นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
โชคของมาตาฮาจิยังดีที่เด็นชิจิโรกับพวกวิ่งมาถึงและไล่ตะเพิดหมาจรจัดแตกฝูงไปตัวละทิศละทาง
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
มาตาฮาจิสิ้นท่าร้องสุดเสียง
“แก้มัดให้ข้าที”
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะสองสามคนในกลุ่มจำหน้ามาตาฮาจิได้
“เอ๊ะ เจ้านี่ ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าที่ร้านน้ำชาโยโมงิ”
“ก็ผัวแม่นางโอโคไง”
“ผัว...เอ๊ะ นางไม่น่ามีผัวนะ”
“ก็ต่อหน้ากิองโทจิเท่านั้นน่ะซี เจ้าไม่รู้หรอก จริง ๆ แล้วแม่นางเลี้ยงเจ้านี่เอาไว้”
“เหรอ งั้นก็แมงดาชัด ๆ”
เด็นชิจิโรได้ยินบรรดาศิษย์ซุบซิบกันก็นึกเวทนาจึงสั่งให้แก้มัด และซักถามเอาความละเอียด
เมื่อเป็นอิสระอีกครั้ง มาตาฮาจิก็กลับมาเป็นจอมกะล่อนคนเดิม สะบัดเนื้อสะบัดตัวกระฉับกระเฉงราวกับไม่ใช่คนที่เพิ่งผ่านวิกฤติมาหยก ปั้นเรื่องขึ้นมาตอบคำถามฉะฉานและไม่เอ่ยอะไรที่พาดพิงไปถึงพฤติกรรมที่น่าอับอายของตน
และพอรู้ชัดว่าเป็นพวกโยชิโอกะ เจ้าหนุ่มก็ได้ช่องปั้นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีมูซาชิเอาดีใส่ตัวทันทีว่า ตนกับเจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้เป็นคนบ้านเดียวกันที่แคว้นมิมาซากะ มูซาชิกับคู่หมั้นของตนพากันหนีไปจากหมู่บ้านเป็นการละเมิดประเพณีอย่างร้ายแรง ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลป่นปี้ ไม่อาจกลับไปมองหน้าผู้คนที่บ้านเกิดได้อีกเพราะมีแต่คนสาปแช่ง
เล่าไปถึงแม่เฒ่าโอซูงิผู้เป็นแม่เจ็บแค้นแทนตน ออกเดินทางจากหมู่บ้านที่ไม่เกิดจากไกลตั้งแต่เกิดโดยไม่คำนึงถึงสังขารมุ่งไล่ล่ามูซาชิด้วยกันกับตน โดยตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้าไม่ได้ฆ่ามูซาชิและจัดการนางผู้หญิงนอกใจให้สาแก่ใจแล้วละก็จะไม่ขอกลับถิ่น---
เมื่อกี้ได้ยินพวกท่านซุบซิบกันว่าข้าเป็นผัวนางโอโค ขอบอกเลยว่าพวกท่านเข้าใจผิดทั้งเพ ข้าพักอยู่ที่ร้านน้ำชาโยโมงิก็จริงแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางโอโค หลักฐานก็มีอย่างที่ท่านเห็น โอโคกับกิองโทจิรักกันยังกับอะไรดี และตอนนี้ก็จูงมือกันไปเสวยสุขอยู่ที่แว่นแคว้นไหนก็ไม่รู้ พวกท่านคิดดูก็แล้วกันถ้าข้าเป็นผัวนางข้าจะปล่อยให้ทำตามอำเภอใจอย่างนั้นรึ
ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องไร้สาระพวกนั้น ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าในตอนนี้คือต้องตามหาแม่กับมูซาชิศัตรูคู่แค้นให้พบโดยเร็ว ระหว่างที่เดินทางผ่านโอซากาด้านนอกก็ได้ยินข่าวลูกชายคนโตผู้สืบทอดสำนักดาบ โยชิโอกะเพลี่ยงพล้ำในการประลองยุทธ์กับมูซาชิถึงกับบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงดิ่งมาที่นี่ด้วยความหวังว่าจะได้พบและล้างแค้นให้สาแก่ใจ แต่โชคไม่เข้าข้าง ข้าถูกโจรป่าสิบกว่าคนรุมล้อมทำร้ายกลางทาง ข้ายอมให้มันชิงทรัพย์สินสิ่งของไปจนหมดตัวต่อหน้าต่อตาโดยไม่ขัดขืน เพราะจะต้องถนอมกายและรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อการล้างแค้นทั้งของตัวเองและโอซูงิผู้เป็นแม่---
มาตาฮาจิเล่าความเป็นมาจนจบ แล้วทิ้งท้ายว่า
“ขอบใจพวกท่านมาก ทั้งสำนักดาบโยชิโอกะและตัวข้าเองต่างก็มีมูซาชิเป็นคู่อาฆาตที่จะยอมให้มีชีวิตอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้ การที่พวกท่านมาช่วยแก้มัดให้ข้านั้นคงเป็นเพราะโชคชะตานำพาให้เรามาพบกัน สังเกตจากความมีสง่าราศีแล้วท่านน่าจะเป็นน้องชายของเซจูโรที่มุ่งพิชิตมูซาชิเพื่อล้างแค้นเช่นเดียวกับข้า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าใครจะเร็วกว่ากัน ข้าหวังว่าจะได้พบกับท่านอีกหลังจากที่บรรลุเป้าหมายแล้ว”
จะว่าถ้อยคำที่มาตาฮาจิพูดมาเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะมีความจริงเจือปนอยู่บ้างไม่มากก็น้อยเหมือนกัน แต่จอมกะล่อนก็อดอายตัวเองไม่ได้ที่พลั้งปากออกไปเป็นเชิงว่าตนน่าจะพิชิตมูซาชิได้ก่อน
“ตอนนี้คิดว่าแม่ข้าคงจะมาแสวงบุญที่วัดคิโยมิซุเดระเพื่อขอพรให้พิชิตมูซาชิได้สมดังปรารถนา ข้าจึงจะตามไปหาและเมื่อพบแล้วข้าจะหาโอกาสไปคารวะท่านอักครั้งที่โรงฝึกดาบชิโจ วันนี้ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านการเดินทางของท่านต้องชะงักด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
มาตาฮาจิรีบตัดบทก่อนที่พล่ามอะไรออกมาให้อีกฝ่ายสงสัยและเดินขโยกเขยกจากไป สำหรับเจ้าจอมกะล่อนแล้วนับว่าเป็นการเอาตัวรอดที่ไม่เลวนัก
กลุ่มศิษย์สำนักดาบมองตามไปด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เด็นชิจิโรเห็นบรรดาศิษย์ทำหน้าเอือมระอาจึงมองตามไปบ้างพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ
“อะไรของมันนะ เจ้าหมอนี่”
2
วันนี้เป็นวันที่สี่หลังจากที่หมอบอกว่าอาการจะอยู่ในขีดอันตรายหลายวัน เซจูโรผ่านช่วงที่สาหัสสากันต์มาอย่างแทบจะเอาชีวิตไม่รอดมาจนกระทั่งเมื่อวานจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
นักดาบผู้ปราชัยลืมตาขึ้นได้ในที่สุด
นี่มันเช้าหรือค่ำกันแน่
แสงไฟจากตะเกียงข้างหมอนริบหรี่ลงแทบจะดับ ไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ สักคนได้ยินแต่เสียงกรนในห้องข้าง ๆ คงเป็นพวกที่มาเฝ้าพยาบาลดูแลที่หลับกลิ้งไปด้วยความเหนื่อยเพลีย
เสียงไก่ขันที่แว่วมาแต่ไกลเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
อยู่อย่างอัปยศ
เซจูโรดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้า ปลายนิ้วสั่นระริกคล้ายกำลังสะอื้นไห้
จากนี้ไปจะสู้หน้าใครได้
คิดแล้วสุดจะหักห้ามน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้ไหลหลั่ง จะทำได้ก็เพียงกลั้นสะอื้น
ชื่อเสียงของโยชิโอกะ เค็มโปผู้เป็นบิดาเกริกก้องกำจรไกล ยิ่งใหญ่สุดที่ลูกชายผู้ต่ำต้อยด้อยฝีมือคนนี้จะผงาดขึ้นไปเทียมทัน แม้เพียงจะสืบทอดสำนักดาบดำรงรักษาชื่อเสียงของบิดาเอาไว้ก็ยังไม่มีทั้งพลังและปัญญา จนสุดท้ายก็พาทั้งตัวเองและตระกูลมาถึงจุดล่มสลายอย่างไร้หนทางที่จะกู้กลับคืน
อวสานสำนักดาบโยชิโอกะ
ตะเกียงข้างหมอนดับวูบลง ภายในห้องสลัวลางด้วยแสงอรุณรุ่ง ทำให้นึกถึงยามที่ยืนเผชิญหน้ากับคู่ประลองยุทธ์สายหมอกยามเช้าตรู่ที่ทุ่งเร็นไดจิขึ้นมาอีก และ...
แววตาของมูซาชิ
แค่นึกถึงก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ความจริงตนไม่ได้เป็นศัตรูของมูซาชิมาตั้งแต่ต้น แล้วทำไมถึงไม่โยนดาบไม้ทิ้งไปต่อหน้าเพื่อแสดงว่าไม่อยากต่อกรด้วย อย่างน้อยก็ยังช่วยรักษาชื่อของสำนักดาบเอาไว้ ดีกว่าจะสู้ทั้งที่รู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้
เหตุเพราะความทะนงตน เอาชื่อเสียงเกียรติคุณของพ่อมาสวมใส่เป็นของตัวเองโดยไม่ได้สำนึกถึงความปรีชาสามารถที่ต่างกันสุดขั้ว ตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกชายของโยชิโอกะ เค็มโป ข้าเคยฝึกวิชาดาบด้วยความมานะพยายามเหมือนศิษย์คนอื่นหรือก็ไม่ ก่อนที่จะพ่ายแพ้เชิงดาบของมูซาชิครั้งนี้ ข้าประสบความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับมาแล้วทั้งในฐานะประมุขของตระกูลและในฐานะที่เป็นมนุษย์ การประลองยุทธ์กับมูซาชิเป็นเพียงฟันเฟืองสุดท้ายที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่ความล่มสลายเท่านั้นเอง---สำนักดาบโยชิโอกะจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไรในกระแสสังคมหลังจากนี้ จุดจบมองเห็นรำไรอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
จิตใจของนักดาบผู้พ่ายหวั่นไหว เมื่อหลับตาลงและหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาชุ่มขนตาไหลเป็นสายลงมาที่ข้างหู..
ทำไมข้าไม่ตายเสียที่ทุ่งเร็นไดจิ รอดมาทำไม
เซจูโรขมวดคิ้วกลั้นความเจ็บปวดบาดแผลที่แขนขวาถูกตัดทิ้ง รู้สึกหวาดกลัววันใหม่ที่กำลังรุ่งแจ้งขึ้นมาเป็นที่สุด
เสียงทุบประตูแรง ๆ ดังมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของใครคนหนึ่งตรงมาปลุกคนที่นอนหลับอยู่ในห้องข้าง ๆ
“อะไรนะ”
“ท่านเด็นชิจิมาถึงแล้วงั้นรึ”
พอรู้เรื่องส่วนหนึ่งรีบวิ่งออกไปต้อนรับ อีกส่วนหนึ่งปราดเข้ามาที่เซจูโร
“อาจารย์น้อย อาจารย์น้อยขอรับ ท่านเด็นชิจิโรมาถึงแล้ว เดี๋ยวก็จะได้พบกันนะขอรับ”
คนหนึ่งวิ่งไปเปิดหน้าต่างชั้นนอก เอาถ่านมาสุมกระถางเตาผิง เอาเบาะรองนั่งมาปูเตรียมไว้ และไม่ทันรอก็ได้ยินเสียงทุ้มห้าวของน้องชาย ดังผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามา
“นี่หรือ ห้องที่จัดให้พี่ชาย”
คิดถึงเพราะไม่ได้เจอกันมานาน แต่เซจูโรก็อับอายเป็นที่สุดไม่อยากให้น้องชายจะเข้ามาเห็นตนในสภาพเช่นนั้น
“พี่ชาย”
เซจูโรลืมตาที่อ่อนระโหยขึ้นมองน้องชายที่ก้าวเข้ามาใกล้ อยากยิ้มให้แต่ก็ยิ้มไม่ออก
เด็นชิจิโรมาพร้อมกับกลิ่นสุรากรุ่นไปทั้งตัว
3
“เป็นยังไงบ้างพี่ชาย”
ท่าทางคึกคักมีชีวิตชีวาเหลือเกินของเด็นชิจิโรดูเหมือนจะข่มให้ประสาทของคนเจ็บอ่อนเปลี้ยไปอีก
“... ... ...”
เซจูโรหลับตานิ่งเงียบ
“เห็นไหมพี่ชาย เวลาคับขันทีไรน้องชายที่ไม่เอาไหนคนนี้ก็กลับมาให้กำลังใจเป็นที่พึ่งได้ทุกที พอรู้ข่าวน้องก็เก็บข้าวของออกเดินทางจากมิยาเงะทันที แวะซิ้งเสบียงและสาเกที่เคเซโจในโอซากาและก็วิ่งมาตลอดคืน สบายใจได้แล้วพี่ชาย เด็นชิจิโรมาแล้ว ข้าจะไม่ให้ใครเข้ามาแตะต้องสำนักดาบโยชิโอกะของเราได้แม้แต่นิ้วมือเดียว”
ว่าแล้วก็หันไปโวยกับศิษย์ที่เข้ามาจะชงชาให้
“เฮ้ย อะไรเนี่ย น้ำชาไม่ต้องเลย ไปเอาสาเกมาเร็ว”
ศิษย์หนุ่มรับคำแล้วรีบกระวีกระวาดออกไปตามสั่ง
“อ้าว แล้วเปิดประตูไว้ทำไม ใครอยู่ตรงนั้นเข้ามาปิดที คนไข้หนาวจะแย่อยู่แล้ว บ้ารึไง”
เด็นชิจิโรเอ็ดตะโรเสร็จก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิกระเถิบไปที่กระถางเตาผิง และก้มลงมองหน้าพี่ชายนิ่งอยู่
“การประลองยุทธ์ครั้งนั้นมันเป็นยังไงมายังไงรึ เจ้านักดาบชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิคนนี้เพิ่งจะเริ่มเป็นที่รู้จักกันได้ไม่นานมานี้นี่เอง ไม่นึกเลยว่าพี่จะพลาดท่าเจ้านักดาบมือใหม่อ่อนหัดแบบนั้น”
ศิษย์คนที่ถูกสั่งให้ไปเอาสุราส่งเสียงเรียกมาจากนอกห้อง
“ท่านเด็นชิจิโรขอรับ ข้าเตรียมสาเกไว้ทางโน้นแล้ว ไปอาบน้ำก่อนดีไหม”
“ไปเอามา ข้าจะดื่มที่นี่ ใครบอกว่าข้าจะอาบน้ำ ไม่ต้องมายุ่ง”
“ดื่มข้างคนเจ็บงั้นเหรอ”
“เออ ข้าไม่ได้พบกับพี่ชายมานานอยากคุยกัน แต่ก่อนเราไม่ค่อยจะกินเส้นกันมานาน แต่ในเวลาอย่างนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าพี่น้อง ข้าจะดื่มตรงนี้แหละ”
เด็นชิจิโรรินสาเกจากกระปุกใส่จอกดื่มติด ๆ กันสองสามจอก แล้วครางในลำคออย่างอิ่มอกอิ่มใจ
“นี่ถ้าไม่เจ็บป่วย ก็คงจะได้ดื่มกันสักจอกสองจอก”
นักดาบร่างใหญ่สนุกอยู่คนเดียว
เซจูโรเหลือบตามองเชิงปราม
“น้องชาย อย่ามาดื่มข้างที่นอนข้าอย่างนี้ได้ไหม”
“อ้าว ทำไมรึ”
“ไม่ชอบ มันทำข้านึกถึงอะไร ๆ ที่ไม่ดี”
“อะไร ๆ ที่ไม่ดีน่ะ อะไร”
“ข้าคิดถึงพ่อ พ่อต้องไม่พอใจแน่ถ้ามาเห็นพี่น้องเอาแต่สนุกกับการร่ำสุรา ไม่รู้จักทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง”
“พูดยังกับว่าไปทำอะไรไม่ดีมางั้นแหละ”
“---เจ้าไม่ได้เจอกับตัวเองพูดไปก็เปล่าประโยชน์ แต่สำหรับข้า ระหว่างที่นอนเจ็บอยู่ข้าได้อ่านจิตอ่านใจของตัวเองจนปรุโปร่ง และประจักษ์ว่าได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร้ค่าเป็นที่สุด”
เด็นชิจิโรหัวเราะชอบใจ
“พี่ชายทำไมพูดอะไรไร้สาระอย่างนี้ ข้ารู้ดีว่าพี่ชายเป็นคนจิตใจอ่อนไหว ซึ่งไม่ใช่นิสัยของนักดาบ ถ้าให้พูดกันตรง ๆ ก็คือคิดผิดที่ไปประลองยุทธ์กับคนอย่างมูซาชิ และไม่ว่าจะเป็นนักดาบคนใดก็ไม่ควรไปรับคำท้าของเขา บทเรียนครั้งนี้คงทำให้พี่รู้ตัวแล้วว่าไม่ควรจับดาบอีก แค่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักโยชิโอกะรุ่นที่สองสืบต่อจากพ่อไว้เป็นพอ แต่ถ้ามีนักดาบคนใดกล้าดีมาท้าประลองยุทธ์และหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เด็นชิจิโรคนนี้แหละจะออกไปรับมือเอง เชื่อฝีมือเถอะ ส่วนโรงฝึกวิชาดาบปล่อยให้เป็นธุระของน้องชายคนนี้ ข้าจะทำให้สำนักดาบของเรารุ่งเรืองไม่แพ้สมัยพ่อเลยคอยดู เพียงแต่พี่ชายอย่ามาแคลงใจว่าข้าจะทะเยอทะยานยึดตำแหน่งเจ้าสำนักเท่านั้นเป็นพอ”
ว่าแล้วก็ยกจอกสาเกขึ้นดื่มจนหยดสุดท้าย
“น้องชาย”
เซจูโรยันตัวขึ้นทันทีที่ได้ฟังคำของเด็นชิจิโร แต่ไม่อาจทำได้ดังใจด้วยแขนข้างเดียว แม้แต่จะสลัดผ้าห่มก็ยังไม่พ้นตัว
4
“เด็นชิจิโร”
เซจูโรยืนมือข้างหนึ่งจากผ้าห่มออกมายึดแขนน้องชายเอาไว้แน่น แรงของคนเจ็บก็ทำเอาคนแข็งแรงเจ็บได้เหมือนกัน
“อะไร ๆ พี่ชาย เดี๋ยวสาเกก็หกหมดกันพอดี”
เด็นชิจิโรรีบเปลี่ยนมือที่ถือจอกเป็นพัลวัน
“จะอะไรอีก”
“น้องชาย พี่ยกโรงฝึกดาบให้เจ้าตามความประสงค์ แต่อยากให้เจ้ารับเป็นคนสืบตระกูลพร้อมกันไปเลย”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา ถ้าพี่ชายประสงค์เช่นนั้น”
“เจ้าอย่าตอบพล่อย ๆ ขอคิดให้ดีก่อนนะน้องชาย อย่างน้อยก็ขอให้เห็นแก่เกียรติภูมิที่พ่อเราสร้างเอาไว้ อย่าให้ต้องมัวหมองอย่างที่ข้าพลาดครั้งนี้เลย ข้ายอมปิดสำนักเสียดีกว่าที่จะให้มันเลวร้ายไปกว่านี้”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพี่ชาย จะห่วงอะไรในเมื่อเด็นชิจิโรคนนี้เป็นคนละคนกับเซจูโร”
“เจ้าให้สัญญาได้ไหมล่ะว่าจะตั้งใจทำหน้าที่ให้สมกับเป็นเจ้าสำนักดาบอันทรงเกียรติแห่งนี้”
“เดี๋ยว ๆ ถ้าจะให้เลิกสาเกละก็ ไม่นะ ขออย่างเดียวเลย”
“สาเกอย่างเดียวยังพอไหว เพราะสาเหตุที่ทำให้พี่ผิดพลาดไม่ใช่สาเก”
“ผู้หญิงละซี จุดอ่อนของพี่อยู่ที่ผู้หญิงนี่แหละ ชอบนักเชียว คราวนี้ถ้าหายดีแล้วก็มีเมียเป็นตัวเป็นตนเสียทีเถอะ ข้าขอร้อง”
“ไม่หรอก ครั้งนี้พี่ถือเป็นโอกาสที่จะได้วางดาบเสียที เรื่องเมียนั้นไม่คิดที่จะมี พี่มีภาระเหลืออยู่อีกอย่างเดียวคือต้องช่วยเหลือคน ๆ หนึ่ง และพอเห็นคน ๆ นั้นมีความสุขแล้ว พี่ก็ไม่มีความหวังอะไรอีกในชีวิต และตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวในกระท่อมชายทุ่งที่ไหนสักแห่ง
“เอ๊ะ ใครกันที่พี่ชายต้องช่วย”
“ช่างเถอะ เจ้าช่วยดูแลทางนี้ด้วยก็แล้วกัน ถึงพี่ชายจะกลายเป็นคนพิกลพิการไร้ค่าน่าสมเพทอย่างที่เห็น แต่ก็ยังมีจิตวิญญาณของความเป็นนักรบ และขอใช้ความเป็นนักรบนั้นวิงวอนน้องชายให้รักษาสัญญาที่ว่าจะดูแลสำนักดาบโยชิโอกะของเราให้รุ่งเรือง อย่าได้พรากพลั้งเหมือนข้าผู้เป็นพี่ชายอีกเลย”
“พี่ชายไม่ต้องห่วง เด็นชิจิโรขอสัญญาว่าจะกอบกู้ชื่อของพี่ให้กลับมาขาวสะอาจดั่งหิมะบนยอดเขาไกดลโพ้นนั้นดังเดิม ว่าแต่พี่ชายรู้ไหวว่าตอนนี้มูซาชิอยู่ที่ไหน”
“มูซาชิรึ”
เซจูโรลืมตาโพลง จ้องหน้าน้องชายเขม็งทำท่าคล้ายจะพูดอะไรออกมา แต่ก็กลั้นเอาไว้
“เด็นชิจิโร เจ้าอย่าบอกนะว่ากำลังคิดจะประลองยุทธ์กับมูซาชิ ทั้งที่เห็นสภาพพี่แล้วเช่นนี้”
“จนป่านนี้แล้วพี่จะมาพูดอะไรอย่างนั้น ที่ส่งม้าเร็วไปเรียกข้ามาก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกรึ ข้ากับศิษย์สำนักคนอื่น ๆ ถึงได้รีบกลับมาโดยไม่ได้หลับได้นอน ตั้งใจว่าพอมาถึงจะต้องรีบออกไปดักเจ้ามูซาชิอะไรนั่นไว้ให้ได้ในทันที ก่อนที่มันจะหนีไปไหน”
“น้องชายเข้าใจพี่ผิด”
เซจูโรส่ายหน้า และมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย”
พี่ชายสั่งเสียงแหบพร่าแต่ทรงพลัง
“ทำไม”
น้องชายตะลึงและย้อนถามเกือบเป็นตะคอก
ใบหน้าของคนเจ็บแดงเรื่อขึ้น ตอบห้วน ๆ ว่า
“เพราะเจ้าไม่มีทางชนะ”
“ไม่มีทางชนะใคร”
เด็นชิจิโรบันดาลโทสะจนหน้าเขียว
“ไม่มีทางชนะมูซาชิน่ะซี”
“ใครนะ”
“น้องชาย เจ้าไม่มีทางมูซาชิ ฝีมือระดับเจ้า...”
“พี่ชายถ้าจะเสียสติไปแล้ว”
เด็นชิจิโรแค่นหัวเราะจนตัวโยน ปัดมือพี่ชายออกจากแขน แล้วรินสาเกจากกระปุกใส่จอกด้วยตนเอง ก่อนร้องตะโกนเสียงขรม
“คนอยู่ตรงนั้น ไปเอาสาเกมาเติมด่วนเลย”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
โชคของมาตาฮาจิยังดีที่เด็นชิจิโรกับพวกวิ่งมาถึงและไล่ตะเพิดหมาจรจัดแตกฝูงไปตัวละทิศละทาง
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
มาตาฮาจิสิ้นท่าร้องสุดเสียง
“แก้มัดให้ข้าที”
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะสองสามคนในกลุ่มจำหน้ามาตาฮาจิได้
“เอ๊ะ เจ้านี่ ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าที่ร้านน้ำชาโยโมงิ”
“ก็ผัวแม่นางโอโคไง”
“ผัว...เอ๊ะ นางไม่น่ามีผัวนะ”
“ก็ต่อหน้ากิองโทจิเท่านั้นน่ะซี เจ้าไม่รู้หรอก จริง ๆ แล้วแม่นางเลี้ยงเจ้านี่เอาไว้”
“เหรอ งั้นก็แมงดาชัด ๆ”
เด็นชิจิโรได้ยินบรรดาศิษย์ซุบซิบกันก็นึกเวทนาจึงสั่งให้แก้มัด และซักถามเอาความละเอียด
เมื่อเป็นอิสระอีกครั้ง มาตาฮาจิก็กลับมาเป็นจอมกะล่อนคนเดิม สะบัดเนื้อสะบัดตัวกระฉับกระเฉงราวกับไม่ใช่คนที่เพิ่งผ่านวิกฤติมาหยก ปั้นเรื่องขึ้นมาตอบคำถามฉะฉานและไม่เอ่ยอะไรที่พาดพิงไปถึงพฤติกรรมที่น่าอับอายของตน
และพอรู้ชัดว่าเป็นพวกโยชิโอกะ เจ้าหนุ่มก็ได้ช่องปั้นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีมูซาชิเอาดีใส่ตัวทันทีว่า ตนกับเจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้เป็นคนบ้านเดียวกันที่แคว้นมิมาซากะ มูซาชิกับคู่หมั้นของตนพากันหนีไปจากหมู่บ้านเป็นการละเมิดประเพณีอย่างร้ายแรง ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลป่นปี้ ไม่อาจกลับไปมองหน้าผู้คนที่บ้านเกิดได้อีกเพราะมีแต่คนสาปแช่ง
เล่าไปถึงแม่เฒ่าโอซูงิผู้เป็นแม่เจ็บแค้นแทนตน ออกเดินทางจากหมู่บ้านที่ไม่เกิดจากไกลตั้งแต่เกิดโดยไม่คำนึงถึงสังขารมุ่งไล่ล่ามูซาชิด้วยกันกับตน โดยตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้าไม่ได้ฆ่ามูซาชิและจัดการนางผู้หญิงนอกใจให้สาแก่ใจแล้วละก็จะไม่ขอกลับถิ่น---
เมื่อกี้ได้ยินพวกท่านซุบซิบกันว่าข้าเป็นผัวนางโอโค ขอบอกเลยว่าพวกท่านเข้าใจผิดทั้งเพ ข้าพักอยู่ที่ร้านน้ำชาโยโมงิก็จริงแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางโอโค หลักฐานก็มีอย่างที่ท่านเห็น โอโคกับกิองโทจิรักกันยังกับอะไรดี และตอนนี้ก็จูงมือกันไปเสวยสุขอยู่ที่แว่นแคว้นไหนก็ไม่รู้ พวกท่านคิดดูก็แล้วกันถ้าข้าเป็นผัวนางข้าจะปล่อยให้ทำตามอำเภอใจอย่างนั้นรึ
ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องไร้สาระพวกนั้น ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าในตอนนี้คือต้องตามหาแม่กับมูซาชิศัตรูคู่แค้นให้พบโดยเร็ว ระหว่างที่เดินทางผ่านโอซากาด้านนอกก็ได้ยินข่าวลูกชายคนโตผู้สืบทอดสำนักดาบ โยชิโอกะเพลี่ยงพล้ำในการประลองยุทธ์กับมูซาชิถึงกับบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงดิ่งมาที่นี่ด้วยความหวังว่าจะได้พบและล้างแค้นให้สาแก่ใจ แต่โชคไม่เข้าข้าง ข้าถูกโจรป่าสิบกว่าคนรุมล้อมทำร้ายกลางทาง ข้ายอมให้มันชิงทรัพย์สินสิ่งของไปจนหมดตัวต่อหน้าต่อตาโดยไม่ขัดขืน เพราะจะต้องถนอมกายและรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อการล้างแค้นทั้งของตัวเองและโอซูงิผู้เป็นแม่---
มาตาฮาจิเล่าความเป็นมาจนจบ แล้วทิ้งท้ายว่า
“ขอบใจพวกท่านมาก ทั้งสำนักดาบโยชิโอกะและตัวข้าเองต่างก็มีมูซาชิเป็นคู่อาฆาตที่จะยอมให้มีชีวิตอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้ การที่พวกท่านมาช่วยแก้มัดให้ข้านั้นคงเป็นเพราะโชคชะตานำพาให้เรามาพบกัน สังเกตจากความมีสง่าราศีแล้วท่านน่าจะเป็นน้องชายของเซจูโรที่มุ่งพิชิตมูซาชิเพื่อล้างแค้นเช่นเดียวกับข้า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าใครจะเร็วกว่ากัน ข้าหวังว่าจะได้พบกับท่านอีกหลังจากที่บรรลุเป้าหมายแล้ว”
จะว่าถ้อยคำที่มาตาฮาจิพูดมาเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะมีความจริงเจือปนอยู่บ้างไม่มากก็น้อยเหมือนกัน แต่จอมกะล่อนก็อดอายตัวเองไม่ได้ที่พลั้งปากออกไปเป็นเชิงว่าตนน่าจะพิชิตมูซาชิได้ก่อน
“ตอนนี้คิดว่าแม่ข้าคงจะมาแสวงบุญที่วัดคิโยมิซุเดระเพื่อขอพรให้พิชิตมูซาชิได้สมดังปรารถนา ข้าจึงจะตามไปหาและเมื่อพบแล้วข้าจะหาโอกาสไปคารวะท่านอักครั้งที่โรงฝึกดาบชิโจ วันนี้ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านการเดินทางของท่านต้องชะงักด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
มาตาฮาจิรีบตัดบทก่อนที่พล่ามอะไรออกมาให้อีกฝ่ายสงสัยและเดินขโยกเขยกจากไป สำหรับเจ้าจอมกะล่อนแล้วนับว่าเป็นการเอาตัวรอดที่ไม่เลวนัก
กลุ่มศิษย์สำนักดาบมองตามไปด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เด็นชิจิโรเห็นบรรดาศิษย์ทำหน้าเอือมระอาจึงมองตามไปบ้างพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ
“อะไรของมันนะ เจ้าหมอนี่”
2
วันนี้เป็นวันที่สี่หลังจากที่หมอบอกว่าอาการจะอยู่ในขีดอันตรายหลายวัน เซจูโรผ่านช่วงที่สาหัสสากันต์มาอย่างแทบจะเอาชีวิตไม่รอดมาจนกระทั่งเมื่อวานจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
นักดาบผู้ปราชัยลืมตาขึ้นได้ในที่สุด
นี่มันเช้าหรือค่ำกันแน่
แสงไฟจากตะเกียงข้างหมอนริบหรี่ลงแทบจะดับ ไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ สักคนได้ยินแต่เสียงกรนในห้องข้าง ๆ คงเป็นพวกที่มาเฝ้าพยาบาลดูแลที่หลับกลิ้งไปด้วยความเหนื่อยเพลีย
เสียงไก่ขันที่แว่วมาแต่ไกลเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
อยู่อย่างอัปยศ
เซจูโรดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้า ปลายนิ้วสั่นระริกคล้ายกำลังสะอื้นไห้
จากนี้ไปจะสู้หน้าใครได้
คิดแล้วสุดจะหักห้ามน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้ไหลหลั่ง จะทำได้ก็เพียงกลั้นสะอื้น
ชื่อเสียงของโยชิโอกะ เค็มโปผู้เป็นบิดาเกริกก้องกำจรไกล ยิ่งใหญ่สุดที่ลูกชายผู้ต่ำต้อยด้อยฝีมือคนนี้จะผงาดขึ้นไปเทียมทัน แม้เพียงจะสืบทอดสำนักดาบดำรงรักษาชื่อเสียงของบิดาเอาไว้ก็ยังไม่มีทั้งพลังและปัญญา จนสุดท้ายก็พาทั้งตัวเองและตระกูลมาถึงจุดล่มสลายอย่างไร้หนทางที่จะกู้กลับคืน
อวสานสำนักดาบโยชิโอกะ
ตะเกียงข้างหมอนดับวูบลง ภายในห้องสลัวลางด้วยแสงอรุณรุ่ง ทำให้นึกถึงยามที่ยืนเผชิญหน้ากับคู่ประลองยุทธ์สายหมอกยามเช้าตรู่ที่ทุ่งเร็นไดจิขึ้นมาอีก และ...
แววตาของมูซาชิ
แค่นึกถึงก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ความจริงตนไม่ได้เป็นศัตรูของมูซาชิมาตั้งแต่ต้น แล้วทำไมถึงไม่โยนดาบไม้ทิ้งไปต่อหน้าเพื่อแสดงว่าไม่อยากต่อกรด้วย อย่างน้อยก็ยังช่วยรักษาชื่อของสำนักดาบเอาไว้ ดีกว่าจะสู้ทั้งที่รู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้
เหตุเพราะความทะนงตน เอาชื่อเสียงเกียรติคุณของพ่อมาสวมใส่เป็นของตัวเองโดยไม่ได้สำนึกถึงความปรีชาสามารถที่ต่างกันสุดขั้ว ตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกชายของโยชิโอกะ เค็มโป ข้าเคยฝึกวิชาดาบด้วยความมานะพยายามเหมือนศิษย์คนอื่นหรือก็ไม่ ก่อนที่จะพ่ายแพ้เชิงดาบของมูซาชิครั้งนี้ ข้าประสบความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับมาแล้วทั้งในฐานะประมุขของตระกูลและในฐานะที่เป็นมนุษย์ การประลองยุทธ์กับมูซาชิเป็นเพียงฟันเฟืองสุดท้ายที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่ความล่มสลายเท่านั้นเอง---สำนักดาบโยชิโอกะจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไรในกระแสสังคมหลังจากนี้ จุดจบมองเห็นรำไรอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
จิตใจของนักดาบผู้พ่ายหวั่นไหว เมื่อหลับตาลงและหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาชุ่มขนตาไหลเป็นสายลงมาที่ข้างหู..
ทำไมข้าไม่ตายเสียที่ทุ่งเร็นไดจิ รอดมาทำไม
เซจูโรขมวดคิ้วกลั้นความเจ็บปวดบาดแผลที่แขนขวาถูกตัดทิ้ง รู้สึกหวาดกลัววันใหม่ที่กำลังรุ่งแจ้งขึ้นมาเป็นที่สุด
เสียงทุบประตูแรง ๆ ดังมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของใครคนหนึ่งตรงมาปลุกคนที่นอนหลับอยู่ในห้องข้าง ๆ
“อะไรนะ”
“ท่านเด็นชิจิมาถึงแล้วงั้นรึ”
พอรู้เรื่องส่วนหนึ่งรีบวิ่งออกไปต้อนรับ อีกส่วนหนึ่งปราดเข้ามาที่เซจูโร
“อาจารย์น้อย อาจารย์น้อยขอรับ ท่านเด็นชิจิโรมาถึงแล้ว เดี๋ยวก็จะได้พบกันนะขอรับ”
คนหนึ่งวิ่งไปเปิดหน้าต่างชั้นนอก เอาถ่านมาสุมกระถางเตาผิง เอาเบาะรองนั่งมาปูเตรียมไว้ และไม่ทันรอก็ได้ยินเสียงทุ้มห้าวของน้องชาย ดังผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามา
“นี่หรือ ห้องที่จัดให้พี่ชาย”
คิดถึงเพราะไม่ได้เจอกันมานาน แต่เซจูโรก็อับอายเป็นที่สุดไม่อยากให้น้องชายจะเข้ามาเห็นตนในสภาพเช่นนั้น
“พี่ชาย”
เซจูโรลืมตาที่อ่อนระโหยขึ้นมองน้องชายที่ก้าวเข้ามาใกล้ อยากยิ้มให้แต่ก็ยิ้มไม่ออก
เด็นชิจิโรมาพร้อมกับกลิ่นสุรากรุ่นไปทั้งตัว
3
“เป็นยังไงบ้างพี่ชาย”
ท่าทางคึกคักมีชีวิตชีวาเหลือเกินของเด็นชิจิโรดูเหมือนจะข่มให้ประสาทของคนเจ็บอ่อนเปลี้ยไปอีก
“... ... ...”
เซจูโรหลับตานิ่งเงียบ
“เห็นไหมพี่ชาย เวลาคับขันทีไรน้องชายที่ไม่เอาไหนคนนี้ก็กลับมาให้กำลังใจเป็นที่พึ่งได้ทุกที พอรู้ข่าวน้องก็เก็บข้าวของออกเดินทางจากมิยาเงะทันที แวะซิ้งเสบียงและสาเกที่เคเซโจในโอซากาและก็วิ่งมาตลอดคืน สบายใจได้แล้วพี่ชาย เด็นชิจิโรมาแล้ว ข้าจะไม่ให้ใครเข้ามาแตะต้องสำนักดาบโยชิโอกะของเราได้แม้แต่นิ้วมือเดียว”
ว่าแล้วก็หันไปโวยกับศิษย์ที่เข้ามาจะชงชาให้
“เฮ้ย อะไรเนี่ย น้ำชาไม่ต้องเลย ไปเอาสาเกมาเร็ว”
ศิษย์หนุ่มรับคำแล้วรีบกระวีกระวาดออกไปตามสั่ง
“อ้าว แล้วเปิดประตูไว้ทำไม ใครอยู่ตรงนั้นเข้ามาปิดที คนไข้หนาวจะแย่อยู่แล้ว บ้ารึไง”
เด็นชิจิโรเอ็ดตะโรเสร็จก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิกระเถิบไปที่กระถางเตาผิง และก้มลงมองหน้าพี่ชายนิ่งอยู่
“การประลองยุทธ์ครั้งนั้นมันเป็นยังไงมายังไงรึ เจ้านักดาบชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิคนนี้เพิ่งจะเริ่มเป็นที่รู้จักกันได้ไม่นานมานี้นี่เอง ไม่นึกเลยว่าพี่จะพลาดท่าเจ้านักดาบมือใหม่อ่อนหัดแบบนั้น”
ศิษย์คนที่ถูกสั่งให้ไปเอาสุราส่งเสียงเรียกมาจากนอกห้อง
“ท่านเด็นชิจิโรขอรับ ข้าเตรียมสาเกไว้ทางโน้นแล้ว ไปอาบน้ำก่อนดีไหม”
“ไปเอามา ข้าจะดื่มที่นี่ ใครบอกว่าข้าจะอาบน้ำ ไม่ต้องมายุ่ง”
“ดื่มข้างคนเจ็บงั้นเหรอ”
“เออ ข้าไม่ได้พบกับพี่ชายมานานอยากคุยกัน แต่ก่อนเราไม่ค่อยจะกินเส้นกันมานาน แต่ในเวลาอย่างนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าพี่น้อง ข้าจะดื่มตรงนี้แหละ”
เด็นชิจิโรรินสาเกจากกระปุกใส่จอกดื่มติด ๆ กันสองสามจอก แล้วครางในลำคออย่างอิ่มอกอิ่มใจ
“นี่ถ้าไม่เจ็บป่วย ก็คงจะได้ดื่มกันสักจอกสองจอก”
นักดาบร่างใหญ่สนุกอยู่คนเดียว
เซจูโรเหลือบตามองเชิงปราม
“น้องชาย อย่ามาดื่มข้างที่นอนข้าอย่างนี้ได้ไหม”
“อ้าว ทำไมรึ”
“ไม่ชอบ มันทำข้านึกถึงอะไร ๆ ที่ไม่ดี”
“อะไร ๆ ที่ไม่ดีน่ะ อะไร”
“ข้าคิดถึงพ่อ พ่อต้องไม่พอใจแน่ถ้ามาเห็นพี่น้องเอาแต่สนุกกับการร่ำสุรา ไม่รู้จักทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง”
“พูดยังกับว่าไปทำอะไรไม่ดีมางั้นแหละ”
“---เจ้าไม่ได้เจอกับตัวเองพูดไปก็เปล่าประโยชน์ แต่สำหรับข้า ระหว่างที่นอนเจ็บอยู่ข้าได้อ่านจิตอ่านใจของตัวเองจนปรุโปร่ง และประจักษ์ว่าได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร้ค่าเป็นที่สุด”
เด็นชิจิโรหัวเราะชอบใจ
“พี่ชายทำไมพูดอะไรไร้สาระอย่างนี้ ข้ารู้ดีว่าพี่ชายเป็นคนจิตใจอ่อนไหว ซึ่งไม่ใช่นิสัยของนักดาบ ถ้าให้พูดกันตรง ๆ ก็คือคิดผิดที่ไปประลองยุทธ์กับคนอย่างมูซาชิ และไม่ว่าจะเป็นนักดาบคนใดก็ไม่ควรไปรับคำท้าของเขา บทเรียนครั้งนี้คงทำให้พี่รู้ตัวแล้วว่าไม่ควรจับดาบอีก แค่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักโยชิโอกะรุ่นที่สองสืบต่อจากพ่อไว้เป็นพอ แต่ถ้ามีนักดาบคนใดกล้าดีมาท้าประลองยุทธ์และหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เด็นชิจิโรคนนี้แหละจะออกไปรับมือเอง เชื่อฝีมือเถอะ ส่วนโรงฝึกวิชาดาบปล่อยให้เป็นธุระของน้องชายคนนี้ ข้าจะทำให้สำนักดาบของเรารุ่งเรืองไม่แพ้สมัยพ่อเลยคอยดู เพียงแต่พี่ชายอย่ามาแคลงใจว่าข้าจะทะเยอทะยานยึดตำแหน่งเจ้าสำนักเท่านั้นเป็นพอ”
ว่าแล้วก็ยกจอกสาเกขึ้นดื่มจนหยดสุดท้าย
“น้องชาย”
เซจูโรยันตัวขึ้นทันทีที่ได้ฟังคำของเด็นชิจิโร แต่ไม่อาจทำได้ดังใจด้วยแขนข้างเดียว แม้แต่จะสลัดผ้าห่มก็ยังไม่พ้นตัว
4
“เด็นชิจิโร”
เซจูโรยืนมือข้างหนึ่งจากผ้าห่มออกมายึดแขนน้องชายเอาไว้แน่น แรงของคนเจ็บก็ทำเอาคนแข็งแรงเจ็บได้เหมือนกัน
“อะไร ๆ พี่ชาย เดี๋ยวสาเกก็หกหมดกันพอดี”
เด็นชิจิโรรีบเปลี่ยนมือที่ถือจอกเป็นพัลวัน
“จะอะไรอีก”
“น้องชาย พี่ยกโรงฝึกดาบให้เจ้าตามความประสงค์ แต่อยากให้เจ้ารับเป็นคนสืบตระกูลพร้อมกันไปเลย”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา ถ้าพี่ชายประสงค์เช่นนั้น”
“เจ้าอย่าตอบพล่อย ๆ ขอคิดให้ดีก่อนนะน้องชาย อย่างน้อยก็ขอให้เห็นแก่เกียรติภูมิที่พ่อเราสร้างเอาไว้ อย่าให้ต้องมัวหมองอย่างที่ข้าพลาดครั้งนี้เลย ข้ายอมปิดสำนักเสียดีกว่าที่จะให้มันเลวร้ายไปกว่านี้”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพี่ชาย จะห่วงอะไรในเมื่อเด็นชิจิโรคนนี้เป็นคนละคนกับเซจูโร”
“เจ้าให้สัญญาได้ไหมล่ะว่าจะตั้งใจทำหน้าที่ให้สมกับเป็นเจ้าสำนักดาบอันทรงเกียรติแห่งนี้”
“เดี๋ยว ๆ ถ้าจะให้เลิกสาเกละก็ ไม่นะ ขออย่างเดียวเลย”
“สาเกอย่างเดียวยังพอไหว เพราะสาเหตุที่ทำให้พี่ผิดพลาดไม่ใช่สาเก”
“ผู้หญิงละซี จุดอ่อนของพี่อยู่ที่ผู้หญิงนี่แหละ ชอบนักเชียว คราวนี้ถ้าหายดีแล้วก็มีเมียเป็นตัวเป็นตนเสียทีเถอะ ข้าขอร้อง”
“ไม่หรอก ครั้งนี้พี่ถือเป็นโอกาสที่จะได้วางดาบเสียที เรื่องเมียนั้นไม่คิดที่จะมี พี่มีภาระเหลืออยู่อีกอย่างเดียวคือต้องช่วยเหลือคน ๆ หนึ่ง และพอเห็นคน ๆ นั้นมีความสุขแล้ว พี่ก็ไม่มีความหวังอะไรอีกในชีวิต และตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวในกระท่อมชายทุ่งที่ไหนสักแห่ง
“เอ๊ะ ใครกันที่พี่ชายต้องช่วย”
“ช่างเถอะ เจ้าช่วยดูแลทางนี้ด้วยก็แล้วกัน ถึงพี่ชายจะกลายเป็นคนพิกลพิการไร้ค่าน่าสมเพทอย่างที่เห็น แต่ก็ยังมีจิตวิญญาณของความเป็นนักรบ และขอใช้ความเป็นนักรบนั้นวิงวอนน้องชายให้รักษาสัญญาที่ว่าจะดูแลสำนักดาบโยชิโอกะของเราให้รุ่งเรือง อย่าได้พรากพลั้งเหมือนข้าผู้เป็นพี่ชายอีกเลย”
“พี่ชายไม่ต้องห่วง เด็นชิจิโรขอสัญญาว่าจะกอบกู้ชื่อของพี่ให้กลับมาขาวสะอาจดั่งหิมะบนยอดเขาไกดลโพ้นนั้นดังเดิม ว่าแต่พี่ชายรู้ไหวว่าตอนนี้มูซาชิอยู่ที่ไหน”
“มูซาชิรึ”
เซจูโรลืมตาโพลง จ้องหน้าน้องชายเขม็งทำท่าคล้ายจะพูดอะไรออกมา แต่ก็กลั้นเอาไว้
“เด็นชิจิโร เจ้าอย่าบอกนะว่ากำลังคิดจะประลองยุทธ์กับมูซาชิ ทั้งที่เห็นสภาพพี่แล้วเช่นนี้”
“จนป่านนี้แล้วพี่จะมาพูดอะไรอย่างนั้น ที่ส่งม้าเร็วไปเรียกข้ามาก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกรึ ข้ากับศิษย์สำนักคนอื่น ๆ ถึงได้รีบกลับมาโดยไม่ได้หลับได้นอน ตั้งใจว่าพอมาถึงจะต้องรีบออกไปดักเจ้ามูซาชิอะไรนั่นไว้ให้ได้ในทันที ก่อนที่มันจะหนีไปไหน”
“น้องชายเข้าใจพี่ผิด”
เซจูโรส่ายหน้า และมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย”
พี่ชายสั่งเสียงแหบพร่าแต่ทรงพลัง
“ทำไม”
น้องชายตะลึงและย้อนถามเกือบเป็นตะคอก
ใบหน้าของคนเจ็บแดงเรื่อขึ้น ตอบห้วน ๆ ว่า
“เพราะเจ้าไม่มีทางชนะ”
“ไม่มีทางชนะใคร”
เด็นชิจิโรบันดาลโทสะจนหน้าเขียว
“ไม่มีทางชนะมูซาชิน่ะซี”
“ใครนะ”
“น้องชาย เจ้าไม่มีทางมูซาชิ ฝีมือระดับเจ้า...”
“พี่ชายถ้าจะเสียสติไปแล้ว”
เด็นชิจิโรแค่นหัวเราะจนตัวโยน ปัดมือพี่ชายออกจากแขน แล้วรินสาเกจากกระปุกใส่จอกด้วยตนเอง ก่อนร้องตะโกนเสียงขรม
“คนอยู่ตรงนั้น ไปเอาสาเกมาเติมด่วนเลย”