xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอนสำนึกของมาตาฮาจิ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
ข่าวการประลองยุทธ์ที่ทุ่งเร็งไดจิสะพือพัดไปทั่วทุกหัวระแหง และผ่านการใส่สีเสริมแต่งกันจนแพรวพราวกว่าจะถึงหูใครสักคนที่อยู่ไกลออกไป
เพียงได้ยินเขาเล่าลือกันถึงฝีมือดาบอันไร้เทียมทานของมูซาชิ เพื่อนร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบเซกิงาฮาระ ฮนอิเด็น มาตาฮาจิก็อดที่จะสำนึกถึงความต่ำต้อยด้อยฝีมือของตนไม่ได้ ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ฟังเรื่องราวของมูซาชิจนกว่าตนจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาเป็นคนเต็มคนกับเขาสักวัน แต่ทุกครั้งที่ย่างกรายเข้าไปใกล้ที่ชุมนุมชนไม่ว่ากลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ เป็นต้องได้ยินเสียงโจษย์ขานถึงมูซาชิดังบ้างกระซิบกระซาบบ้างก็จะลอยมา ถึงจะอุดหูก็ไม่มีประโยชน์ ดูเหมือนว่าแม้แต่เหล้าก็ยังไม่อาจปัดเป่าความหม่นหมองของเจ้าหนุ่มผู้เลือกทางชีวิตที่ต่ำตมผู้นี้
“ลุง ขอสาเกอีกจอกนึง เร็ว ๆ ไม่ต้องอุ่นหรอก เอาเย็น ๆ อย่างนั้นแหละ เทใส่จอกใหญ่มาเลย”
“จะไหวรึพ่อหนุ่ม หน้าซีดเผือดออกอย่างนั้น”
“บ้าหรือเปล่า ข้าเป็นคนหน้าซีดอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่รู้แล้วอย่ามาพูดมาก”
ลุงร้านเหล้าเทสาเกเย็น ๆ ใส่จอกที่เป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมซึ่งแม้แต่แกเองก็ไม่รู้ว่าเป็นจอกที่เท่าไร และพอเอามาวางกึกลงตรงหน้า มาตาฮาจิก็ฉวยขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยง ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนตัวพิงฝา ถึงจะดื่มจนแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่ากี่จอกและอยู่ติดกับเตาผิงที่เปลวไฟลุกโชนอยู่ตรงปลายเท้าขนาดนั้น แต่ฤทธิ์สุราก็ไม่ได้ทำให้หน้าแดงขึ้นมา
เอ้า...สรรเสริญเยินยอกันเข้าไป วันหนึ่งเถอะข้าจะดังให้ดู จะได้รู้กันเสียทีว่าความสำเร็จในชีวิตของคนไม่ได้อยู่ที่ดาบเสมอไป เศรษฐี ขุนนางซามูไร หรือแม้แต่นักเลงยากูซ่าก็สามารถครองความเป็นที่สุดของที่สุดในอาชีพของตัวเองได้ ข้ากับมูซาชิอายุแค่ยี่สิบสอง อายุขนาดนี้น้อยคนนักที่จะมัวมาสร้างชื่อให้เขาเล่าลือกัน แต่อยากเก่ง อยากเป็นอัจฉริยะก็เชิญเลย แต่คอยดูก็แล้วกันพอสามสิบก็แก่หงำเหงอะไม่เป็นท่า เหมือนเณรหน้าแก่เฝ้าวัด คนแบบนี้ก็เป็นได้แค่นั้นแหละ
มาตาฮาจิเงี่ยหูฟังเรื่องที่ไม่อยากฟังและเถียงอย่างหัวชนฝาอยู่ในใจ เจ้าหนุ่มรีบรุดจากโอซากามาเกียวโตทันทีที่ได้ยินข่าวการประลองยุทธ์ทั้งที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไร นอกจากอยากรู้ว่ามูซาชิจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น
ตอนนี้หมอนั่นอาจกำลังผยอง แต่ไม่นานเกินรอจะต้องถูกเอาคืนอย่างหนักหนาสาหัสแน่ เพราะพรรคพวกของโยชิโอกะมีอยู่เป็นสำนัก ทั้งเด็นชิจิโรน้องชายเจ้าของสำนัก และศิษย์เอกทั้งสิบ
มาตาฮาจิรอวันที่มูซาชิจะประสบกับความพ่ายแพ้และสิ้นชื่ออยู่ลึก ๆ ในใจมาตลอด ขณะที่วาดหวังว่าตนเองจะประสบโชคดีเข้าสักวัน
“คอแห้งจัง”
ทุกคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน และเห็นมาตาฮาจิยันตัวลุกขึ้นยืนเกาะฝาคืบไปที่โอ่งน้ำใหญ่ที่มุมห้อง หยิบกระบวยชะโงกตัวลงไปตักน้ำขึ้นมาดื่มอั๊ก ๆ ก่อนโยนกระบวยทิ้งไปทางหนึ่ง แล้วเดินโซซัดโซเซแหวกผ้าบังตาหน้าร้านออกไปข้างนอก
ลุงเจ้าของร้านส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา และพอนึกขึ้นมาได้ก็ร้องเรียกเอาไว้พร้อมกับวิ่งตามออกไป
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งไป เจ้ายังไม่ได้จ่ายค่าเหล้า”
ลูกค้าคนอื่น ๆ ลุกขึ้นมามุงดูเหตุการณ์ คนหนึ่งแหวกผ้าบังตาให้มองกันถนัด ๆ
มาตาฮาจิหยุดชะงักยืนโอนเอนทรงตัวแทบจะไม่ติดอยู่กลางซอย
“อะไร”
“ลืมสนิทเลยใช่ไหม”
“เปล่านี่ ข้าไม่ได้ลืมอะไรสักหน่อย”
“ก็ค่าเหล้าไง พ่อหนุ่มยังไม่ได้จ่ายค่าเหล้าให้ข้าเลย”
“อ๋อ ค่าเหล้า”
“ใช่ ๆ ขอโทษนะ”
“ข้ามีเงินเสียเมื่อไหร่ล่ะ”
“หา ?”
“แย่จัง ไม่มีเงิน เมื่อกี้ยังมีอยู่เลย”
“อ้อ นี่เจ้าตั้งใจมาดื่มแล้วชักดาบ อย่างนั้นรึ”
“หยุด”
มาตาฮาจิสอดมือเข้าไปในอกเสื้อคลำหาอะไรอยู่อึดใจหนึ่งก่อนดึงกลับออกมาพร้อมกับกลักใส่ยาที่มีตราประจำตระกูล เจ้าหนุ่มปาใส่หน้าลุงร้านเหล้าพร้อมกับยืดอกวางมาด
“ข้าก็ซามูไรดาบคู่คนหนึ่ง ยังไม่สิ้นไร้ถึงขนาดดื่มแล้วหนีอย่างที่เจ้าคิด นั่นคงเกินพอสำหรับค่าเหล้าคืนนี้ เอาไปเลยและไม่ต้องทอน”
2
ลุงร้านเหล้าไม่เห็นกลักใส่ยาที่มีตราประจำตระกูลที่มาตาฮาจิปาใส่หน้าอันนั้น เพราะมัวแต่ยกมือปิดหน้าและร้องลั่น ลูกค้าที่แหวกบังตาดูเหตุการณ์และเห็นพฤติกรรมของมาตาฮาจิ ต่างมองหน้ากันและด่าขรม
“ไอ้ชั่ว”
“หนอยดื่มแล้วหนี อย่างนี้เอาไว้ไม่ได้”
“ใช่ ต้องสั่งสอน”
ว่าแล้วก็กรูกันออกมาเต็มซอย แต่ละคนดื่มกันมาได้ที่แล้วทั้งนั้น และตามประสานักดื่มทั่วไปที่ทนไม่ได้เมื่อเห็นนักดื่มไร้จรรยาบรรณประเภทดื่มแล้วชักดาบแบบนี้
“ไอ้คนสันดานชั่ว จ่ายค่าเหล้าเดี๋ยวนี้”
กลุ่มนักดื่มกระจายตัวล้อมมาตาฮาจิเอาไว้
“คนอย่างเอ็งต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎที่เที่ยวดื่มและไม่จ่ายมาตลอดทั้งปีทั้งชาติแน่ ๆ ถ้าไม่มีเงิน ก็ก้มหัวลงให้พวกเราสั่งสอนเสียดี ๆ “
กลุ่มหนุ่มฉกรรจ์ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือที่จะเข้ามารุมลงประชาทัณฑ์เสียให้หนำใจ มาตาฮาจิได้สติยกมือขึ้นกุมดาบพยายามทรงตัวตั้งท่าเตรียมสู้
“อะไรนะ ก้มหัวให้พวกเจ้าสั่งสอนรึ คงจะสนุกดี เข้ามาเลย แต่ขอถามหน่อยเถอะ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร”
“ซามูไรโสโครกมาจากกองขยะ อดหยากยิ่งกว่าขอทาน สันดานชั่วยิ่งกว่าโจรป่า ถูกต้องนะ”
“ปากดีนักนะ”
มาตาฮาจิขมวดคิ้ว ทำตาแข็งกร้าวกวาดมองไปทั่ว
“ได้ยินชื่อข้าแล้ว อย่าตกใจแล้วกัน”
“ไม่มีใครตกใจกับเจ้าหรอก ไอ้ซามูไรกระจอก”
“ข้าคือซาซากิ โคจิโร ศิษย์รุ่นน้องของอิโต อิตโตไซ วิชาดาบสำนักคาเนมากิ เคยได้ยินไหม ข้านี่แหละ โคจิโร”
“อย่าพูดให้หัวเราะได้ไหม เอ็งจะชื่ออะไรก็ช่างหัวเอ็ง แต่จ่ายค่าเหล้ามาก่อน จ่ายมา”
พอคนหนึ่งยื่นมือเข้ามายื้อยุด มาตาฮาจิก็ร้องว่า
“ถ้ากลักใส่ยานั่นไม่พอ ก็เอานี่ไป”
ว่าแล้วก็ชักดาบฟันฉับข้อมือนักดื่มคนนั้นขาดสะบั้น เสียงร้องแหลมสูงและเลือดที่พุ่งกระฉูดกระจายไปทั่ว ทำเอาคนอื่นตื่นตระหนกคิดว่าตนเองก็โดนเข้าด้วย จึงหันหน้าหันหลังหัวชนกันบ้างก้นชนกันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปทางปากซอย
มาตาฮาจิยืนจังก้าถือดาบคมวับ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีราวกับจอมทัพชนะศึกใหญ่ และร้องท้าเสียงขรม
“จะหนีไปไหน เก่งจริงก็กลับมาสิไอ้พวกมดปลวก กลับมาดูฝีมือซาซากิ โคจิโร กันอีกสักหน่อย คราวนี้รับรองไม่มีหัวกลับไปบ้านแน่”
มาตาฮาจิกวัดแกว่งดาบคมขาวเป็นประกายวาบวับอยู่ในความมืดกลางซอย ด้วยความลำพองใจราวกับว่าตนเป็นซาซากิ โคจิโรไปแล้วจริง ๆ คู่อริเผ่นหนีไปไม่เหลือใครสักคน ท้องฟ้ามืดเมื่อย่างเข้ายามราตรี นกกาบินกับรังกันเงียบไปหมดแล้วไม่มีแม้แต่เสียงนกหลงฝูง
เจ้าหนุ่มแหงนหน้าขึ้นหัวเราะเห็นฟันขาว ทั้งที่หน้านิ่วหางตาตกอย่างคนกำลังจะร้องไห้ด้วยความรันทด มือสั่นขณะเก็บดาบใส่ฝักอย่างน่ากลัวว่าจะเฉือนมือตนเอง
มาตาฮาจิเดินระทดระทวยกลับออกไปจากซอยมืด ๆ แห่งนั้น
กลักใส่ยาที่มาตาฮาจิขว้างใส่หน้าลุงร้านเหล้ายังตกอยู่กับพื้นเพราะตาลุงวิ่งหนีเข้าร้านไปแล้ว แม้จะเป็นเพียงกลักใส่ยาที่ไม่มีราคามากนัก แต่ลวดลายฝังเปลือกหอยบนพื้นผิวของเครื่องเขินสะท้อนแสงดาวเป็นประกายวิบวับ ราวกับหิ่งห้อยมารุมชมความงามกันอยู่เป็นฝูง
“เอ๊ะ”
พระธุดงค์ที่ออกมาจากร้านเหล้าทันทีหลังเกิดเหตุพบเจ้าจึงหยิบขึ้นมาดู แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปร้านเหล้าเอากลักใส่ยานั้นไปส่องดูกับแสงไฟ และพินิจพิจารณาลวดลายอย่างละเอียด
“โอ๊ะ นี่มันกลักใส่ยาของท่านคูซานางิ เท็งกิที่ตายอย่างน่าอนาถ บนพื้นที่ก่อสร้างปราสาทฟูชิมิไม่ใช่รึ ใช่จริง ๆ ด้วย ตรงนี้สลักชื่อไว้ว่า เท็งกิ”
พอประจักษ์แก่ใจดังนั้น พระธุดงค์ก็ออกวิ่งตามมาตาฮาจิที่เห็นเป็นเงา ๆ อยู่ตรงหน้าไปทันที
3
“ท่านซาซากิ ท่านซาซากิ”
เสียงใครเรียกใครคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง ชื่อนั้นดูเหมือนจะผ่านหูของมาตาฮาจิไปอย่างนั้น แสดงว่านั่นไม่ใช่ชื่อของเจ้าหนุ่มที่กำลังเมาแอ๋คนนี้
มาตาฮาจิเดินเอื่อย ๆ ราวไม่มีจุดหมายจากคูโจไปจนถึงด้านแม่น้ำโฮริกาวะ พระธุดงค์จึงกวดตามมาทันในไม่ช้าและปราดเข้าไปยึดปลายฝักดาบมาตาฮาจิเอาไว้
“ช้าก่อน ท่านโคจิโร”
มาตาฮาจิชะงัก อุทานคล้ายเสียงสะอึกและหันมามอง
“เรียกข้ารึ”
“ก็ท่านไม่ใช่ซาซากิ โคจิโร หรอกรึ”
พระธุดงค์จ้องมองมาด้วยสายตาที่แฝงแววคมวาว ทำเอามาตาฮาจิแทบส่างเมา
“ใช่ ข้าคือโคจิโร หลวงพี่จะทำไมรึ”
“อาตมาอยากถามอะไรสักหน่อย”
“จะ...จะถามอะไรก็ว่ามา”
“ท่านได้กลักใส่ยาอันนี้มาจากไหน”
“กลักใส่ยา ?”
มาตาฮาจิหายเมา ใบหน้าของนักดาบฝึกหัดที่ถูกกลุ้มรุมทำร้ายจนตายบนพื้นที่ก่อสร้างปราสาทฟูชิมิแวบเข้ามาในความทรงจำทันใด
“ท่านโคจิโร อาตมาอยากรู้ว่าท่านได้กลักใส่ยานี้มาจากไหน ทำไมถึงได้มาอยู่ที่ท่าน”
พระธุดงค์ถามด้วยถ้อยคำค่อนข้างสุภาพ อายุน่าจะอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด และดูจากอากัปกิริยาแล้วไม่น่าใช่พวกพระอนาถาที่เที่ยวพเนจรขอข้าวขอน้ำและที่ซุกหัวนอนไปวัน ๆ ตามวัด
“หลวงพี่คือใคร ทำไมถึงมาซักถามข้าอย่างนี้”
มาตาฮาจิเริ่มมีสติขึ้นมาปกป้องตัวเอง จึงย้อนถาม
“ท่านไม่ต้องสนใจหรอกว่าอาตมาเป็นใคร ขอให้บอกมาอย่างเดียวว่าท่านได้กลักใส่ยาอันนี้มาจากไหน”
“กลักใส่ยาอันนี้เป็นของข้ามาแต่เดิม ไม่ได้ไปเอามาจากไหน”
“อย่ามาโกหก”
พระธุดงค์เปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน
“พูดความจริงออกมาดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่”
“ไม่มีอะไรจะจริงไปกว่านี้แล้ว”
“จะยืนกราน ไม่ยอมสารภาพความจริงแน่ใช่ไหม”
“สารภาพอะไร”
มาตาฮาจิทำเสียงกร้าว วางท่ารับมือเต็มที่
“เจ้าเป็นโคจิโรตัวปลอม”
ยังไม่ทันคาดคำพระธุดงค์ก็หวดไม้ถือกลมยาวราวสองศอกในมือลงไปอย่างแรงเสียงดังแหวกอากาศน่าหวาดเสียว มาตาฮาจิผงะถอยหลังด้วยสัญชาตญาณ แต่ความชาด้วยฤทธิ์สุราที่ยังเหลืออยู่ทำให้หลีกไม่พ้น
“โอ๊ย”
มาตาฮาจิถูกตีหลังแอ่นทรุดลงไปพื้น และความกลัวสุดขีดทำให้ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาได้และวิ่งหนีไปอย่าง ไม่คิดชีวิต ทำเอาพระธุดงค์ตะลึงเพราะผิดคาด ไม่นึกว่าคนเมาจะเคลื่อนไหวได้ฉับไวเช่นนี้
พอตั้งสติได้พระธุดงค์ก็รีบกวดตามทันที และพอได้จังหวะก็พุ่งไม้ถือสุดแรง แหวกอากาศที่ร่างมาตาฮาจิที่วิ่งอยู่ข้างหน้า
มาตาฮาจิหดหัวหลบทัน ไม้แหวกอากาศเฉียดใบหูไปในระยะเผาขน ความตื่นตระหนกเป็นทวีคูณกระตุ้นให้มาตาฮาจิวิ่งหนีตัวลอยราวกับเหาะ
พระธุดงค์เก็บไม้คู่ใจได้ก็ออกวิ่งตามตัวลอยเช่นกัน และพอได้จังหวะก็พุ่งไม้เล็งไปที่เป้าเคลื่อนไหวข้างหน้าอีกครั้ง แต่มาตาฮาจิก็ว่องไวพอที่จะหลบหลีกเอาตัวรอดไปได้ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีปรากฏว่าฤทธิ์สุราหนีหายออกไปตามรูขุมขนจนเกลี้ยงตัวแล้ว
4
มาตาฮาจิกระหายน้ำจนบอกไม่ถูก
จะหยุดหาน้ำดื่มก็ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะวิ่งหนีออกมาไกลแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของพระธุดงค์วิ่งกวดมาอยู่ตลอด จนกระทั่งวิ่งจากโรกุโจใกล้จะถึงโกโจจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง
เจ้าหนุ่มตบอกและบอกตัวเองว่า
โอ๊ย เกือบตายเลยกู คงตามมาไม่ทันแล้วละ
คิดได้ดังนั้นจึงมองซ้ายมองขวาหาบ่อน้ำ มาจนพบบ่อน้ำชุมชนในซอยแคบ ๆ เจ้าหนุ่มรีบกระโจนเข้าใส่กว้านถังน้ำขึ้นมาจากบ่อ ปลดกระบอกน้ำที่ติดตัวมาตักน้ำดื่มด้วยความกระหาย เสร็จแล้ววางกระบอกลงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าตา
พระธุดงค์คนนั้นคือใคร และต้องการอะไร
คำถามนั้นโยงไปยังเหตุการณ์สยดสยองที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาบนพื้นที่ก่อสร้างปราสาทฟูชิมิ ตนปลดห่อสัมภาระติดตัวสามอย่างจากศพของนักดาบฝึกหัดที่ถูกรุมฆ่าอย่างทารุณมาครอง ในนั้นมี เงิน ใบปริญญา และกลักใส่ยาที่มีตราประจำตระกูล เงินนั้นใช้ไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่คือใบปริญญากับกลักใส่ยาอันนั้น
หรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องของนักดาบที่ถูกรุมฆ่าตายคนนั้น ถึงได้ดูสนใจกับกลักใส่ยาอันนั้นนัก
โลกแคบจนมาตาฮาจินึกขยาด และหวาดกลัวขึ้นมาว่าจะถูกต้อนให้ต้องจนมุมเข้าสักวัน ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งรู้สึกว่าพบกับความบังเอิญมากมายเหลือเกิน เหมือนเงาปีศาจที่ตามติดมาไม่ห่าง
ไอ้ไม้เท้าหรือกระบองอะไรนั่นน่ากลัวเป็นที่สุด ถ้าหลบไม่ทันและโดนหัวเข้าจัง ๆ สงสัยไม่รอดแน่ เห็นเป็นพระอย่างนั้น ขืนประมาทเป็นตายลูกเดียว
ความรู้สึกผิดที่ใช้เงินของคนตายจนหมดเกลี้ยงค้างคาอยู่ในใจมาตาฮาจิมาตลอด ทุกครั้งที่สำนึกผิดใบหน้าของนักดาบฝึกหัดที่ถูกฆ่าตายอย่างทารุณท่ามกลางแสงแดดแผดกล้าจะแวบขึ้นมาบนม่านตาให้สะท้านสะเทือนใจ
เจ้าหนุ่มขอโทษผู้ตายทุกครั้งที่นึกถึง ตั้งใจแน่วแน่ว่าหากทำงานหาเงินได้จะเอาไปใช้คืนเป็นอย่างแรก และถ้าประสบความสำเร็จในชีวิตก็จะสร้างสุสานเป็นการทำบุญไปให้
ใช่ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ขืนเก็บติดตัวไว้อย่างนี้ เดี๋ยวก็จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดอะไรขึ้นมาอีก ทางที่ดีทิ้งไปดีกว่า
มาตาฮาจิคิดพลางคลำม้วนใบปริญญาประทับตราสำนักดาบจูโจที่เก็บไว้ในอกเสื้อ ซึ่งทำให้เสื้อตุงน่ารำคาญ แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ลง เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นสมบัติชิ้นเดียวของตนที่ไม่มีเหลือแม้แต่แดงเดียว ถึงจะไม่ทางที่จะทำเงินให้ได้แต่ก็น่าจะเป็นใบเบิกทางให้ได้ลืมตาอ้าปากในสังคมได้บ้าง แม้จะเคยเสียท่าถูกอากาเบะ ยาโซมะ หลอกเอาครั้งหนึ่งแล้วก็ยังไม่เข็ดที่จะฝันต่อ
การเที่ยวเอาชื่อซาซากิ โคจิโรในปริญญาม้วนนั้นไปแอบอ้าง บางครั้งก็สะดวกดี อย่างเวลาไปแสดงตัวตามโรงฝึกดาบนิรนาม หรือพวกชาวเมืองคนซื่อที่อยากเรียนวิชาดาบ ก็ได้รับความเคารพนับถือดีอยู่ มีการจัดข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูและให้ที่พักโดยไม่ต้องออกปากขอ ม้วนใบปริญญาช่วยให้กินดีอยู่ดีมาตลอดช่วงครึ่งเดือนหลังปีใหม่นี้
ทิ้งทำไม...ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร ข้าชักจะปอดลอยขึ้นทุกวันแล้วนะเนี่ย คนขี้เท่อแบบนี้ไม่มีวันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้หรอก ต้องทำใจให้เข้มแข็งไม่แพ้มูซาชิ และครองความเป็นหนึ่งในปฐพีให้ได้
ใจฮึกเหิมพร้อมสู้ขณะที่คืนนี้ยังไม่มีที่ซุกหัวนอน มาตาฮาจิมองบ้านในซอยชุมชนคนยากที่ก่อผนังด้วยโคลนปนต้นหญ้าแม้จะโย้เย้จวนพังแต่อย่างน้อยก็ยังมีหลังคาและประตูให้คนในนั้นนอนหลับอย่างผาสุกแล้ว รู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก


กำลังโหลดความคิดเห็น