xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน ลูกชายคนรอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
เสลี่ยงคานหามที่ชนชั้นสูงใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณและเพิ่งจะมีคนดัดแปลงให้กลายมาเป็นพาหนะที่ชาวเมืองใช้กันเกร่อเมื่อไม่นานมานี้เองนั้น เป็นกระเช้าไม้ไผ่เล็ก ๆ ทรงสี่เหลี่ยมมีไม้สอดข้างบนให้คนสองคนหามหัวท้าย ร้องรับกันเป็นจังหวะ เอ๊ะโฮะ ยะโฮะ ระหว่างพาผู้โดยสารที่อยู่ในสภาพเหมือนพัสดุสินค้าไปยังจุดหมายที่จ้างวานกันไว้
และความที่เป็นกระเช้าตื้น ๆ ใครไปเจอคนหามร่างกายแข็งแรงวิ่งเร็วเข้าก็อาจกระเด็นตกลงมาโดยที่คนหามไม่รู้ตัวก็ได้ ถึงเป็นที่รู้กันว่าเวลาขึ้นกระเช้าจะต้องเอามือทั้งคู่ยึดคานไม้ไผ่ด้านหน้าและหลังเอาไว้ให้มั่น และหายใจตามจังหวะ เอ๊ะโฮะ ยะโฮะ ที่ตัวถูกโยนขึ้นลงอยู่ในตะกร้า ไปตลอดทาง
กระเช้าคานหามคันนั้นวิ่งฉิวผ่านป่าสน มีคนเจ็ดแปดคนบางคนถือโคมไฟรวมแล้วราวสามสี่ดวงวิ่งสุดฝีเท้าตามมาเป็นกลุ่ม ราวกับถูกลมพายุหอบมาจากทางด้านวัดโทจิ
เส้นทางสายนี้ เมื่อตกดึกจะคึกคักไปด้วยเสียงร้องเป็นจังหวะกระชั้นถี่ของคนหามกระเช้าและเสียงแซ่เร่งฝีเท้าม้า แสดงให้เห็นถึงการเดินทางอย่างเร่งรีบ อาจเป็นเพราะเส้นทางสัญจรทางแม่น้ำโยโดงาวะซึ่งเป็นทางคมนาคมหลักระหว่างเกียวโตกับโอซากาถูกปิด ใครที่มีธุระเร่งด่วนจึงต้องไปทางบกซึ่งใช้เวลาข้ามคืนเช่นนี้
คนหามกระเช้าทั้งคู่วิ่งฉิวขึ้นไปอีกตามเสียงเร่ง
“เร็วอีกหน่อยได้ไหม อีกนิดหนึ่งก็จะถึงรคคุโจแล้ว”
ระยะทางที่ทั้งกลุ่มคนและคนหามกระเช้าทั้งคู่วิ่งสุดฝีเท้ามานั้นไม่ใช่ว่าใกล้ ๆ ต่างคนจึงเหนื่อยแทบขาดใจกันแล้วทั้งนั้น
“รคคุโจรึ แล้วที่นี่ล่ะ”
“ป่าสนรคคุโจ”
“งั้นก็อีกนิดเดียว”
จะไม่ให้คนหามกระเช้ากับกลุ่มหนุ่มเหนื่อยแทบตับแลบกันได้ยังไง เพราะโคมไฟประทับตราของทางราชการที่ใช้กันในสำนักนางโลมย่าน เคเซมาจิในโอซากาบ่งบอกระยะทางที่วิ่งสุดฝีเท้ากันมาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งคนในกระเช้าคานหามก็ร่างใหญ่จนแทบล้นออกมาอย่างนั้น
“เกือบถึงชิโจแล้วขอรับ”
เจ้าหนุ่มคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้าไปบอกชายร่างใหญ่ในกระเช้าที่นั่งหลับสบาย คออ่อนคอพับไปตามจังหวะเหวี่ยงของกระเช้า
“เฮ้ย ๆ เดี๋ยวตก”
เจ้าหนุ่มอีกคนหนึ่งถลาเข้าไปผลักร่างใหญ่ที่ทำท่าจะร่วงลงมากลับเข้าไปในกระเช้าได้ทันท่วงที
แรงผลักทำให้ชายร่างใหญ่ลืมตาโพลง
“คอแห้งจัง ใครก็ได้เอาเหล้ามาให้ข้าที เอาหล้าในกระบอกไม้ไผ่มาเดี๋ยวนี้”
พอดีได้จังหวะที่ทุกคนกำลังอยากพัก และยังไม่ทันขาดคำที่เจ้าหนุ่มหัวหน้ากลุ่มร้องสั่ง เจ้าคนหามก็ทิ้งคานหามปล่อยกระเช้าลงกับพื้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย ทั้งคนหามกระเช้าและเจ้าหนุ่มทั้งกลุ่ม ต่างดึงผืนผ้าที่พกติดตัวขึ้นมาเช็ดหน้า เช็ดเหงื่อที่ขนหน้าอกและตามเนื้อตัวที่โชกเหงื่อราวกับปลาที่เพิ่งถูกตกขึ้นมาจากน้ำ
“ท่านเด็นชิจิโร สาเกเหลืออีกนิดเดียวเองนะขอรับ”
ชายร่างใหญ่ในกระเช้า ฉวยกระบอกไม้ไผ่ที่เจ้าหนุ่มคนหนึ่งส่งให้ไปดื่มรวดเดียวเกลี้ยง แล้วร้องลั่น
“โอ้ย เสียวฟัน ทำไมมันเฉียบอย่างนี้”
ความเย็นจนเสียวฟันปลุกให้เด็นชิจิโรตื่นขึ้นมาเต็มที่
นักดาบหนุ่มร่างใหญ่ยื่นหน้าจากกระเช้าและแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้า
“ยังไม่สว่างเลย เราทำเวลาได้เร็วมากเลยนะ”
“แต่มันนานมากสำหรับอาจารย์น้อยนะขอรับ สำหรับคนที่คอยนั้นหนึ่งนาทีนั้นนานเท่ากับหนึ่งปีเลยทีเดียว”
“ขอให้พี่ชายมีชีวิตอยู่ให้ข้าได้ดูใจก่อนเถิด”
“หมอบอกว่าน่าจะทัน แต่ก็ห่วงตรงที่อาจารย์น้อยเครียดมากทำให้เลือดไหลมากกว่าปกติ”
“พี่ชายคงจะแค้นใจมาก”
เด็นชิจิโรยกกระบอกเหล้าขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องขัดใจเพราะไม่มีเหล้าเหลือสักหยด
“---มูซาชิ”
นักดาบร่างใหญ่คำราม พร้อมกับขว้างกระบอกไม้ไผ่ลงกับพื้นเต็มแรง
“รีบไป เร็ว...”
2
เด็นชิจิโรลูกชายคนรองของตระกูลโยชิโอกะผู้นี้มีนิสัยแตกต่างกันคนละขั้วกับเซจูโรพี่ชาย มีชื่อเสียงเลื่องลือจากการเป็นนักดื่มคอแข็งอย่างหาตัวจับได้ยาก แม้จะเจ้าอารมณ์แต่ก็เป็นนักดาบผู้มีฝีมือแกร่งกล้า จนเป็นที่กล่าวขวัญกันว่าเหนือกว่าเค็มโปผู้เป็นบิดาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เสียอีก และได้รับความเคารพยำเกรงจากศิษย์ทุกคนในสำนักดาบโยชิโอกะ
พี่น้องคู่นี้ไม่ถูกกันเอามาก ๆ มีคนได้ยินเด็นชิจิโรพูดใส่หน้าพี่ชายว่า
พี่คงสืบตำแหน่งเจ้าสำนักต่อจากพ่อไม่ไหวละมัง ยอมสละตำแหน่งเสียแต่เนิ่น ๆ ดีกว่าไหม
อย่างไรก็ตามระหว่างที่เค็มโปผู้เป็นบิดายังมีชีวิตอยู่ สองพี่น้องช่วยงานการฝึกซ้อมและกิจการของสำนักดาบกันเป็นอย่างดี แต่พอบิดาถึงแก่กรรมและเซจูโรผู้พี่สืบตำแหน่งเจ้าสำนักดาบโยชิโอกะ เด็นชิจิโรก็แทบไม่เข้ามาในโรงฝึกวิชาดาบของพี่ชาย เมื่อปีที่แล้วลูกชายคนรองของอดีตเจ้าสำนักผู้นี้ออกเดินทางจากเกียวโตไปอิเซะกับเพื่อนสองสามคน และขากลับได้แวะเยือนยากิว เซกิชูไซ นักดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งหุบเขายากิว และไม่ได้กลับมาเกียวโตอีกเลยและไม่มีใครรู้ข่าวคราวด้วยว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน
เด็นชิจิโรหายไปจากบ้านเป็นปี แต่ก็ไม่มีใครห่วงว่าเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ผู้นี้จะอดตาย เพราะแค่อ้างชื่อพ่อนาน ๆ ครั้งก็จะได้อยู่อย่างสบายไม่ต้องทำงานทำการให้เหนื่อยยากเหมือนคนอื่น มีเหล้ายาปลาปิ้งมากมายให้ดื่มกินพลางนินทาพี่ชายตามใจชอบ เป็นที่คัดเคืองของบรรดาศิษย์อาวุโสผู้เคร่งระเบียบวินัยอันดียิ่งนัก (ถึงได้ข่าวว่ามีคนพบเด็นชิจิโรเที่ยวหัวราน้ำอยู่ที่มิยาเงะในเฮียวโงะ ก็ไม่มีใครสนใจติดตามไปเอาตัวกลับมา)
จนกระทั่งเซจูโรได้รับบาดเจ็บปางตายหลังการประลองยุทธ์กับมูซาชิที่ทุ่งเร็งไดจิ
บรรดาศิษย์สำนักดาบเซจูโรเห็นพ้องกันว่าเด็นชิจิโรเป็นคนเดียวที่จะสามารถลบล้างความอัปยศครั้งนี้ได้ ก่อนที่เซจูโรจะครวญครางหาน้องชายเสียอีก
แม้ว่ามิยาเงะในเฮียวโงะจะเป็นเบาะแสที่ช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ผู้อาวุโสในสำนักดาบก็รีบส่งนักดาบกลุ่มหนุ่มห้าหกคนไปยังเฮียวโงะทันที ไม่นานก็พบตัวเด็นชิจิโรและจับใส่กระเช้าหามมาดังนี้
แม้ว่าปกติจะไม่ชอบหน้าพี่ชายนัก แต่พอได้ยินว่าพี่ชายซึ่งพ่ายแพ้ในการประลองยุทธ์ ทั้งเสียชื่อสำนักดาบ โยชิโอกะและบาดเจ็บสาหัส ครวญครางหาเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะตาย เด็นชิจิโรก็ไม่ลังเลแม้แต่อึดใจเดียว
นักดาบร่างใหญ่กระโดดขึ้นกระเช้าแล้วสั่งให้ออกวิ่งสุดฝีเท้าทันที ทั้งยังเร่งไปตลอดทางอย่างไม่ยั้งคิดว่าร่างที่หนักหนาจะทรมานทรกรรมไหล่เจ้าคนหามกระเช้าทั้งคู่เพียงใด และกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ต้องหยุดเปลี่ยนที่ร้านเช่ากระเช้าถึงสามสี่หน
แต่ถึงจะรีบเร่งปานใด เด็นชิจิโรก็ไม่ลืมที่จะซื้อเหล้ามาตุนเอาไว้ในกระบอกไม้ไผ่ทุกครั้งที่หยุดเปลี่ยนกระเช้า จะว่าเพื่อย้อมใจที่ตื่นระทึกกับข่าวของพี่ชายก็ไม่ถูกนัก ในเมื่อหนุ่มร่างใหญ่ผู้นี้ปกติเป็นนักดื่มคอทองแดงอยู่แล้ว ยิ่งได้นั่งเอ้เตอยู่ในกระเช้ารับลมเย็น ๆ ระหว่างที่ที่เจ้าคนแบกวิ่งควบราวกับบินไปตามริมฝั่งแม่น้ำโอโดงาวะและทุ่งนาด้วยแล้ว ก็ยิ่งดื่มเพลินไม่มีเมา
เด็นชิจิโรยกกระบอกเหล้าขึ้นดื่ม พอไม่มีเหล้าเหลือสักหยดก็หงุดหงิดและพาลไปถึง---มูซาชิ จึงคำราม พร้อมกับขว้างกระบอกไม้ไผ่ลงกับพื้นเต็มแรง
แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนหามกระเช้า ศิษย์กลุ่มหนุ่มและเพื่อนของตนสองสามคน มองเข้าไปในความมืดของป่าสนเป็นตาเดียวกัน
“อะไรน่ะ”
“แค่เสียงหมาเห่าเท่านั้นเอง”
ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ข้างกระเช้าโดยไม่สนใจกับเสียงเร่ง
เด็นชิจิโรชักเดือดดาลจึงตวาดเสียงเขียว
“รีบไป เร็ว...ไม่ได้ยินรึไง”
ทุกคนจึงสะดุ้งรีบเข้าประจำที่ ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งบอกว่า
“ช้าก่อนท่านเด็นชิจิโร หมาเห่าอย่างนั้น ข้าว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้น”
แต่เด็นชิจิโรไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคิดถึงเรื่องอื่น
3
ความจริงก็ไม่เห็นจะต้องใส่ใจอะไร มันก็แค่เสียงหมาเห่ากัน และที่ดังขรมก็คงจะมากันเป็นฝูงอาจไม่ถึงหลายสิบหรือหลายร้อยตัว แต่ก็น่าจะเป็นฝูงใหญ่พอดู และก็ไม่แปลกเพราะระยะนี้บ้านเมืองว่างเว้นสงคราม ไม่มีศพให้พวกหมาจรจัดได้ทึ้งกินตามท้องทุ่ง พวกหมาจึงยกโขยงเข้ามาในเขตเมือง อยู่กันเป็นฝูงทั่วไปตามตรอกซอย
“สงสัยนักก็ไปดูกัน”
ว่าแล้วเด็นชิจิโรเดินนำดุ่ม ๆ ไปในทิศทางของเสียงหมาเห่า โดยมีเพื่อน ๆ และศิษย์สำนักดาบก้าวตามมาติด ๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าหมาไม่ได้เห่ากันธรรมดา
และพอทุกคนเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ต้องชะงักแล้วร้อง เฮ้ย ออกเป็นเสียงเดียวกัน
มาตาฮาจิถูกมัดติดอยู่กับต้นไม้
หมาจรจัดฝูงใหญ่ล้อมตัวเห่าขรมเป็นวงสามสี่รอบ วงในที่อยู่ในระยะประชิดแยกเขี้ยวอย่างกระหาย พร้อมกระโจนเข้าทึ้งเนื้อหนังของเหยื่อที่ไม่มีทางสู้อยู่ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
ถ้าจะคิดจากมุมมองด้านหมาจรจัดโดยเอาใจมันมาใส่ใจเรา เจ้าหมาฝูงนี้อาจยกพวกมาล้างแค้นแทนเพื่อนมันที่ถูกมาตาฮาจิฆ่าตายไปสด ๆ ร้อน ๆ ขนาดที่กลิ่นเลือดยังไม่จางไปจากคมดาบก็เป็นได้
แต่ก็ไม่แน่นัก ถ้าคิดในแง่ที่ว่าระดับสติปัญญาของหมาจรจัดย่อมต่ำกว่ามนุษย์สุดขั้ว พวกมันอาจมอง มาตาฮาจิเป็นไอ้บ้าสักคนที่แบกต้นไม้เอาไว้ หรือเป็นหัวขโมยที่ไปลักเอาต้นไม้ของใครเขามา จึงกรูเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังเห่าเล่นเป็นเรื่องสนุก
หมาจะคิดอย่างนั้นหรืออย่างนี้ก็ตาม แต่ สำหรับมาตาฮาจิผู้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในสภาพที่ไม่อาจกระดิกตัวช่วยเหลือตัวเองได้นั้น เจ้าหมาจรจัดที่แต่ละตัวฟันและเขี้ยวขาวคมราวกับลับด้วยตะไบมาแล้วทุกซี่ ท้องคอดกิ่วและหลังเป็นสันเหมือนหมาป่านั้น น่ากลัวยิ่งกว่าพระธุดงค์จอมโหดและโคจิโรเมื่อครู่ก่อนหลายสิบเท่า
ในเมื่อป้องกันตัวเองด้วยมือและเท้าไม่ได้ก็เหลือแต่ใบหน้าและคำพูดเท่านั้นที่เป็นอาวุธ แต่จะให้ใช้ใบหน้ากับคำพูดกับหมาได้ยังไงมันถึงจะเข้าใจ
มาตาฮาจิคิดและคิดอย่าเอาเป็นเอาตาย ว่าใช้คำพูดและทำสีหน้าเช่นไรเพื่อต่อสู้กับหมาจรจัดในภาวะที่ใกล้วิกฤติเข้ามาทุกที
เจ้าหนุ่มคำรามเลียนเสียงสัตว์ป่าดุร้ายเพื่อข่มขวัญ และพอเห็นฝูงหมาจรจัดหยุดและถอยหลังไปนิดหนึ่งก็ได้ใจ คำรามใหญ่ไม่หยุดจนน้ำมูกน้ำตาไหล ไม่ได้ผล
เมื่อใช้เสียงเป็นอาวุธไม่สำเร็จก็เหลืออยู่อีกอย่างเดียวคือใบหน้า
คราวนี้แหละเสร็จข้าแน่
คิดได้ดังนั้นมาตาฮาจิก็ยื่นหน้าออกไปอ้าปากกว้างเกือบถึงใบหูใส่พวกมัน และพอเห็นหมาจรจัดตกใจ ก็ทำตาถลนกลอกไปมา ย่นหน้าจนตาจมูกและปากเข้ามาชิดกันแล้วแลบลิ้นออกมาเลียปลายจมูกหลอกพวกมัน
มาตาฮาจิทำหน้าทำตาต่าง ๆ นานา หลอกฝูงหมาจรจัดจนเหนื่อย และฝูงหมาก็เบื่อที่จะดูกันแล้วจึงเริ่มเห่าเสียงขรมขึ้นมาอีก เจ้าหนุ่มจึงระดมสติปัญญาที่มีอยู่ทั้งหมดคิดแผนใหม่
ไหน ๆ ก็สู้ไม่ได้แล้ว ทำตัวป็นมิตรกับพวกมันเสียเลยน่าจะดีกว่า
คิดได้ดังนั้น เจ้าหนุ่มก็เริ่มเห่าประสานเสียงกับพวกมัน โดยพยายามใส่ความรู้สึกให้พวกมันเข้าใจว่ากำลังขอเป็นมิตรด้วย
“ฮ่ง ฮ่ง ฮ่ง “
แต่เหล่าหมาจรจัดกลับคิดว่าหยามน้ำหน้ามันและท้าทายชวนวิวาท จึงแยกเขี้ยวขาววับกระโจนเข้าใส่เกือบถึงใบหน้าของเจ้าหนุ่ม บางตัวเริ่มเลียปลายเท้าชิมรสชาติกันแล้วด้วย
แม้กำลังจนแต้มแต่มาตาฮาจิก็คิดว่าจะทำอ่อนข้อต่อศัตรูไม่ได้ จึงหลับหูหลับตา ขมวดคิ้วนิ่วหน้าร้องเพลงพิณที่เป็นบทกวีจากตำนานเฮเกะออกเสียงดังสนั่นแม้ตนเองก็ยังแสบแก้วหู
ว่าแล้วพระองค์ผู้ทรงศักดิ์
ก็ตกลงพระทัยเสด็จเยือน
พระตำหนักพักแรมเค็นเรมงอิน ณ โอฮาระ
ในฤดูใบไม้ผลิปีที่สองแห่งรัชสมัยบุงจิ
แต่แม้เวลาจะผ่านไปย่างเข้าเดือนที่สอง
ลมหนาวก็ยังโหมแรง
และหิมะที่ขาวโพลนบนยอดเขา
ก็ยังไม่ละลายลง


กำลังโหลดความคิดเห็น