xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอนชิงนาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
มาตาฮาจิทั้งเศร้าและซึมด้วยฤทธิ์สุรา ลอบมองผ่านช่องผนังที่ผุพังเข้าไปดูภายในบ้านคนยากคนจนที่ซอมซ่อจนน่าจะเรียกว่าเพิงไปเสียทุกหลัง
แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนที่นั่นก็คือครอบครัว บ้านหนึ่งผัวเมียนั่งตรงข้ามแบ่งกันกินอะไรสักอย่างที่อยู่ในหม้อเล็ก ๆ หม้อเดียว บ้านหนึ่งสองพี่น้องนั่งเล่นกันอยู่ข้าง ๆ แม่เฒ่าที่รับเอางานเย็บปักมาทำหาเงินเลี้ยงหลานไม่หยุดมือ ไม่รู้ว่าได้กินข้าวกินปลากันหรือยัง ชีวิตยากไร้แต่ดูอบอุ่นเอื้ออาทรกันเช่นนี้คงไม่มีในครอบครัวผู้ยิ่งใหญ่เพียบพร้อมไปไปด้วยสมบัติพัสถานอย่างท่านจอมทัพฮิเดโยชิหรืออิเอยาซุ ความรักและเห็นอกเห็นใจกันอย่างลึกซึ้ง ความอบอุ่นในครอบครัวคนยากนี้เองที่กอบกู้แหล่งเสื่อมโทรมในนครหลวงแห่งนี้ ไม่ให้กลายเป็นขุมปีศาจ
“ข้าก็เป็นคนมีแม่กับเขาเหมือนกัน แม่จะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้”
มาตาฮาจิคิดถึงแม่ขึ้นมาทันใด เจ้าหนุ่มพบกับแม่ที่จากกันไปนานตั้งแต่ครั้งที่ตนหนีออกจากบ้านไปสนามรบกับทาเกโซเมื่อสิ้นปีนี้เอง แต่ก็อยู่ด้วยกันได้แค่เจ็ดวันก็มีปากมีเสียงกันอย่างเผ็ดร้อนตามนิสัยเอาแต่ใจตนอย่างเหลือทนของทั้งสองฝ่าย และตนเป็นคนสะบัดหน้าหนีมาด้วยโทสะจริต
“ข้ามันชั่ว ทำให้แม่เดือดเนื้อร้อนใจไม่รู้จักจบ สงสารเมื่อเหลือเกิน ข้าผ่านผู้หญิงมาก็มาก แต่ไม่มีใครรักข้าด้วยใจจริงเหมือนแม่แน่นอน”
เจ้าหนุ่มไม่มีจุดหมายให้เลือกมากนัก ที่ที่พอจะอาศัยชายคาคุ้มหัวนอนได้ในค่ำคืนนี้นี้เห็นจะมีแต่วิหารพระโพธิสัตว์คันอนที่วัดคิโยมิซุ ทั้งยังแอบหวังด้วยว่าอาจเจอแม่ผู้เฒ่าของตนที่นั้น
แม่เฒ่าโอซูงิเลื่อมใสและเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนาหรือเทพเจ้า นอกจากเชื่อแล้วยังพร่ำภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์ช่วยเหลือในทุกสิ่งอย่างอีกด้วย สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มาตาฮาจิทนไม่ได้ถึงกับต่อว่าต่อขานกันจนถึงขั้นแตกหักก็คือ ระหว่างเจ็ดวันที่อยู่ด้วยกันแถวโอซากานั้น แม่เฒ่าแวะเวียนไปตามวัดและศาลเจ้าแทบทุกแห่งทุกวันและทุกเวลา จนเจ้าหนุ่มเบื่อหน่ายและคิดว่าไม่อาจเดินทางไปกับแม่ได้อีกต่อไป
ระหว่างที่ไปไหนมาไหนด้วยกันนั้น แม่เฒ่าจะพูดติดปากอยู่เสมอว่า
พระโพธิสัตว์คันอนทรงศักดิ์สิทธิ์เหนืออื่นใดในโลกนี้ ภาวนาขอสิ่งใดท่านก็ดลบรรดาลให้สมปรารถนาทั้งนั้น ครั้งก่อนข้าภาวนาขอให้พบตัวเจ้าทาเกโซ หลังจากนั้นไม่กี่วันข้าก็ได้พบเจ้าหมอนั่นจริง ๆ ที่หน้าวัด คิโยมิซุเลยด้วย เจ้าก็เหมือนกัน จงเชื่อถือและยึดมั่นอยู่กับพระโพธิสัตว์องค์นี้แล้วจะได้ดีมีความสุข จำเอาไว้นะมาตาฮาจิ
---จากนั้น แม่ยังบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย ว่าหลังปีใหม่จะหาโอกาสมาสักการะพระโพธิสัตว์องค์นี้ที่วัดคิโยมิซุอีกครั้ง เพื่อขอพรให้ช่วยปกป้องคุ้มครองคนในตระกูลฮนอิเด็นของนาง
และไม่แน่นัก ตอนนี้แม่เฒ่าอาจมาถึงวัดแล้วก็ได้
มาตาฮาจิเดินจากซอยโรกุโจโบมอนไปทางโกโจ แม้จะเป็นย่านตัวเมืองแต่ตามตรอกซอยละแวกนี้มืดมากและมีพวกหมาจรจัดสิงสู่อยู่กันเป็นฝูง
เจ้าหนุ่มถูกรุมเห่ามาตั้งแต่ย่างเท้าเข้าไปในตรอก แต่หมาในตรอกนี้ฝูงใหญ่เกินกว่าจะไล่ไปให้พ้นด้วยก้อนหินแค่ก้อนสองก้อน แต่ระยะนี้มาตาฮาจิเริ่มคุ้นเคยกับการถูกหมาเห่า และแม้จะแยกเขี้ยวขาววิ่งรี่เข้ามาใกล้ก็เดินฝ่าฝูงหมาไปอย่างไม่สะทกสะท้าน จนฝ่ายเห่าต้องล่าถอยไปเอง
แต่พอไปถึงบริเวณมัตสึบาระใกล้กับย่านโกโจ ฝูงหมารวมทั้งที่วิ่งแยกเขี้ยวเห่าตามเจ้าหนุ่มมาก็พร้อมใจกันเปลี่ยนทิศทาง วิ่งดาหน้าเข้าไปล้อมรอบต้นสนที่ยืนต้นโดดเดียวอยู่ทางหนึ่ง และแหงนหน้าขึ้นไปเห่าอย่างกระเหี้ยนกระพือรือ
เงาที่เคลื่อนไหวชุลมุลนับตัวไม่ถ้วนอยู่ตรงนั้นดูเหมือนฝูงลิงมากกว่าฝูงหมาจรจัด ตัวที่ดุร้ายท่าทางเป็นจ่าฝูงถึงกับกางกงเล็บกระโจนสูงขึ้นไปตะกายลำต้นตรงที่เกือบจะถึงกิ่งแรก
“โอ๊ะ”
มาตาฮาจิอุทานออกมาดัง ๆ และเขม้นมองไปบนกิ่งไม้ที่ตนคิดว่าเห็นเงาอะไรแวบ ๆ อยู่ตรงนั้น ตาที่ค่อยชินกับความมือประกอบกับแสงวิบวับจากดวงดาว จึงจับภาพใบหน้าและลำคอของหญิงนางหนึ่งไหวอยู่ระหว่างใบสน
2
ไม่รู้ว่านางหนีฝูงหมาจรจัดขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ หรือว่าซ่อนตัวอยู่บนนั้นและฝูงหมาได้กลิ่นจึงวิ่งไปรุมเห่า แต่ที่ แน่ ๆ คือเงาแวบ ๆ บนกิ่งไม้นั้นเป็นสาวน้อย
“ไป ไปให้พ้น ไอ้พวกหมาจรจัด ไป”
มาตาฮาจิชูกำปั้นร้องด่าพลางสบถ พร้อมกับขว้างก้อนหินเข้าใส่ฝูงหมาสองสามก้อน เจ้าหนุ่มเคยได้ยินมาว่าถ้าลงคลานสี่ตีนและเห่าด้วยแล้วละก็ หมาไม่ว่าหน้าไหนก็วิ่งหนีหางจุกตูด ก็เลยลองทำตาม
แต่ถึงจะตั้งท่าเป็นสัตว์ป่าดุร้ายคำรามขู่ขวัญแต่ก็ไม่ได้ผล
หมาไม่ได้มีแค่สามสี่ตัว แต่มาเป็นฝูงนับไม่ถ้วนแต่ละตัวแยกเขี้ยวขาวเห่าเสียงขรม ผลัดกันกระโดดขึ้นไปตะกายลำต้นแข่งกันขึ้นไปตะปบเหยื่อบนคาคบให้ได้ ไม่มีตัวไหนหันมาสนใจเจ้าหนุ่มที่ลงไปคลานสี่ตีนเห่าท้าทายอยู่ห่างออกไป
แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมาเจ้าหนุ่มก็หน้าชาด้วยความอายสาวน้อยบนคาคบ ที่อยู่ ๆ ชายหนุ่มผู้สง่างามคาดดาบคู่เป็นนักรบเต็มตัว ลงไปคลานสี่ตีนเห่ากับหมาอย่างนั้น และผลุดลุกขึ้นสำแดงฤทธิ์เดชทันควัน
“ไอ้หมาบ้า”
“เอ๊ง”
หมาทั้งฝูงหยุดบ้าคลั่งหันมามองมาตาฮาจิเป็นตาเดียวกันเมื่อได้ยินเสียงร้องของหมาตัวนั้น ครั้นเห็นดาบคมวาวโชกเลือดและศพเพื่อน มันก็ถอยกรูดเข้ามารวมกันไปกลุ่มก้อนด้วยความหวาดเกรง สันหลังสะท้อนขึ้นลงราวกับคลื่นในทะเล
“หน้าไหนยังจะอยากลองดีก็เข้ามาเลย”
มาตาฮาจิได้ทีแกว่งดาบรุกเข้าไป ทำเอาหมาจรจัดแตกฝูงเผ่นแน่บไม่คิดชีวิต
“หล่อนขนคบไม้ ลงมาได้แล้ว ลงมาสิ”
เจ้าหนุ่มแหงนหน้าขึ้นไปเรียก และพอร่างบนคบไม้ขยับตัวก็มีเสียงลูกกระพรวนดังกรุ๊งกริ๊ง
“เอ๊ะ อาเกมิ นั่นเจ้ารึ”
มาตาฮาจิจำเสียงลูกกระพรวนที่กิโมโนของอาเกมิได้ เด็กหญิงที่ชอบติดลูกกระพรวนที่ผ้าคาดเอวหรือชายกิโมโนไม่ได้มีแต่อาเกมิคนเดียวก็จริง แต่วงหน้าขาวนวลที่เห็นแวบ ๆ ระหว่างใบสนบนคบไม้นั้นดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแม่สาวน้อยคนนั้น
เสียงอุทานด้วยความตกใจเป็นที่สุดนั้น ใช่เสียงของอาเกมิจริง ๆ ด้วย
“ใครน่ะ ใคร”
“ข้าเอง มาตาฮาจิ จำเสียงไม่ได้รึ”
“อะไรนะ มาตาฮาจิรึ”
“ก็ใช่น่ะซี ว่าแต่ขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น เจ้าไม่ใช่คนกลัวหมาสักหน่อย”
“ข้าไม่ได้ขึ้นมาซ่อนตัวบนนี้เพราะกลัวหมา”
“งั้นก็ลงมาสิ ลงมาก่อนเลย”
“แต่...”
อาเกมิกวาดสายตาไปทั่วบริเวณที่สงบเงียบอยู่ในความมืด
“---มาตาฮาจิ หนีออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย คน ๆ นั้นกำลังตามหาท่านอยู่”
“คน ๆ นั้น ? ใครรึ”
“มาถามอะไรตอนนี้ คน ๆ นั้นน่ากลัวมาก ข้าพบนักดาบเมื่อตอนสิ้นปี แต่แรกก็คิดว่าเป็นคนใจดีก็เลยเชื่อใจหมายพึ่งพา แต่ที่ไหนได้ใจคอโหดเหี้ยมสิ้นดี คืนนั้นข้าได้จังหวะก็เลยหนีออกมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยม ซูซูยะ เขารู้ทันทีเลยแล้วกวดตามมาติด ๆ ข้าก็เลยหนีมาซ่อนอยู่บนนี้”
“ไม่ได้หนีโอโค แม่เลี้ยงของเจ้ามาหรอกรึ”
“เปล่า”
“กิองโทจิละซี”
“ถ้าเป็นท่านผู้นั้น ข้าจะกลัวไปทำไม โอ๊ะ ตามมาแล้ว มาตาฮาจิ...ขืนยืนอยู่ตรงนั้น เขาต้องรู้ว่าข้าอยู่บนนี้แน่ แล้วท่านก็จะพลอยแย่ไปด้วย รีบหนีไปซ่อนตัวไปเร็วเข้า ไปเดี๋ยวนี้เลย”
“อะไรนะ กวดตามเจ้ามาทันแล้วรึ”
มาตาฮาจิหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก
3
สายตาผู้หญิงมีพลังโน้มน้าวใจชาย เมื่อไรที่รู้ตัวว่านางมองมาด้วยประสงค์ใด แม้ไม่มีเงินก็ยังจัดให้ แม้ไม่มีฝีมือก็ยังพยายามทำตนเป็นวีรบุรุษ
ความอับอายเมื่อครู่ก่อนตอนที่ลงไปคลานสี่ตีนสู้กับหมาต่อหน้าต่อตานางยังกรุ่นอยู่ในใจ ทำให้เกิดความทะนงตนในความเป็นลูกผู้ชาย...จะหนีได้อย่างไรให้อับอายอีก
ดังนั้น แม้อาเกมิจะร้องลงมาจากคบไม้ว่าให้หลบไปเพราะ
ท่านจะพลอยแย่ไปด้วย
รีบหนีไปซ่อนตัวไปเร็วเข้า
แย่จัง ยังไม่ไปอีก
อาเกมิยิ่งเตือนมาตาฮาจิก็ยังยืนหยัดอยู่ตรงนั้น แม้ว่าอาเกมิจะไม่ใช่คนรักแต่เจ้าหนุ่มก็ไม่อาจแสดงความขลาดให้เสียศักดิ์ศรี
“นั่นใคร”
คนที่วิ่งเข้าพรวดพราดมาอย่างรีบร้อนกับมาตาฮาจิที่กระโดดหลบไปทางหนึ่งร้องถามขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
ผู้ชายที่อาเกมิหนีมาด้วยความหวาดกลัววิ่งตามมาทันแล้ว และพอเห็นมาตาฮาจิถือดาบมีเลือดอาบอยู่ก็นึกขึ้นมาทันทีว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา
“เจ้าเป็นใคร”
ชายแปลกหน้าถามซ้ำ
“... ... ...”
ความหวาดกลัวของอาเกมิทำให้มาตาฮาจิพลอยเกร็งไปด้วย แต่พอพิจารณารูปทรงของอีกฝ่ายแล้วก็ค่อยคลายใจเพราะแม้ร่างจะสูงแต่ก็ไม่ได้ล่ำสันบึกบึน อายุอานามก็พอ ๆ กันกับตนปล่อยผมปรกหน้าและสวมกิโมโนสีฉูดฉาดตามสมัยนิยม มองรวม ๆ แล้วไม่น่ามีพิษสงอะไร
โธ่เอ๋ย ที่แท้มันก็แค่ไอ้หนุ่มอ่อนหัด
มาตาฮาจิลอบถอนใจด้วยความโล่งอก บอกตนเองอยู่ในใจว่า
ประมาณนี้ละก็พอไหว 
ถ้าเป็นพระธุดงค์กักขฬะ ที่ปะทะกันเมื่อตอนหัวค่ำก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้าหนุ่มร่างสะโอดสะอง ไว้ผมปรกหน้าผากใส่เสื้อผ้าฉูดฉาดทั้งที่อายุยี่สิบกว่าคนนี้ คิดว่าเอาชนะได้ไม่ยาก
เจ้าหนุ่มหน้ามลคนนี้เองรึที่รังแกอาเกมิ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที แต่ที่แน่ ๆ คือต้องร้ายกาจมาก ไม่เช่นนั้คงไม่ทำให้สาวแกร่งอย่างนางต้องกลัวลนลานจนต้องหนีเตลิดมา เดี๋ยวเถอะ ข้าจะเอาคืนให้สาแก่ใจอาเกมิทีเดียว
มาตาฮาจิคิดพลางวางมาดอย่างคนมีฝีมือเหนือกว่า ฝ่ายเจ้าหนุ่มร่างเพรียวเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบจึงถามซ้ำ
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงถามครั้งที่สามกร้าวเกินตัว มีพลังกังวานราวจะขับความมืดรอบด้านให้พ้นไป
มาตาฮาจิตั้งตัวเป็นปรปักษ์ตั้งแต่แรกเห็น ตอบอย่างยียวนชวนวิวาท พร้อมกับแสยะยิ้ม
“ข้าน่ะรึ ข้าก็คือคนไงล่ะ”
เจ้าหนุ่มหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที ตอบโต้เสียงกร้าว
“ไม่มีชื่อ หรือว่ามีแต่อายที่จะบอก”
มาตาฮาจิยังสงบนิ่ง
“ข้าไม่เห็นความจำเป็นที่จะบอกชื่อแก่คนแปลกหน้าอย่างเจ้า”
“ไม่ต้องพูดมาก”
เจ้าหนุ่มหน้ามลตวาดเสียงแข็ง ก้าวออกมาจากเงามืดให้อีกฝ่ายเห็นดาบยาวเกินตัวที่สพายพาดไว้ข้างหลัง เห็นด้ามโผล่พ้นกลุ่มผมที่มัดเอาไว้
“จะประดาบกันก็ได้แต่เอาไว้ทีหลัง ข้าต้องจัดการให้สาวน้อยลงมาจากคบไม้แล้วพากลับไปที่โรงเตี๊ยม ซูซูยะตรงนี้ก่อน คอยข้าสักครู่แล้วกัน”
“พูดบ้า ๆ ข้ารึจะยอมให้เอ็งพานางไป”
“ว่าอะไรนะ”
“สาวน้อยคนนี้เป็นลูกสาวของผู้หญิงที่เคยเป็นเมียข้า แม้จะห่างเหินกันไปแล้ว แต่ข้าก็มีหน้าที่ต้องปกป้องนางให้พ้นมืออันธพาลอย่างเอ็ง กล้าดีก็เข้ามาสิ ขืนแตะต้องตัวนางแม้แต่ปลายก้อย เป็นต้องเห็นดีกัน”


กำลังโหลดความคิดเห็น