรน้ำตากบตา ยืนเคว้งอยู่คนเดียวกลางห้อง
บรรดาศิษย์เอกตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนักดาบใจหาญกล้ามาก่อน
“ทุกคนดูนี่”
เสียงของเด็นชิจิโรโกรธเกรี้ยวขัดกับสีหน้าเศร้าหมอง ขณะยื่นจดหมายที่พี่ชายทิ้งไว้ก่อนจากให้ทุกคนดู
“พี่ชายทิ้งจดหมายสาธยายความคิดบ้า ๆ ยืดยาวฉบับนี้ไว้ให้ข้า ไม่บอกด้วยว่าไปไหน”