การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และสงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้ค่าเงินเยนตกต่ำที่สุดในรอบกว่า 20 ปี แต่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังยืนยันใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เบื้องหลังนโยบายนี้คือหวังสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ ลดการพึ่งพาต่างชาติ
นายคุโรดะ ฮารุฮิโกะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งญี่ปุ่น ยืนยันว่าจะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ดอกเบี้ยต่ำ แม้ว่าค่าเงินเยนจะร่วงไม่หยุด จนเป็นที่สงสัยว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้นโยบายสวนทางโลกเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
ขณะที่รัฐบาลของนายคิชิดะ ฟูมิโอะ ก็ยังไม่ยอมเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างอิสระ ตั้งเงื่อนไขเข้มงวดให้มากับคณะทัวร์และยื่นเอกสารมากมาย ทิ้งโอกาสทองที่จะหารายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงที่ค่าเงินเยนอ่อน
แหล่งข่าวจากสมาพันธ์ธุรกิจแห่งญี่ปุ่น หรือ เคดันเร็น เผยว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นตั้งใจจะปล่อยให้เงินเยนอ่อนค่าลงอีก แต่จะให้ค่อยๆ อ่อนลงอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในต่างแดนย้ายฐานกลับญี่ปุ่น กระตุ้นการลงทุนในประเทศ ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากต่างชาติ
นายโทกุระ มาซากาสุ ประธานเคดันเร็น เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจญี่ปุ่นเผชิญกับเงินเยนที่แข็งค่ามาตลอด ถึงแม้ธุรกิจญี่ปุ่นมีฐานการผลิตในต่างประเทศจะสร้างรายได้ได้อย่างแข็งแกร่ง แต่การลงทุนในประเทศญี่ปุ่นซบเซาอย่างมาก ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุ แรงงานขาดแคลน ทำให้การสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ในญี่ปุ่นไม่ประสบความสำเร็จ
ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างชาติอย่างมาก ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานจนต้องระงับการผลิต สินค้าขาดแคลนทั้งเซมิคอนดักเตอร์ อะไหล่รถยนต์ จนถึงอาหารหลายอย่าง ยิ่งเมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าในญี่ปุ่นแพงขึ้นไม่หยุด สร้างภาระกับประชาชนอย่างมาก
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลเทโคคุ ระบุว่า จนถึงเดือนมิถุนายน สินค้ากลุ่มอาหารในญี่ปุ่นมากกว่า 8,300 รายการขึ้นราคาในสัดส่วนเฉลี่ย 20% สินค้าบางอย่างแพงขึ้นถึง 40% และหากรวมกับราคาพลังงานที่สูงขึ้นด้วยแล้ว ครอบครัวชาวญี่ปุ่นต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 60,000 เยนในปีนี้
ในการประชุมประจำปีเมื่อเดือนมิถุนายนของเคดันเร็น ได้ระดมบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น และประกาศเป้าหมายทางเศรษฐกิจสำคัญ 2 อย่าง คือ การสร้างธุรกิจระหว่างเพื่อให้สอดคล้องกับ “กฎหมายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” และการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมเพื่อคนรุ่นหลัง
รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังผลักดัน “กฎหมายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ให้รัฐสภารับรอง กฎหมายนี้มุ่งสร้างระบบเศรษฐกิจในประเทศและห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และปกป้องธุรกิจที่มีความสำคัญต่อความมั่นคง
เคดันเร็นระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะต้องเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมได้แต่งตั้งกรรมการใหม่ 3 คนเพื่อผลักดันธุรกิจ 3 สาขาคือ ธุรกิจสร้างสรรค์ ธุรกิจชีวภาพ และธุรกิจโทรคมนาคม
ธุรกิจสร้างสรรค์ คือการส่งเสริม “อำนาจละมุน” ของญี่ปุ่น เช่น อนิเมะและเกม รวมถึงเทคโนโลยี Web 3.0, เมตาเวอร์ส และสินทรัพย์ดิจิทัล
ธุรกิจชีวภาพ คือการใช้เทคโนโลยีชีวภาพมาตอบสนองต่อการแพทย์ อาหาร และสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจโทรคมนาคม คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจต่าง ๆ ผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เศรษฐกิจดิจิทัล และนวัตกรรมใหม่
การผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจำเป็นต้องสร้างฐานในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างชาติ โดยคาดว่าจนถึงปี 2050 ญี่ปุ่นจะต้องระดมทรัพยากรมากกว่า 4 ล้านล้านเยน และนี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่ธุรกิจญี่ปุ่นจะ “กลับบ้านเกิด”.