xs
xsm
sm
md
lg

สงครามรัสเซีย-ยูเครนฉุดดัชนีเชื่อมั่นฯพ.ค.ต่ำสุดในรอบ7เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส.อ.ท.กางผลสำรวจดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯพ.ค.ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 84.3 และนับเป็นค่าดัชนีฯที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ หวั่นราคาน้ำมันตลาดโลก ราคาสินค้าพุ่งต่อเนื่อง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 84.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 86.2 ในเดือนเมษายน ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันและเป็นค่าดัชนีฯที่ลดต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 64 โดยองค์ประกอบดัชนีฯ ปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ ได้แก่ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลกระกอบการ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ได้แก่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกรวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาวัตถุดิบต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อ

ผู้ประกอบการภาคการผลิตโดยเฉพาะ SMEs ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังฟื้นตัวช้าจากปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง สะท้อนจากดัชนีฯคำสั่งซื้อและยอดขายที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากผลกระทบความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งการปิดเมืองของจีนส่งผลให้เกิดปัญหา Supply shortage โดยเฉพาะการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เพื่อใช้ผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ภายหลังการระบาดของสายพันธุ์ Omicron ลดลงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายเปิดประเทศและการยกเลิกระบบ Test & Go ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,323 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 85.5 สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 65.7 และเศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 59.0 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวล ลดลง ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 55.5 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 36.4สถานการณ์การเมืองในประเทศ ร้อยละ 35.1 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 33.2 ตามลำดับ

สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 96.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 95.9 ในเดือนเมษายน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ การปลดล็อกมาตรการควบคุมโควิด-19 รวมถึงการที่ภาครัฐจะพิจารณาให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังมีความไม่แน่นอนอาจเป็นปัจจัยที่บั่นทอนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
1) เสนอให้ภาครัฐช่วยเจรจาหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ที่มีศักยภาพมาทดแทน โดยเฉพาะ ปุ๋ย อาหารสัตว์ สารเคมี เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศและเพื่อความมั่นคงระยะยาว
2) ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เช่น เงินอุดหนุนรักษาการจ้างงาน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
3) เสนอภาครัฐเปิดการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ และออกมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปี 2565
4) ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
กำลังโหลดความคิดเห็น