นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ผิดคาด คู่อริไม่ได้วิ่งหนีหางจุกกูดเหมือนฝูงหมาจรจัดเมื่อกี้อย่างที่คิด
“อย่างนี้ก็สนุกละซี”
เจ้าหนุ่มหน้ามลไว้ผมปรกหน้าผากยืดตัวตั้งท่าพร้อมสู้เต็มที่
“เห็นเจ้าวางมาดแกว่งไกวดาบไล่ฝูงหมาก็ดูเข้าทีอยู่ แต่จะว่าเป็นนักดาบก็คงเป็นพวกปลายแถว แต่เอาเถอะข้าเองห่างเหินการสอนเชิงดาบให้พวกกระดูกอ่อนมานาน จนเจ้าไม้ตากผ้าบนหลังข้าร้องครวญกระหายเลือดทุกค่ำคืน เพราะตั้งแต่ได้ดาบอันเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเล่มนี้มาครอง ข้าไม่เคยว่างเว้นที่จะอาบมันด้วยเลือดนานเป็นวันอย่างนี้ กำลังห่วงว่าจะขึ้นสนิมก็พอดีได้พบกระดูกให้ลับคมล้างสนิม...อ้าว ๆ จะไปไหน ถ้าคิดหนีละก็เป็นได้เห็นดีแน่”
มาตาฮาจิจะหันหลังหนีก็ยังลังเลอยู่ แต่พอถูกอีกฝ่ายปรามาสด้วยถ้อยคำเชือดเฉือนทั้งยังวางท่าขึงขัง ก็ถึงกับก้าวเท้าไม่ออก แต่ใจหนึ่งก็ยังปลอบว่าอาจแค่ขู่ก็ได้ จึงตวาดกลับ
“อย่ามาทำใหญ่แถวนี้ ถ้าจะคิดใหม่ก็ยังมีเวลา และขอแนะนำว่าทางที่ดีควรไปให้พ้นระหว่างที่ยังเห็นปลายเท้าของเจ้าชัดเจนอยู่ ถ้าทำตามนี้ข้าจะไว้ชีวิตให้ได้กลับไปนอนบ้าน”
“ข้าขอคืนคำพูดนั้นกลับไปให้เจ้าทุกถ้อยคำ...แต่ช้าก่อน เมื่อกี้ข้าถามชื่อเจ้า เจ้าก็ทำยักท่าไม่ยอมตอบ ซ้ำยังมองหมิ่นบอกว่าไม่จำเป็นที่จะบอกชื่อแก่คนแปลกหน้าอย่างข้า ทว่าตามธรรมเนียมของนักดาบ เมื่อจะประลองฝีมือกันนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามและสำนักดาบกันให้ชัดเจนไม่ใช่รึ”
“บอกก็ได้ แต่อย่าตกใจก็แล้วกัน”
“ข้าจะพยายามระงับใจไว้ไม่ให้ตื่นตระหนก เริ่มจากสำนักดาบก่อนเลย”
มาตาฮาจิปลอบใจตัวเองว่าคนที่พูดคล่องปากแบบนี้พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่เห็นเอาไหนสักคน ก็เลยชักจะมั่นใจขึ้นมา และยืดอกตอบอย่างทระนงองอาจ
“ข้ามีใบปริญญาประทับตราสำนักจูโจ ที่สืบทอดวิทยายุทธิ์มาจากท่านโทดะ เซเง็นผู้เป็นต้นสำนัก”
“อะไรนะ สำนักดาบจูโจรึ”
โคจิโรเริ่มตกใจนิด ๆ
มาตาฮาจิได้ทีจึงรุกต่อ เพราะคิดว่าจะโกหกทั้งทีก็ต้องไปให้สุด ๆ
“คราวนี้ก็ถึงคราวเจ้าที่จะต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามและสำนักดาบตามธรรมเนียมการประลองฝีมือ”
เจ้าหนุ่มจงใจย้อนเย้ยคู่อริ
โคจิโรขมวดคิ้ว
“เรื่องชื่อและสำนักดาบของข้าเอาไว้ทีหลัง บอกมาก่อนว่าเจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใดที่สำนักดาบจูโจ
มาตาฮาจิยืดอกตอบชัดถ้อยชัดคำ
“คาเนมากิ จิไซ”
คราวนี้ โคจิโรตกใจจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้จัก อิโต อิตโตไซ น่ะซี”
“แน่นอน”
มาตาฮาจิชักจะลำพองใจที่เห็นเจ้าหนุ่มหน้ามลพกดาบยาวตื่นตระหนก เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของผู้ที่ได้รับปริญญาจากสำนักดาบแห่งนี้อย่างชัดเจน และคิดว่าคงไม่คิดสู้ ที่นิ่งไปก็เพราะกำลังพยายามหาถ้อยคำมาประนีประนอมด้วย จึงโวต่อ
“ข้าจะบอกให้ อิโต อิตโตไซกับข้าเป็นศิษย์อาจารย์จิไซ สนิทกันเหมือนพี่น้อง”
“งั้นข้าขอถามต่ออีกสักหน่อยเถิดว่า เจ้าชื่ออะไร”
“ซาซากิ โคจิโร”
“ว่าไงนะ”
“ซาซากิ โคจิโร”
มาตาฮาจิย้ำทีละคำอย่างชัดเจน
เจอเข้าอย่างนี้ใครบ้างจะไม่ตกใจ โคจิโรถึงกับตะลึงงันพูดอะไรไม่ออก
2
“อืม”
โคจิโรครางหลังนิ่งไปหลายอึดใจ แล้วยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเจ้าเสน่ห์
มาตาฮาจิจ้องตอบสายตาที่เขม้นมองมาอย่างไม่เกรงใจของอีกฝ่าย
“จ้องหน้าข้าทำไม กลัวมากละซีที่รู้ว่าข้าคือใคร”
“กลัวสิ กลัวมากเลยด้วย”
“รู้แล้วก็ไปให้พ้น”
มาตาฮาจิเชิดคางไล่ และพอเอื้อมมือไปจะปลดไกที่โคนฝักดาบเพื่อชักออกมา โคจิโรระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น แม้จะจอตัวกุมท้องไว้ก็ระงับไม่อยู่
“อะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ... ... ...”
โคจิโรหัวเราะไม่หยุด
“ข้าเดินทางมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ พบผู้คนมามากหน้าหลายตา แต่ไม่เคยพบใครที่น่ากลัวเหมือนเจ้าเลย ซาซากิ โคจิโร...ขอถามหน่อยนะ เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร”
“อะไรนะ”
“ข้าถามเจ้าว่า รู้ไหมว่าข้าคือใคร”
“ใครจะไปรู้”
“ไม่รู้ได้ยังไง เจ้าต้องรู้ดีซี อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ ขอถามให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งได้ไหมว่าเจ้าชื่ออะไร”
“เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าข้าชื่อซาซากิ โคจิโร”
“แล้วข้าล่ะ”
“ก็เป็นคนละมัง”
“ก็ใช่ แต่คนที่เป็นข้าคนนี้น่ะชื่ออะไร”
“เอ๊ะเจ้านี่ อยากหาเรื่องรึ”
“เปล่า ข้าจริงจังนะ ไม่เคยจริงจังกว่านี้มาก่อนเลยด้วย ท่านอาจารย์โคจิโรขอรับ รู้ไหมว่าข้าคือใคร”
“หยุดพล่ามได้แล้ว อยากรู้ก็ถามตัวเองสิ”
“จริงด้วย แต่ไม่ต้องถามให้ยุ่งยากก็ได้ บอกเลยดีกว่า”
“เออ บอกมา”
“แต่อย่าตกใจนะ”
“ตกใจก็บ้าน่ะซี “
“ข้าชื่อกันริว ซาซากิ โคจิโร”
“เฮ้ย...?”
“ข้าเกิดในตระกูลซาซากิอยู่ที่อิวาคูนิมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่าโคจิโร บรรดานักดาบรู้จักข้าในชื่อกันริว ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าในโลกนี้มีคนชื่อซาซากิ โคจิโรถึงสองคนมาตั้งแต่เมื่อไร”
“...งั้น ? ถ้างั้น ?...”
“ระหว่างเดินทางไปทั่วทุกหัวระแหง ข้าพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ตั้งแต่เกิดซาซากิ โคจิโรคนนี้ไม่เคยพบคนชื่อซาซากิ โคจิโรมาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้”
“... ... ...”
“ไม่นึกว่าดวงชะตาจะชักนำให้มาพบกันอย่างประหลาดเช่นนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคือซาซากิ โคจิโรแน่นะ”
“... ... ...”
“อ้าวเป็นไรไปรึ อยู่ ๆ ก็ตัวสั่นเทิ้ม”
“... ... ...”
“เรามาเป็นเพื่อนกันดีไหม”
โคจิโรย่างเท้าเข้าไปใกล้มาตาฮาจิที่ยืนหน้าซีดขาวนิ่งอยู่ตรงนั้น และพอยกมือขึ้นตบบ่ามาตาฮาจิก็ผงะและร้องลั่น โคจิโรแผดเสียงสวนใส่หน้าเหมือนพุ่งด้วยหอก
“หยุด...ขืนหนี ตาย”
ไม่ทันสิ้นเสียง ดาบยาวที่พาดหลังเจ้าหนุ่มหน้ามลก็ถูกชักออกจากฝัก ตวัดเควี้ยวผ่านไหล่ด้วยความเร็วจนตาจับได้เพียงลำแสงประกายวับวาดผ่านอากาศเหมือนงูสีเงินฉกไปที่มาตาฮาจิซึ่งกำลังตั้งท่าหนี โคจิโรไม่ลงดาบซ้ำ
มาตาฮาจิล้มกลิ้งไปบนพื้นดินสามตลบในสภาพของหนอนใบไม้ที่ปลิวไปตามแรงลมและแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
3
โคจิโรเก็บดาบยาวที่ไร้รอยเลือดกลับเข้าฝักเสียงไกลั่นดังกริ๊ก หันหลังให้มาตาฮาจิที่ยังนอนนิ่งอยู่บนพื้นอย่างไม่ใยดี ตรงไปที่โคนต้นไม้
“อาเกมิ”
เจ้าหนุ่มแหงนมองขึ้นไปบนคบไม้พลางร้องเรียก
“อาเกมิ ลงมาได้แล้ว ลงมาเถอะนะข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ข้าฟันผัวแม่เจ้าลงไปล้มกลิ้งอยู่โน่น ลงมาช่วยดูหน่อย”
เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบลงมา มองขึ้นไปก็ไม่เห็นอะไรเพราะใบสนหนาทึบโคจิโรจึงปีนขึ้นไปดูเอง
“... ... ...?”
อาเกมิไม่อยู่บนคาคบ คงได้ช่องตอนที่ตนกับมาตาฮาจิท้าทายกันอยู่ ลงจากต้นไม้วิ่งหนีไปแล้ว
“... ... ...”
โคจิโรนั่งนิ่งอยู่บนคบไม้ นึกถึงนกน้อยที่ไม่รู้ว่าหนีไปทางไหน ท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่านกิ่งใบของต้นสน
ทำไมเจ้าหล่อนถึงได้กล้วข้าเหลือเกิน
โคจิโรไม่เข้าใจว่าทำไมอาเกมิจึงกลัวเพราะคิดว่าตนได้ทุ่มเทความรักแก่เธอเท่าที่คนอย่างตนจะทำได้ เจ้าหนุ่มยอมรับว่าอาจแสดงความรักรุนแรงเกินไปบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดแปลกไปกว่าคนธรรมดาทั่วไปตรงไหน
ถ้ารู้ว่าการแสดงความรักของโคจิโรผิดแปลกไปจากชายอื่นตรงไหนนั้น คงต้องมองไปที่อุปนิสัยที่แสดงออกในเชิงดาบจึงจะเข้าใจ
โคจิโรได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงดาบมาตั้งแต่สมัยเด็กโดยมีคาเนมากิ จิไซเป็นผู้ฝึกวิชาดาบมากับมือ และเชิงดาบของเจ้าหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง พูดสั้น ๆ คือแตกต่างกันที่ “ทิฐิ” อันเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ยิ่งได้ประลองยุทธ์กับคนที่ฝีมือเหนือกว่าก็ยิ่งมีทิฐิไม่ยอมแพ้
การประลองยุทธ์สมัยนี้เอาแพ้เอาชนะกันมากกว่าจะยึดติดกับวิชาดาบ จึงไม่มีใครประนามการสู้อย่างมีทิฐิเช่นนี้ว่าไม่ชอบธรรม แม้จะมีคนเกรงไม่อยากต่อกรด้วย แต่ก็ไม่มีใครดูแคลน
ครั้งหนึ่ง สมัยที่ยังเป็นเด็กโคจิโรเคยถูกศิษย์สำนักดาบรุ่นพี่ที่ไม่ชอบขี้หน้ารุมตีด้วยดาบไม้จนสลบ รุ่นพี่คนหนึ่งสำนึกผิดว่าเล่นแรงเกินไปจึงเอาน้ำมาป้อนและพยายามพยาบาลจนฟื้น แต่พอรู้สึกตัวได้สติขึ้นมาได้โคจิโรผลุดลุกขึ้นด้วยกำลังแรง ฉวยดาบไม้ขึ้นมาฟาดฟันศิษย์รุ่นพี่คนนั้นจนตาย
โคจิโรไม่เคยลืมคู่ต่อสู้ที่เอาชนะตนได้ เจ้าหนุ่มจะต้องหาโอกาสเอาคืน และพอได้ช่องก็จะจู่โจมเข้าประหัตร ประหารไม่เว้น แม้ในยามวิกาล ไม่ว่าจะอยู่ในส้วม หรือนอนอยู่บนฟูก
การประดาบกันในยุคนี้ไม่ได้อยู่ในกรอบที่ว่าเอาแพ้เอาชนะกันแต่ในการประลองยุทธ์คือจบเป็นจบ ดังนั้นนักดาบร่วมสำนักจึงลือกันว่าใครได้ประดาบกับโคจิโรครั้งหนึ่งแล้ว ให้สำนึกไว้เลยว่าเป็นศัตรูต่อกันเป็นวันตาย แต่ก็ไม่มีใครกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดจรรยาบรรณของนักดาบ
ไม่นานต่อมาซาซากิก็เริ่มอวดตัวว่าข้าเป็นอัจฉริยะ
แต่จะว่าเจ้าหนุ่มหลงตัวเองไปคนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะจิไซผู้เป็นอาจารย์เองก็ยังออกปากว่าลูกศิษย์ตัวดีของตนคนนี้คืออัจฉริยะ
เมื่อโคจิโรคืนถิ่นที่อิวาคูนิและฝึกเชิงดาบท่าฟันนกนางแอ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของตนที่เชิงสะพานคินไตทุกวัน คนก็ยิ่งล่ำลือกันและขนานนามว่า
ทายาทมังกรแห่งอิวาคูนิ
โคจิโรก็ยิ่งลำพอง
ไม่มีใครรู้ว่าทิฐิที่ฝังลึกอยู่ในเชิงดาบนั้นจะแสดงออกมาทำนองใดกับผู้หญิงอันเป็นที่รัก
และความที่มีแนวคิดเรื่องดาบกับเรื่องผู้หญิงแยกกันไปคนละทาง เจ้าหนุ่มจึงแปลกใจนักที่อาเกมิเกลียดตนและหนีไป
4
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึงความรักอยู่นั้น โคจิโรก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาที่โคนต้นไม้ โดยไม่ได้เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนคาคบ
“เอ๊ะ นั่นใครนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น”
คนพูดตรงเข้าไปที่มาตาฮาจิ ก้มลงมองหน้าแล้วร้องลั่นด้วยความแปลกใจจนได้ยินขึ้นมาถึงบนต้นไม้
“อ้าว เจ้านี่เอง”
พระธุดงค์รีบปลดถุงสัมภาระที่สะพายหลังลงวางบนพื้นพลางจับเนื้อจับตัวเจ้าหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่
“เอ...ก็ไม่ได้ถูกฟันตรงไหน ตัวก็ยังอุ่นอยู่ เป็นยังไงมายังไงถึงได้มานอนสลบเหมือดอยู่ตรงนี้”
พระธุดงค์พึมพำพลางคลำไปจนพบพบเชือกที่ผูกอยู่ใช้ผ้าคาดกิโมโน จึงแก้ออกมามัดมือมาตาฮาจิไขว้หลังเอาไว้ จากนั้นจึงเอาหัวเข่ากดลงไปที่หลังส่วนที่ตรงกับยอดอกแล้วออกแรงกดลงไป
พอได้ยินเสียงมาตาฮาจิครางออกมา พระธุดงค์ก็ออกแรงลากเจ้าหนุ่มไปที่ใต้ต้นไม้ราวกับเป็นถุงใส่หัวมัน
“ยืนขึ้น บอกให้ยืนขึ้นไง”
พระธุดงค์ตวาดเสียงเกรี้ยวพร้อมกับเตะแรง ๆ ที่ลำตัว
มาตาฮาจิเพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาระหว่างทางเกือบถึงนรกขุมแรก เด้งตัวขึ้นยืนโงนเงนในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ดี อยู่เฉย ๆ อย่างนั้นแหละ”
ว่าแล้วพระธุดงค์ก็เอาเชือกที่เหลือมัดลำตัวและขาของมาตาฮาจิติดไว้กับต้นสน
“เอ๊ะ”
มาตาฮาจิร้องด้วยความประหลาดใจที่เห็นพระธุดงค์ แทนที่จะเป็นโคจิโร
“ว่ายังไง โคจิโรตัวปลอม เวลาจะหนีละก็วิ่งเสียเร็วจนตามไม่ทัน คราวนี้ละอยู่มือข้าแล้ว”
พระธุดงค์เริ่มใช้กำลัง
ฟาดฝ่ามือตบหน้าเจ้าหนุ่มเต็มแรงและผลักหน้าผากกระแทกกับต้นไม้เสียงดังอย่างน่าจะสะเทือนไหทั้งหัว
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเอากลักใส่ยาอันนั้นมาจากไหน บอกมา”
“... ... ...”
“ไม่บอกใช่ไหม”
ว่าแล้วก็บีบจมูกเชลยเป็นหลักจับใบหน้าโยกไปมาอย่างแรงจนมาตาฮาจิร้องเสียงหลง
และส่งเสียงประหลาดออกมาทางจมูกคล้ายกับจะยอมเปิดปากพูด
“บอกได้แล้วใช่ไหม”
พอพระธุดงค์ปล่อยมือจากจมูก มาตาฮาจิจึงพูดออกมาได้ชัด ๆ
“บอก”
มาตาฮาจิน้ำตาร่วง
ความจริงไม่ต้องทรมานกันขนาดนี้ก็ได้ เพราะเจ้าหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะคิดปิดบังความลับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว....”
มาตาฮาจิเล่าเรื่องที่ตนบังเอิญพบกับเหตุการณ์นักดาบฝึกหัดถูกฆ่าตาย ระหว่างรับจ้างขนอิฐสร้างปราสาท ฟูชิมิ ให้พระธุดงค์ฟังอย่างละเอียด
“ข้าผิดไปแล้วที่ขโมยเงิน ใบปริญญาของสำนักดาบจูโจ กับกลักใส่ยาอันนั้นมาจากศพหนีไป ข้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ใบปริญญายังอยู่ แต่เงินนั่นข้าใช้หมดแล้ว ถ้าหลวงพี่ไว้ชีวิตข้า ข้าจะทำงานเก็บเงินคืนให้จนครบ จะให้ข้าทำหนังสือสัญญาเอาไว้ก็ได้”
เมื่อได้สารภาพความจริงออกมาหมดทุกเนื้อถ้อยกระทงแล้วเช่นนี้ มาตาฮาจิรู้สึกหายกลัวเป็นปลิดทิ้ง
คงเป็นเพราะแผลที่กลัดหนองอยู่ในใจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ถูกบ่งให้หนองทะลักทะลายออกมาจนหมดสิ้นนั่นเอง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ผิดคาด คู่อริไม่ได้วิ่งหนีหางจุกกูดเหมือนฝูงหมาจรจัดเมื่อกี้อย่างที่คิด
“อย่างนี้ก็สนุกละซี”
เจ้าหนุ่มหน้ามลไว้ผมปรกหน้าผากยืดตัวตั้งท่าพร้อมสู้เต็มที่
“เห็นเจ้าวางมาดแกว่งไกวดาบไล่ฝูงหมาก็ดูเข้าทีอยู่ แต่จะว่าเป็นนักดาบก็คงเป็นพวกปลายแถว แต่เอาเถอะข้าเองห่างเหินการสอนเชิงดาบให้พวกกระดูกอ่อนมานาน จนเจ้าไม้ตากผ้าบนหลังข้าร้องครวญกระหายเลือดทุกค่ำคืน เพราะตั้งแต่ได้ดาบอันเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเล่มนี้มาครอง ข้าไม่เคยว่างเว้นที่จะอาบมันด้วยเลือดนานเป็นวันอย่างนี้ กำลังห่วงว่าจะขึ้นสนิมก็พอดีได้พบกระดูกให้ลับคมล้างสนิม...อ้าว ๆ จะไปไหน ถ้าคิดหนีละก็เป็นได้เห็นดีแน่”
มาตาฮาจิจะหันหลังหนีก็ยังลังเลอยู่ แต่พอถูกอีกฝ่ายปรามาสด้วยถ้อยคำเชือดเฉือนทั้งยังวางท่าขึงขัง ก็ถึงกับก้าวเท้าไม่ออก แต่ใจหนึ่งก็ยังปลอบว่าอาจแค่ขู่ก็ได้ จึงตวาดกลับ
“อย่ามาทำใหญ่แถวนี้ ถ้าจะคิดใหม่ก็ยังมีเวลา และขอแนะนำว่าทางที่ดีควรไปให้พ้นระหว่างที่ยังเห็นปลายเท้าของเจ้าชัดเจนอยู่ ถ้าทำตามนี้ข้าจะไว้ชีวิตให้ได้กลับไปนอนบ้าน”
“ข้าขอคืนคำพูดนั้นกลับไปให้เจ้าทุกถ้อยคำ...แต่ช้าก่อน เมื่อกี้ข้าถามชื่อเจ้า เจ้าก็ทำยักท่าไม่ยอมตอบ ซ้ำยังมองหมิ่นบอกว่าไม่จำเป็นที่จะบอกชื่อแก่คนแปลกหน้าอย่างข้า ทว่าตามธรรมเนียมของนักดาบ เมื่อจะประลองฝีมือกันนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามและสำนักดาบกันให้ชัดเจนไม่ใช่รึ”
“บอกก็ได้ แต่อย่าตกใจก็แล้วกัน”
“ข้าจะพยายามระงับใจไว้ไม่ให้ตื่นตระหนก เริ่มจากสำนักดาบก่อนเลย”
มาตาฮาจิปลอบใจตัวเองว่าคนที่พูดคล่องปากแบบนี้พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่เห็นเอาไหนสักคน ก็เลยชักจะมั่นใจขึ้นมา และยืดอกตอบอย่างทระนงองอาจ
“ข้ามีใบปริญญาประทับตราสำนักจูโจ ที่สืบทอดวิทยายุทธิ์มาจากท่านโทดะ เซเง็นผู้เป็นต้นสำนัก”
“อะไรนะ สำนักดาบจูโจรึ”
โคจิโรเริ่มตกใจนิด ๆ
มาตาฮาจิได้ทีจึงรุกต่อ เพราะคิดว่าจะโกหกทั้งทีก็ต้องไปให้สุด ๆ
“คราวนี้ก็ถึงคราวเจ้าที่จะต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามและสำนักดาบตามธรรมเนียมการประลองฝีมือ”
เจ้าหนุ่มจงใจย้อนเย้ยคู่อริ
โคจิโรขมวดคิ้ว
“เรื่องชื่อและสำนักดาบของข้าเอาไว้ทีหลัง บอกมาก่อนว่าเจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใดที่สำนักดาบจูโจ
มาตาฮาจิยืดอกตอบชัดถ้อยชัดคำ
“คาเนมากิ จิไซ”
คราวนี้ โคจิโรตกใจจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้จัก อิโต อิตโตไซ น่ะซี”
“แน่นอน”
มาตาฮาจิชักจะลำพองใจที่เห็นเจ้าหนุ่มหน้ามลพกดาบยาวตื่นตระหนก เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของผู้ที่ได้รับปริญญาจากสำนักดาบแห่งนี้อย่างชัดเจน และคิดว่าคงไม่คิดสู้ ที่นิ่งไปก็เพราะกำลังพยายามหาถ้อยคำมาประนีประนอมด้วย จึงโวต่อ
“ข้าจะบอกให้ อิโต อิตโตไซกับข้าเป็นศิษย์อาจารย์จิไซ สนิทกันเหมือนพี่น้อง”
“งั้นข้าขอถามต่ออีกสักหน่อยเถิดว่า เจ้าชื่ออะไร”
“ซาซากิ โคจิโร”
“ว่าไงนะ”
“ซาซากิ โคจิโร”
มาตาฮาจิย้ำทีละคำอย่างชัดเจน
เจอเข้าอย่างนี้ใครบ้างจะไม่ตกใจ โคจิโรถึงกับตะลึงงันพูดอะไรไม่ออก
2
“อืม”
โคจิโรครางหลังนิ่งไปหลายอึดใจ แล้วยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเจ้าเสน่ห์
มาตาฮาจิจ้องตอบสายตาที่เขม้นมองมาอย่างไม่เกรงใจของอีกฝ่าย
“จ้องหน้าข้าทำไม กลัวมากละซีที่รู้ว่าข้าคือใคร”
“กลัวสิ กลัวมากเลยด้วย”
“รู้แล้วก็ไปให้พ้น”
มาตาฮาจิเชิดคางไล่ และพอเอื้อมมือไปจะปลดไกที่โคนฝักดาบเพื่อชักออกมา โคจิโรระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น แม้จะจอตัวกุมท้องไว้ก็ระงับไม่อยู่
“อะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ... ... ...”
โคจิโรหัวเราะไม่หยุด
“ข้าเดินทางมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ พบผู้คนมามากหน้าหลายตา แต่ไม่เคยพบใครที่น่ากลัวเหมือนเจ้าเลย ซาซากิ โคจิโร...ขอถามหน่อยนะ เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร”
“อะไรนะ”
“ข้าถามเจ้าว่า รู้ไหมว่าข้าคือใคร”
“ใครจะไปรู้”
“ไม่รู้ได้ยังไง เจ้าต้องรู้ดีซี อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ ขอถามให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งได้ไหมว่าเจ้าชื่ออะไร”
“เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าข้าชื่อซาซากิ โคจิโร”
“แล้วข้าล่ะ”
“ก็เป็นคนละมัง”
“ก็ใช่ แต่คนที่เป็นข้าคนนี้น่ะชื่ออะไร”
“เอ๊ะเจ้านี่ อยากหาเรื่องรึ”
“เปล่า ข้าจริงจังนะ ไม่เคยจริงจังกว่านี้มาก่อนเลยด้วย ท่านอาจารย์โคจิโรขอรับ รู้ไหมว่าข้าคือใคร”
“หยุดพล่ามได้แล้ว อยากรู้ก็ถามตัวเองสิ”
“จริงด้วย แต่ไม่ต้องถามให้ยุ่งยากก็ได้ บอกเลยดีกว่า”
“เออ บอกมา”
“แต่อย่าตกใจนะ”
“ตกใจก็บ้าน่ะซี “
“ข้าชื่อกันริว ซาซากิ โคจิโร”
“เฮ้ย...?”
“ข้าเกิดในตระกูลซาซากิอยู่ที่อิวาคูนิมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่าโคจิโร บรรดานักดาบรู้จักข้าในชื่อกันริว ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าในโลกนี้มีคนชื่อซาซากิ โคจิโรถึงสองคนมาตั้งแต่เมื่อไร”
“...งั้น ? ถ้างั้น ?...”
“ระหว่างเดินทางไปทั่วทุกหัวระแหง ข้าพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ตั้งแต่เกิดซาซากิ โคจิโรคนนี้ไม่เคยพบคนชื่อซาซากิ โคจิโรมาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้”
“... ... ...”
“ไม่นึกว่าดวงชะตาจะชักนำให้มาพบกันอย่างประหลาดเช่นนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคือซาซากิ โคจิโรแน่นะ”
“... ... ...”
“อ้าวเป็นไรไปรึ อยู่ ๆ ก็ตัวสั่นเทิ้ม”
“... ... ...”
“เรามาเป็นเพื่อนกันดีไหม”
โคจิโรย่างเท้าเข้าไปใกล้มาตาฮาจิที่ยืนหน้าซีดขาวนิ่งอยู่ตรงนั้น และพอยกมือขึ้นตบบ่ามาตาฮาจิก็ผงะและร้องลั่น โคจิโรแผดเสียงสวนใส่หน้าเหมือนพุ่งด้วยหอก
“หยุด...ขืนหนี ตาย”
ไม่ทันสิ้นเสียง ดาบยาวที่พาดหลังเจ้าหนุ่มหน้ามลก็ถูกชักออกจากฝัก ตวัดเควี้ยวผ่านไหล่ด้วยความเร็วจนตาจับได้เพียงลำแสงประกายวับวาดผ่านอากาศเหมือนงูสีเงินฉกไปที่มาตาฮาจิซึ่งกำลังตั้งท่าหนี โคจิโรไม่ลงดาบซ้ำ
มาตาฮาจิล้มกลิ้งไปบนพื้นดินสามตลบในสภาพของหนอนใบไม้ที่ปลิวไปตามแรงลมและแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
3
โคจิโรเก็บดาบยาวที่ไร้รอยเลือดกลับเข้าฝักเสียงไกลั่นดังกริ๊ก หันหลังให้มาตาฮาจิที่ยังนอนนิ่งอยู่บนพื้นอย่างไม่ใยดี ตรงไปที่โคนต้นไม้
“อาเกมิ”
เจ้าหนุ่มแหงนมองขึ้นไปบนคบไม้พลางร้องเรียก
“อาเกมิ ลงมาได้แล้ว ลงมาเถอะนะข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ข้าฟันผัวแม่เจ้าลงไปล้มกลิ้งอยู่โน่น ลงมาช่วยดูหน่อย”
เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบลงมา มองขึ้นไปก็ไม่เห็นอะไรเพราะใบสนหนาทึบโคจิโรจึงปีนขึ้นไปดูเอง
“... ... ...?”
อาเกมิไม่อยู่บนคาคบ คงได้ช่องตอนที่ตนกับมาตาฮาจิท้าทายกันอยู่ ลงจากต้นไม้วิ่งหนีไปแล้ว
“... ... ...”
โคจิโรนั่งนิ่งอยู่บนคบไม้ นึกถึงนกน้อยที่ไม่รู้ว่าหนีไปทางไหน ท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่านกิ่งใบของต้นสน
ทำไมเจ้าหล่อนถึงได้กล้วข้าเหลือเกิน
โคจิโรไม่เข้าใจว่าทำไมอาเกมิจึงกลัวเพราะคิดว่าตนได้ทุ่มเทความรักแก่เธอเท่าที่คนอย่างตนจะทำได้ เจ้าหนุ่มยอมรับว่าอาจแสดงความรักรุนแรงเกินไปบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดแปลกไปกว่าคนธรรมดาทั่วไปตรงไหน
ถ้ารู้ว่าการแสดงความรักของโคจิโรผิดแปลกไปจากชายอื่นตรงไหนนั้น คงต้องมองไปที่อุปนิสัยที่แสดงออกในเชิงดาบจึงจะเข้าใจ
โคจิโรได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงดาบมาตั้งแต่สมัยเด็กโดยมีคาเนมากิ จิไซเป็นผู้ฝึกวิชาดาบมากับมือ และเชิงดาบของเจ้าหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง พูดสั้น ๆ คือแตกต่างกันที่ “ทิฐิ” อันเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ยิ่งได้ประลองยุทธ์กับคนที่ฝีมือเหนือกว่าก็ยิ่งมีทิฐิไม่ยอมแพ้
การประลองยุทธ์สมัยนี้เอาแพ้เอาชนะกันมากกว่าจะยึดติดกับวิชาดาบ จึงไม่มีใครประนามการสู้อย่างมีทิฐิเช่นนี้ว่าไม่ชอบธรรม แม้จะมีคนเกรงไม่อยากต่อกรด้วย แต่ก็ไม่มีใครดูแคลน
ครั้งหนึ่ง สมัยที่ยังเป็นเด็กโคจิโรเคยถูกศิษย์สำนักดาบรุ่นพี่ที่ไม่ชอบขี้หน้ารุมตีด้วยดาบไม้จนสลบ รุ่นพี่คนหนึ่งสำนึกผิดว่าเล่นแรงเกินไปจึงเอาน้ำมาป้อนและพยายามพยาบาลจนฟื้น แต่พอรู้สึกตัวได้สติขึ้นมาได้โคจิโรผลุดลุกขึ้นด้วยกำลังแรง ฉวยดาบไม้ขึ้นมาฟาดฟันศิษย์รุ่นพี่คนนั้นจนตาย
โคจิโรไม่เคยลืมคู่ต่อสู้ที่เอาชนะตนได้ เจ้าหนุ่มจะต้องหาโอกาสเอาคืน และพอได้ช่องก็จะจู่โจมเข้าประหัตร ประหารไม่เว้น แม้ในยามวิกาล ไม่ว่าจะอยู่ในส้วม หรือนอนอยู่บนฟูก
การประดาบกันในยุคนี้ไม่ได้อยู่ในกรอบที่ว่าเอาแพ้เอาชนะกันแต่ในการประลองยุทธ์คือจบเป็นจบ ดังนั้นนักดาบร่วมสำนักจึงลือกันว่าใครได้ประดาบกับโคจิโรครั้งหนึ่งแล้ว ให้สำนึกไว้เลยว่าเป็นศัตรูต่อกันเป็นวันตาย แต่ก็ไม่มีใครกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดจรรยาบรรณของนักดาบ
ไม่นานต่อมาซาซากิก็เริ่มอวดตัวว่าข้าเป็นอัจฉริยะ
แต่จะว่าเจ้าหนุ่มหลงตัวเองไปคนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะจิไซผู้เป็นอาจารย์เองก็ยังออกปากว่าลูกศิษย์ตัวดีของตนคนนี้คืออัจฉริยะ
เมื่อโคจิโรคืนถิ่นที่อิวาคูนิและฝึกเชิงดาบท่าฟันนกนางแอ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของตนที่เชิงสะพานคินไตทุกวัน คนก็ยิ่งล่ำลือกันและขนานนามว่า
ทายาทมังกรแห่งอิวาคูนิ
โคจิโรก็ยิ่งลำพอง
ไม่มีใครรู้ว่าทิฐิที่ฝังลึกอยู่ในเชิงดาบนั้นจะแสดงออกมาทำนองใดกับผู้หญิงอันเป็นที่รัก
และความที่มีแนวคิดเรื่องดาบกับเรื่องผู้หญิงแยกกันไปคนละทาง เจ้าหนุ่มจึงแปลกใจนักที่อาเกมิเกลียดตนและหนีไป
4
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึงความรักอยู่นั้น โคจิโรก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาที่โคนต้นไม้ โดยไม่ได้เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนคาคบ
“เอ๊ะ นั่นใครนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น”
คนพูดตรงเข้าไปที่มาตาฮาจิ ก้มลงมองหน้าแล้วร้องลั่นด้วยความแปลกใจจนได้ยินขึ้นมาถึงบนต้นไม้
“อ้าว เจ้านี่เอง”
พระธุดงค์รีบปลดถุงสัมภาระที่สะพายหลังลงวางบนพื้นพลางจับเนื้อจับตัวเจ้าหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่
“เอ...ก็ไม่ได้ถูกฟันตรงไหน ตัวก็ยังอุ่นอยู่ เป็นยังไงมายังไงถึงได้มานอนสลบเหมือดอยู่ตรงนี้”
พระธุดงค์พึมพำพลางคลำไปจนพบพบเชือกที่ผูกอยู่ใช้ผ้าคาดกิโมโน จึงแก้ออกมามัดมือมาตาฮาจิไขว้หลังเอาไว้ จากนั้นจึงเอาหัวเข่ากดลงไปที่หลังส่วนที่ตรงกับยอดอกแล้วออกแรงกดลงไป
พอได้ยินเสียงมาตาฮาจิครางออกมา พระธุดงค์ก็ออกแรงลากเจ้าหนุ่มไปที่ใต้ต้นไม้ราวกับเป็นถุงใส่หัวมัน
“ยืนขึ้น บอกให้ยืนขึ้นไง”
พระธุดงค์ตวาดเสียงเกรี้ยวพร้อมกับเตะแรง ๆ ที่ลำตัว
มาตาฮาจิเพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาระหว่างทางเกือบถึงนรกขุมแรก เด้งตัวขึ้นยืนโงนเงนในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ดี อยู่เฉย ๆ อย่างนั้นแหละ”
ว่าแล้วพระธุดงค์ก็เอาเชือกที่เหลือมัดลำตัวและขาของมาตาฮาจิติดไว้กับต้นสน
“เอ๊ะ”
มาตาฮาจิร้องด้วยความประหลาดใจที่เห็นพระธุดงค์ แทนที่จะเป็นโคจิโร
“ว่ายังไง โคจิโรตัวปลอม เวลาจะหนีละก็วิ่งเสียเร็วจนตามไม่ทัน คราวนี้ละอยู่มือข้าแล้ว”
พระธุดงค์เริ่มใช้กำลัง
ฟาดฝ่ามือตบหน้าเจ้าหนุ่มเต็มแรงและผลักหน้าผากกระแทกกับต้นไม้เสียงดังอย่างน่าจะสะเทือนไหทั้งหัว
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเอากลักใส่ยาอันนั้นมาจากไหน บอกมา”
“... ... ...”
“ไม่บอกใช่ไหม”
ว่าแล้วก็บีบจมูกเชลยเป็นหลักจับใบหน้าโยกไปมาอย่างแรงจนมาตาฮาจิร้องเสียงหลง
และส่งเสียงประหลาดออกมาทางจมูกคล้ายกับจะยอมเปิดปากพูด
“บอกได้แล้วใช่ไหม”
พอพระธุดงค์ปล่อยมือจากจมูก มาตาฮาจิจึงพูดออกมาได้ชัด ๆ
“บอก”
มาตาฮาจิน้ำตาร่วง
ความจริงไม่ต้องทรมานกันขนาดนี้ก็ได้ เพราะเจ้าหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะคิดปิดบังความลับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว....”
มาตาฮาจิเล่าเรื่องที่ตนบังเอิญพบกับเหตุการณ์นักดาบฝึกหัดถูกฆ่าตาย ระหว่างรับจ้างขนอิฐสร้างปราสาท ฟูชิมิ ให้พระธุดงค์ฟังอย่างละเอียด
“ข้าผิดไปแล้วที่ขโมยเงิน ใบปริญญาของสำนักดาบจูโจ กับกลักใส่ยาอันนั้นมาจากศพหนีไป ข้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ใบปริญญายังอยู่ แต่เงินนั่นข้าใช้หมดแล้ว ถ้าหลวงพี่ไว้ชีวิตข้า ข้าจะทำงานเก็บเงินคืนให้จนครบ จะให้ข้าทำหนังสือสัญญาเอาไว้ก็ได้”
เมื่อได้สารภาพความจริงออกมาหมดทุกเนื้อถ้อยกระทงแล้วเช่นนี้ มาตาฮาจิรู้สึกหายกลัวเป็นปลิดทิ้ง
คงเป็นเพราะแผลที่กลัดหนองอยู่ในใจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ถูกบ่งให้หนองทะลักทะลายออกมาจนหมดสิ้นนั่นเอง