xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน เชิงดาบพิฆาตนกนางแอ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
พระธุดงค์ฟังจนจบจึงคาดคั้น
“ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นความจริงแน่นะ”
มาตาฮาจิตอบแล้วก้มหน้างุด
พระธุดงค์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชักดาบสั้นออกมาจ่อแทบจะติดใบหน้าเชลย เจ้าหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเงยหน้าเบี่ยงไปทางหนึ่ง
“หลวงพี่จะฆ่าข้ารึ”
“ใช่ อาตมาจะขอบิณฑบาตชีวิตเจ้า”
“ข้าสารภาพความจริงไปจนหมดแล้วไม่ใช่รึ กลักยาประทับตราตระกูล ปริญญาจากสำนักดาบ ก็คืนให้แล้วด้วย ขาดแต่เรื่องเงินที่ข้าบอกตรง ๆ ว่าใช้ไปหมดแล้วแต่ก็สัญญาว่าจะหามาใช้คืนวันหลัง แล้วทำไมถึงต้องเอาชีวิตข้า”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้โกหก และข้าก็จะบอกความจริงให้เจ้ารู้ไว้บ้างว่า ข้าคือนักดาบฝึกหัดชื่ออิจิโนมิยะ เก็มปาจิ มาจากชิโมนิตะในแคว้นโคซูเกะ เป็นบริวารของตระกูลท่านคูซานางิ เท็งกิ ที่ถูกคนกลุ่มใหญ่รุมฆ่ามาปรานีบนพื้นที่ก่อสร้างปราสาทฟูชิมิ”
ถ้อยคำของพระธุดงค์ไม่ผ่านเข้าหูมาตาฮาจิที่กำลังอกสั่นขวัญหายอยู่กับปลายมีดดาบที่จ่อพร้อมพิฆาต ยิ่งพยายามขยับหนีตัวเชือกที่มัดอยู่ก็ยิ่งเขม็งเกลียว
“---ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้ขโมยของพวกนั้นมาจากศพ แต่ทำตามตามคำข้อร้องก่อนตายของนายท่านต่างหาก เดิมทีก็ตั้งใจจะเขาไปมอบให้คนที่ผู้ตายสั่งเสียเอาไว้ แต่ระหว่างเดินทางข้าขาดเงินก็เลยจำต้องหยิบยืมมาใช้ก่อน ยกโทษให้ข้าเถิดนะ จะให้ข้าทำยังไงก็ยอมขออย่างเดียว ไว้ชีวิตข้าเถิด อย่าฆ่าแกงกันเลย”
“ไม่ต้องมาขอโทษเสียให้ยาก”
พระธุดงค์เก็มปาจิสั่นหัวแรง ๆ คล้ายกับพยายามสลัดอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นด้วยความแค้น
“อาตมาไปสืบรายละเอียดของเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ฟูชิมิมาแล้วจึงรู้ว่าเจ้าพูดจริงทุกอย่าง แต่อาตมามีภารกิจที่ต้องทำ คือนำหลักฐานที่แสดงว่าได้ล้างแค้นแทนท่านเท็งกิแล้ว กลับไปมอบให้ญาติพี่น้องที่บ้านเกิด อาตมาจึงกำลังกลุ้มเพราะหาตัวคนฆ่าท่านเท็งกิไม่ได้”
“ไม่ใช่ข้านะ ข้าไม่ใช่ฆาตกร อย่าเข้าใจผิดนะหลวงพี่”
“อาตมารู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่ฟังนะ...ญาติพี่น้องตระกูลคูซานางิ ไม่มีใครรู้ว่าท่านเท็งกิถูกพวกคนร้ายขว้างปาด้วยก้อนหินจนตายคาพื้นที่ก่อสร้างปราสาทเป็นที่น่าเวทนาและไร้ศักดิ์ศรีของนักดาบ และอาตมาก็ไม่อาจเล่าให้คนที่บ้านเกิดได้รับรู้ความจริงเช่นนั้นได้
อาตมาเองก็สงสารแต่ก็ต้องจำใจขอร้องให้เจ้าช่วยรับว่าเป็นคนฆ่าท่านเท็งกิซึ่งอาตมาต้องฆ่าล้างแค้น คิดว่าเจ้าคงเข้าใจ”
พระธุดงค์แยกแยะเหตุผลอย่างกระจ่าง มาตาฮาจิได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งดิ้น
“พูดบ้า ๆ ...อย่านะ ข้าไม่เอาด้วย ข้าไม่อยากตาย”
“อาตมาเข้าใจว่าใคร ๆ ก็ไม่อยากตาย แต่อาตมาจะพูดให้ฟัง และเมื่อฟังแล้วก็ขอให้เจ้าคิดเสียใหม่ การที่เจ้าไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าเหล้าที่ร้านเมื่อกี้ แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนไร้ความสามารถแม้แต่จะดูแลตัวเองให้มีชีวิตต่อไปได้ ควรตัดใจเพื่อความสงบสุขของดวงวิญญาณเสียในครั้งนี้ แทนที่จะต้องทรมานทรกรรมอยู่ในโลกอันโหดร้ายจนสุดท้ายต้องอดตายเหมือนหมาข้างถนนเป็นที่น่าอับอาย ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงเพราะอาตมาพอมีเป็นค่าธูปเทียนส่งให้ผู้เฒ่าผู้แก่ของเจ้าที่บ้านเกิด หรือจะให้ส่งไปทำบุญที่วัดของบรรพบุรุษของเจ้าก็ได้ถ้าต้องการ อาตมารับรองว่าจะจัดการให้เรียบร้อย”
“ข้อเสนอบ้า ๆ ข้าไม่เอา ข้าไม่ต้องการเงินอะไรทั้งนั้น ข้าต้องการชีวิต อย่านะ...ช่วยด้วย”
“อาตมาถือว่าได้อธิบายแจ่มแจ้งแล้ว เจ้าจะเข้าใจหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับอาตมา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดการกับเจ้าในฐานะที่เป็นศัตรูของนาย และขอบิณฑบาตหัวของเจ้ากลับแคว้นโคซูเกะ เพื่อให้ภารกิจที่อาตมาต้องจัดการเพื่อตระกูลคูซานางิและสังคมลุล่วงลงด้วยดี...สุดท้ายนี้ ขอให้เจ้า...มาตาฮาจิปลงเสียเถิดว่าทั้งหมดนี้คือชะตากรรม”
ว่าแล้วเก็มปาจิก็ขยับดาบสั้นในมือพร้อมสังหาร

2
“ช้าก่อน เก็มปาจิ”
มาตาฮาจิร้องขอชีวิตรึ
นักดาบในคราบพระธุดงค์ชะงักกัดฟันแน่น แม้จิตสำนึกจะบอกว่าผิดที่ฆ่าคนไม่มีทางสู้ แต่จุดมุ่งหมายนั้นเล่า...
แต่ เอ๊ะ...
เสียงกิ่งไม้ไหวทำให้เก็มปาจิต้องเหลือบขึ้นไปมอง นึกว่าหูฝาด
“เก็มปาจิ...อย่าฆ่าคนเป็นผักปลาอย่างนั้นสิ”
เสียงเดิมดังลงมาจากเบื้องบน
“ใครน่ะ”
“ข้าเอง...โคจิโร”
“อะไรนะ”
เสียงกิ่งไม้ลั่นแสดงว่าคนบนนั้นกำลังจะกระโดดลงมา จะว่าเป็นเสียงปีศาจเท็งงูก็ไม่น่าใช่เพราะดูจะตีสนิทมากกว่าจะประสงค์ร้าย หรือว่าจะเป็นโคจิโรตัวปลอมอีกคน
จะยอมให้หลอกซ้ำอีกไม่ได้เด็ดขาด
เก็มปาจิไหวตัวเร็วกว่าความคิด กระโดดผึงผละออกจากโคนต้นไม้ ตวัดปลายดาบขึ้นสูงพร้อมรับมือ
“โคจิโรเท่านั้นไม่พอ มาจากไหนแคว้นใดบอกด้วย”
“กันริว ซาซากิ โคจิโร...พอรึยัง”
“เจ้าน่ะรึ”
เก็มปาจิหัวเราะลั่น
“ซาซากิ โคจิโร...ฮะ ฮะ ฮะ มุกนี้ใช้ไม่ได้แล้วละเจ้า ที่นั่งตาปริบ ๆ อยู่นั่นก็คนหนึ่งแล้ว อ๋อ พอจะอ่านออกแล้ว เป็นพวกเดียวกันกับเจ้ามาตาฮาจิอะไรนั่นละซี”
“ข้านี่แหละตัวจริง เก็มปาจิ...ข้าจะโจนลงไปเดี๋ยวนี้ เจ้าพร้อมที่จะฟันข้าขาดเป็นสองท่อนรึยัง”
“เอาซี โจนลงมาเลย โคจิโรตัวปลอม กี่ตัว ๆ ก็เข้ามาเลย ข้าจะฟันทิ้งให้เรียบ”
“ก็ได้ แต่จำไว้เลยนะว่าเจ้าจะฟันโดนก็แต่โคจิโรตัวปลอมเท่านั้น แต่จะกว่าจะรู้ว่าข้าคือโคจิโรตัวจริง ก็เมื่อตื่นขึ้นมาพบตัวเองอยู่ในนรก ข้าจะโจนละไปเดี๋ยวนี้ละนะ”
“... ... ...”
“ข้าจะโจนลงไปเหนือหัวเจ้า ฟันให้ตัวขาดสะบั้นเลยนะ...แต่ถ้าพลาด ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ราวตากผ้าบนหลังข้าอาจบั่นร่างเจ้าเป็นท่อน ๆ เหมือนลำไม้ไผ่ในจังหวะเดียวก็ได้”
“อ๊ะ...ช้าก่อน ข้านึกออกแล้ว ช้าก่อนท่านโคจิโร ข้าจำเสียงท่านได้ และคนที่สพายดาบยาวที่เลื่องลือกันในชื่อราวตากผ้าก็จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากท่านซาซากิ โคจิโร”
“เชื่อแล้วรึ”
“ข้าเชื่อแล้ว ว่าแต่ท่านขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น”
“เอาเถอะ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
---ทันใดนั้น เก็มปาจิก็ต้องร้องเสียงหลงและหดหัวลงมาหลับตาปี๋ เมื่อลมจากแรงสะบัดชายกิโมโนของโคจิโรพัดผ่านใบหน้าที่แหงนเงยอยู่
โคจิโรลอยตัวไปปักหลักอยู่บนพื้นข้างหลังเก็มปาจิพร้อมกับใบสนร่วงพรู
เก็มปาจิหันไปขวับไปมอง และเมื่อเห็นเต็มตาจึงรู้ว่าเป็นซาซากิ โคจิโรตัวจริง แต่กระนั้นก็ยังฉงน
เก็มปาจิคุ้นหน้านักดาบหนุ่มคนนี้ดี เพราะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกับคูซานางิ เท็งกิผู้เป็นนาย และพบหน้ากันบ่อยครั้งสมัยที่โคจิโรอาศัยอยู่ในสำนักดาบของคาเนมากิ จิไซ
โคจิโรตอนนั้นไม่ได้เป็นหนุ่มรูปงามหุ่นสำอางแต่งกายฉูดฉาดเช่นนี้ แม้จะเป็นเด็กชายวัยรุ่นหน้าตาดีแต่ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเพราะจิไซผู้เป็นอาจารย์ไม่ชอบให้ลูกศิษย์สนใจกับการแต่งเนื้อแต่งตัว โคจิโรในความทรงจำของเก็มปาจิ จึงเป็นเด็กบ้านนอกตัวดำขะมุกขะมอมทำหน้าที่ตักน้ำอยู่ในสำนักดาบ
เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
เก็มปาจิพิศดูนักดาบรูปงามตรงหน้าด้วยความชื่นชม
โคจิโรทรุดตัวลงนั่งบนตอไม้และชวนให้อีกฝ่ายนั่งลงคุยกัน จึงรู้ความจริงจากเก็มปาจิว่า...
คูซานางิ เท็งกิ ผู้เป็นหลานของอาจารย์และเป็นศิษย์ร่วมสำนักดาบเดียวกัน นำม้วนปริญญาประทับตราสำนักดาบจูโจติดตัวมาเพื่อมอบให้ตนเมื่อพบกัน แต่เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณก่อสร้างปราสาทฟูชิมิที่โอซากาก็ได้ถูกรุมฆ่าด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสายลับ
และพอรู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีซาซากิ โคจิโรขึ้นมาสองคนในโลกนี้ โคจิโรก็ตบมือหัวเราะชอบใจ

3
โคจิโรออกความเห็นว่า คนสิ้นคิดไร้สมรรถภาพในการดำรงชีวิต ใช้ชื่อคนอื่นหากินไปวัน ๆ อย่างชายคนนี้ ฆ่าไปก็เสียคมดาบเปล่า ๆ ใช้วิธีสั่งสอนที่เจ็บแสบให้หลาบจำจะดีกว่า แต่ถ้าเก็มปาจิเป็นห่วงว่าการตายอย่างน่าเวทนาของนายตนจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิที่สร้างสมไว้ในสังคมและบรรดาญาติ ก็ไม่ถึงกับต้องแก้ปัญหาด้วยการฆ่าล้างแค้นโดยให้มาตาฮาจิเป็นแพะรับบาป
โคจิโรรับอาสาจัดการเรื่องนี้เองเพราะคิดว่าระหว่างนี้คงจะเดินทางลงไปทางแคว้นโคซูเกะสักวัน และจะถือโอกาสนั้นไปชี้แจงให้สังคมและบรรดาญาติให้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ว่า เท็งกิเสียชีวิตสมเกียรติของนักรบโดยแท้
“เจ้าจะว่ายังไงเก็มปาจิ”
นักดาบในคราบพระธุดงค์น้อมรับความหวังดีของหนักดาบหนุ่มหน้ามล
“ถ้าท่านรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนั้น ข้าก็ไม่คัดค้าน”
“งั้นเราแยกทางกันตรงนี้ เจ้าก็กลับบ้านเกิดเถิด ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“บอกตามตรงว่าข้ากำลังรีบ สาวน้อยคนหนึ่งชื่ออาเกมิที่มาด้วยกันเกิดหนีหายไป”
“โอ๊ะ อย่าเพิ่งไป ท่านลืมของสำคัญ”
“อะไรรึ”
“ก็ปริญญาประทับตราสำนักดาบจูโจ ที่ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซ ฝากท่านเท็งกิหลานชายมาให้ท่านไง”
“อ๋อ ปริญญานั่นเอง”
“เจ้าหมอนั่นที่ชื่อมาตาฮาจิบอกว่า หยิบออกมาจากอกเสื้อของท่านเท็งกิตอนตาย และนำติดตัวมาจนถึงวันนี้เพื่อใช้หลอกผู้คนว่าตนคือโคจิโร ปริญญานี้เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ตั้งใจมอบให้ท่าน และที่เราได้พบกันในวันนี้อาจเป็นเพราะดวงวิญญาณของท่านจิไซหรือไม่ก็ของท่านเท็งกิดลบรรดาลก็เป็นได้ ท่านรับไปเก็บรักษาไว้เป็นมงคลต่อชีวิตเถิด”
ว่าแล้วเก็มปาจิก็ล้วงมือเข้าไปหยิบม้วนปริญญาออกมาจากอกเสื้อของมาตาฮาจิ
มาตาฮาจิกำลังโล่งใจที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยคำพูดของโคจิโร และแม้เก็มปาจิจะยึดเอาม้วนปริญญาไปก็ไม่ได้เสียดายเลยสักนิดแต่กลับรู้สึกว่าตัวเบาสบาย
“นี่ไง”
เก็มปาจิยื่นม้วนปริญญาประทับตราสำนักดาบให้ คิดว่าโคจิโรคงจะปลื้มปีติถึงกับเป็นน้ำหูน้ำตา
แต่ผิดคาด
“ข้าไม่ต้องการ”
นักดาบหนุ่มหน้ามลไม่ยื่นมือออกมารับ
เก็มปาจิเลิกคิ้ว
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ไม่ต้องการ”
“ทำไมรึ ข้าไม่เข้าใจ”
“ก็ไม่ทำไมหรอก เพียงแต่คิดว่ากระดาษพวกนี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไป”
“พูดอะไรเช่นนั้น ท่านเองก็รู้ว่าท่านอาจารย์จิไซไม่ได้ให้ปริญญาประทับตราสำนักดาบของท่านพร่ำเพรี่อ ในบรรดาศิษย์ที่มีอยู่มากมาย เห็นจะมีท่านกับอิโต อิตโตไซ เพียงสองคนเท่านั้นที่ท่านมอบให้ อิโต อิตโตไซได้รับปริญญาไปก่อนแล้วและแยกตัวไปตั้งสำนักดาบอิตโตอย่างเต็มภาคภูมิ ส่วนท่านซึ่งเป็นศิษย์รุ่นน้องนั้นท่านอาจารย์ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่หลายปี จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต จึงเรียกหลานชายเข้ามาสั่งเสียและได้ฝากม้วนปริญญานี้ไว้มอบให้ท่าน รู้อย่างนี้แล้วท่านยังไม่สำนึกถึงบุญคุณของท่านอาจารย์อีกหรือ”
“บุญคุณของอาจารย์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ข้ามีเป้าหมายในชีวิตเป็นของตัวเอง”
“ว่าไงนะ”
“เก็มปาจิ เจ้าอย่าเข้าใจข้าผิด”
“มันไม่มากไปหน่อยหรือท่าน พูดราวกับไม่เคารพอาจารย์ตัวเอง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พูดตามความเป็นจริง ข้าคิดว่าตนเองมีอัจฉริยะที่เหนือกว่าท่านอาจารย์จิไซติดตัวมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงตั้งใจที่จะฝึกฝนวิทยายุทธิ์ให้แกร่งกล้าและยิ่งใหญ่กว่าอาจารย์ ไม่อยากจบชีวิตลงแค่เป็นนักดาบชราที่ฝังตัวอยู่ในชนบทไกลโพ้นอย่างท่าน”
“ท่านคิดอย่างนั้นจริงหรือ”
“จริงทุกถ้อยคำ”
โคจิโรไม่คิดที่จะออมถ้อยคำแม้แต่น้อยเมื่อเปิดใจพูดถึงเป้าหมายในชีวิตแห่งตน
“ข้าระลึกถึงบุญคุณของท่านอาจารย์อุตส่าห์มอบปริญญาประทับตราสำนักดาบให้ข้า แต่โคจิโร ณ วันนี้เชื่อมั่นในฝีมือดาบของตนเองว่าเหนือกว่าอาจารย์ไปแล้วหลายขั้น ชื่อเสียงของสำนักดาบจูโจถดถอยเข้ารกเข้าพงกลายเป็นสำนักบ้านนอกไปแล้ว หากยึดถือไว้ก็รังแต่จะเป็นสิ่งกีดขวางความเจริญของนักดาบรุ่นใหม่ในอนาคต ดูอย่างอิโต อิตโตไซ ศิย์รุ่นพี่ของข้าสิ ยังแยกตัวออกไปตั้งสำนักมีลุฏศิษย์ลูกหามากมาย ข้าก็หวังสูงเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะมีสำนักดาบของตนเองและจะตั้งชื่อว่าสำนักดาบกันริว เก็มปาจิ...นั่นคือเป้าหมายในชีวิตของข้า ดังนั้นปริญญาม้วนนี้จึงไม่จำเป็น เจ้าจะเอากลับไปบ้านเกิดและเก็บรวมไว้กับบันทึกในอดีตของวัดก็ได้ ข้าไม่ว่าอะไร”

4
เก็มปาจิถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังโคจิโรพูดโดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของคำถ่อมตน...ไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งผยองยกยอตัวเองอย่างเต็มปากเต็มคำอย่างนี้มาก่อน
เก็มปาจิจ้องมองริมฝีปากเรียวงามของโคจิโรที่ขยับขึ้นลงขณะพูด ด้วยสายตาชิงชัง
“เก็มปาจิ ข้าฝากความระลึกถึงไปยังครอบครัวของคูซานางิด้วยนะ วันหนึ่งถ้าผ่านลงไปทางตะวันออกจะแวะไปเยี่ยม”
โคจิโรพูดทิ้งท้ายตามธรรมเนียมด้วยถ้อยคำที่พร้อมกับยิ้มกว้างสว่างไปทั้งใบหน้า
เก็มปาจิหงุดหงิดเป็นที่สุด ไม่มีอะไรจะน่าชังเท่าเจ้าหนุ่มผู้เย่อหยิ่งที่ทำเป็นพูดสุภาพอย่างนี้อีกแล้ว อยากจะสั่งสอนเจ้าหนุ่มอกตัญญูไม่รู้บุญคุณอาจารย์ผู้ล่วงลับให้เจ็บแสบ แต่ใจหนึ่งห้ามเอาไว้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับคนพรรค์นี้ให้เสียเวลา จึงได้แต่หัวเราะหึ ๆ เยาะตัวเอง เอาม้วนปริญญาใส่ลงในห่อสัมภาระ บอกลาห้วน ๆ แล้วเดินดุ่ม ไม่เหลียวหลังไปทางด้านโน้น
โคจิโรมองตามหลังไปแล้วหัวเราะอยู่คนเดียว
“ฮะ ฮะ ฮะ โกรธละซี สะบัดก้นกลับไปเลย เจ้านักดาบบ้านนอก”
เจ้าหนุ่มรูปงามหัวเราะจนพอใจแล้วจึงหันมาทางมาตาฮาจิ
“ไอ้ตัวปลอม”
“... ... ...”
“ไอ้ตัวปลอม ข้าเรียกไง ทำไมไม่ตอบ”
“เออ”
“เจ้าชื่ออะไร”
“ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ”
“ซามูไรไร้นายรึ”
“อือ...”
“มาตาฮาจิ เอ็งจะขี้ขลาดไปถึงไหน ดูข้าเป็นตัวอย่างสิ ขนาดปริญญาประทับตราสำนักดาบที่อาจารย์อุตส่าห์ให้ข้ายังไม่เอาเลย คนเราถ้าไม่ใจเด็ดอย่างนี้คงไม่มีวันได้เป็นเจ้าสำนักต้นตำรับวิชาดาบที่ยิ่งใหญ่ของตนเองแน่นอน
คนอย่างเจ้า ขโมยปริญญาประทับตราสำนักดาบของคนอื่นและแอบอ้างชื่อเขาหากินไปวัน ๆ สุดแทนจะน่าสมเพท เกิดเป็นคนทั้งทีอยู่ให้มันดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วรึ แมวเอาหนังสือมาห่มมองยังไงมันก็เป็นแมว คนเขามองออก แล้วเห็นไหมว่าสุดท้ายเป็นยังไง ทุเรศสิ้นดี เจอเข้าอย่างนี้ไม่เข็ด ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
“ต่อไปข้าจะระวัง”
“เอาเถอะ ข้าจะไว้ชีวิตให้เจ้าครั้งหนึ่ง ไม่มีเวลาจะมาร่ำไรกับเจ้า แก้เชือกที่ถูกมัดไว้เอาเองแล้วกัน ข้าไปละ”
พอพูดจบ โคจิโรก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงชักมีดสั้นออกมาเอท้อมือขึ้นไปเฉือนเปลือกไม้ออกมาเป็นแผ่น เศษเปลือกไม้ร่วงลงไปบนหัวและตกลงไปในคอเสื้อของมาตาฮาจิที่ถูกมัดติดอยู่กับลำต้น
“จบกัน ไม่มีเครื่องเขียน”
โคจิโรพึมพำ
“ถ้าจะเอาพู่กันกับหมึกละก็ มีอยู่ในห่อผ้าของข้า”
มาตาฮาจิบอกอย่างเอาใจ
“อ้อ เจ้าพกติดตัวด้วยรึ ไม่เลวเลยนี่ ขอยืมหน่อยนะ”
โคจิโรเขียนตัวอักษรลงบนเปลือกไม้แล้วอ่านทวน
กันริว
นึกออกแล้วข้าจะใช้ตัวอักษรสองตัวนี้เป็นชื่อวิชาดาบต้นตำรับของข้า กัน...คือต้นหลิวบนฝั่งแม่น้ำเชิงสะพานคินไตบาชิ ที่ข้าไปฝึกซ้อมเชิงดาบพิฆาตนกนางแอ่น ที่มุ่งหมายให้เป็นวิชาดาบต้นตำรับ...กันริว เหมาะสมที่สุดแล้ว
ต่อไปนี้ข้าจะเชียนอักษรสองตัวนี้เอาไว้หน้าชื่อเพื่อประกาศศักดาของวิชาดาบ...กันริว ซาซากิ เท็งกิ งามสง่ากว่าอิตโตริว ของอิโต อิตโตไซ รุ่นพี่หลายเท่า
ข้อความบนเปลือกไม้ที่เฉือนออกมาจากลำต้นกว้างพอ ๆ กับกระดาษแผ่นหนี่งมีอยู่ว่า
ชายผู้นี้ แอบอ้างชื่อสกุลและสำนักดาบของข้าไปใช้ในทางทุจริตทั่วไปในแว่นแคว้น ข้าจับตัวได้จึงมัดประจานไว้ให้เห็นกันทั่วหน้า
ข้าคือ กันริว ซาซากิ โคจิโร
ชื่อของข้า และเชิงดาบของข้าเป็นหนึ่งในปฐพี
“เอาละ ใช้ได้แล้ว”
รุ่งสางของวันใหม่
สายลมพัดผ่านทิวสนเสียงซู่ซ่าราวเสียงคลื่นกระทบหาดทราย
เลือดหนุ่มที่ฉีดแรงมีพลังขับเคลื่อนสมองให้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายการกระทำได้อย่างฉับพลัน
ครู่ก่อนอกใจยังรุ่มร้อนไปด้วยความทะเยอทะยานอยู่ดี ๆ
แต่ต่อมาอีกไม่กี่พริบตา ดวงตาคมกริบก็วาบขึ้นเป็นประกายราวดวงตาของเสือดาว จ้องกับไปที่หมู่ไม้หนาทึบตรงหน้า
“เอ๊ะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงอุทาน ร่างเพรียวก็แวบหายเข้าไปในความมืดสลัวของป่ายามเช้าครู่เสียแล้ว
หรือว่าจะเห็นเงาของอาเกมิ


กำลังโหลดความคิดเห็น