xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม รอยเกรียงบนถ้วยชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
มูซาชินั่งมองถ้วยชาตรงหน้าพลางนึกถึงเซกิชูไซ จอมดาบแห่งหุบเขายากิว
สิ่งหนึ่งขาวบางหวิวแวบผ่านเข้ามาในห้วงคิด เจ้าหนุ่มนักดาบหยุดเอาไว้ทันทีและเพ่งพิศ
ดอกโบตั๋นสีขาวก้านหนึ่งที่เซกิชูไซวานให้ใครคนหนึ่งนำส่งมาถึงตนที่โรงเตี๊ยมวันหนึ่งนานมาแล้วนั่นเอง
ใจของเจ้าหนุ่มนักดาบไม่ได้เคลิ้มไปกับโบตั๋นสีขาวแย้มกลีบบางซ้อนสลับสวยสดหอมอ่อน ๆ ชวนเชยชมให้ชื่นใจ แต่นึกไปถึงความตื่นระทึกเมื่อได้เห็นรอยดาบที่ตัดก้านดอกไม้
ภาพในความทรงจำครั้งนั้นทับซ้อนกับอะไรบางอย่างบนถ้วยชา กระทบใจมูซาชิรุนแรงจนแทบจะร้องครางออกมาดัง ๆ
เจ้าหนุ่มนักดาบยื่นมือไปประคับประคองถ้วยชามาวางดูใกล้ ๆ บนตัก
ดวงตากลมโตเป็นประกายร้อนแรงราวไฟลุกโชนราวกับเป็นคนละคนจับจ้องไปที่ก้นถ้วยและรอยเกรียง
ความคมของรอยที่ช่างปั้นตวัดเกรียงตัดลงไปบนผิวดิน กับรอยตัดที่ก้านดอกโบตั๋น...อืม ไม่ใช่ฝีมือของคนธรรมดา
มูซาชิบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้ตื้นตันขึ้นมาจนคับอกเช่นนี้
บอกให้ก็ได้ว่า เป็นเพราะความรู้สึกที่มีต่อพลังอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในฝีมือช่างปั้นระดับปรมาจารย์นั้นอัดอั้นอยู่เต็มอกด้วยไม่อาจสรรหาถ้อยคำพรรณนาออกมาได้ จึงจะเห็นได้ว่ามูซาชิมีความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นนี้เกินกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่านัก
อยากรู้เหลือเกินว่าใครคือผู้สร้างถ้วยชาที่จับแล้ววางไม่ลงใบนี้ขึ้นมา
เจ้าหนุ่มอดใจไว้ไม่ไหวจึงเอ่ยถาม
“ท่านโคเอ็ตสึขอรับ ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าอยู่แต่ในป่าในดอยไม่ประสีประสากับพิธีชงชา ยิ่งเรื่องถ้วยชาด้วยแล้วตาไม่ถึงเอาเลย แต่ถ้วยชานี้ดูล้ำค่าน่าจะเป็นฝีมือของบรมครู”
“ทำไมรึ”
น้ำเสียงของโคเอ็ตสึอ่อนโยนเช่นเดียวกับสีหน้า ริมฝีปากค่อนข้างหนาของหนุ่มใหญ่ผู้นี้ยิ้มได้อ่อนหวานราวสตรีในบางอิริยาบท ตาเรียวยาวเป็นรูปปลาเฉียงลงเล็กน้อย ใบหน้าที่ดูเป็นผู้ดีมีตระกูลจะย่นนิด ๆ ยามนิ่งคิด
“ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่พิศดูแล้วรู้สึกอย่างนั้น”
“บอกสิว่า เห็นแล้วรู้สึกอะไรตรงไหน”
“คือ...”
เจ้าหนุ่มคิดเรียบเรียงคำพูด แต่ก็ไม่ได้ที่เหมาะใจ
“ไม่รู้จะพูดให้หมดได้ยังไง คือ รอยเกรียงที่ตวัดตัดดินตรงนี้...”
“หือ...”
โคเอ็ตสึครางคล้ายไม่เชื่อหู เขาเป็นคนมีหัวทางศิลปะคนหนึ่งและไม่คิดว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่าเขาอย่างมูซาชิจะเข้าใจศิลปะ คำพูดไม่กี่คำนั้นมีความหมายอย่างที่ไม่อาจฟังและปล่อยให้ผ่านหูไปได้ หนุ่มใหญ่เม้มปากคิดหาคำพูดก่อนถามว่า
“มูซาชิ ท่านคิดอย่างไรกับรอยเกรียงนั่น”
“คมเฉียบ”
“เท่านั้นรึ”
“ไม่ใช่เท่านั้นแต่มีอะไรที่ล้ำลึกมาก คิดว่าคนทำจะต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างน่าเกรงขาม”
“แล้วยังไงอีก”
“ถ้าพูดในเชิงดาบ ก็ต้องบอกว่าคมกริบราวกับดาบจากแคว้นซางามิ ฟันเท่าไร ๆ ก็ยังคงความคม ทั้งยังอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์ แม้ได้จับเพียงครั้งเดียวก็ติดใจไม่รู้ลืม ถ้วยชาใบนี้แม้รูปทรงจะเรียบง่ายมากแต่ก็แฝงไว้ด้วยสง่าราศี มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าคนนายคนที่มองลงมาเหมือนเราไม่ใช่คน”
“ขนาดนั้นเชียวรึ”
“ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าคนปั้นถ้วยใบนี้ไม่ธรรมดา แต่เป็นใครสักคนที่มีความล้ำลึกสุดจะหยั่งถึง ซึ่งต้องเป็นช่างปั้นถ้วยชามผู้ชื่อเสียงขั้นบรมครูแน่นอน ช่วยบอกข้าได้ไหมว่าศิลปินเครื่องเคลือบดินเผาที่ทำถ้วยชาใบนี้ขึ้นมาคือใคร”
พอมูซาชิพูดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากหนาราว ๆ ริบขอบจอกสาเกของโคเอ็ตสึก็แย้มยิ้ม ก่อนระเบิดหัวเราะออกมาดัง ๆ
“ฉันเอง ฮะ ฮะ ฮะ...โคเอ็ตสึคนนี้เองที่ปั้นดินเล่น ๆ แล้วก็เอาไปเผาออกมาเป็นถ้วยใบนี้”
2
โคเอ็ตสึเป็นคนมีลูกเล่นแพรวพราวคนหนึ่ง
หลอกให้มูซาชิพรรณนาคำชมถ้อยชาเป็นวรรคเป็นเวรก่อนจะเปิดตัวว่าที่จริงแล้วเป็นผลงานของตนเอง การแกล้งคนซื่อที่ไม่รู้ตัวว่าถูกแกล้งหรือเย้ยหยันนั้นรู้สึกว่าจะบาปหนักอยู่สักหน่อย แต่โคเอ็ตสึคิดว่าตนอายุสี่สิบแปดส่วนมูซาชิยี่สิบสอง แม้เจ้าหนุ่มจะรู้ตัวก็คงไม่อาจหาเรื่องวิวาทด้วย
มูซาชิรับรู้โดยไม่ได้คิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นการแกล้งทดสอบ
ท่านโคเอ็ตสึถึงขนาดปั้นถ้วยชามเองเลยหรือ ไม่นึกเลยว่าถ้วยใบนี้จะเป็นฝีมือของท่าน
เจ้าหนุ่มนักดาบทึ่งในความเป็นคนมีฝีมือทางศิลปะหลายแนวหลายสาขาของโคเอ็ตสึอยู่ในใจ โดยเฉพาะศิลปะเครื่องเคลือบดินเผาที่ตนเห็นผลงานอยู่กับตา การซ่อนความลึกล้ำของใจมนุษย์เอาไว้ในถ้วยชารูปแบบเรียบง่ายเช่นนี้ไม่ใช่ฝีมือแต่ต้องเรียกว่าอัจฉริยะ นับเป็นบุญตาที่ได้ชม
ด้วยความเป็นนักดาบมูซาชิหยั่งรู้ความลึกของคู่ต่อสู้ด้วยดาบคู่มือ แต่สำหรับโคเอ็ตสึ เจ้าหนุ่มต้องยอมสยบให้ด้วยความเคารพจากใจ เพราะดาบคู่มือไม่ยาวพอที่จะใช้เป็นไม้บรรทัดวัดความลึกของชายผู้นี้ได้
มูซาชิอ่อนลงเมื่อต้องก้มหัวเคารพความเป็นอัจฉริยะของโคเอ็ตสึ สำนึกขึ้นมาอีกครั้งว่าตนยังเป็นเจ้าหนุ่มคนอ่อนหัดด้อยประสบการณ์ ทำได้อย่างเดียวเมื่อมาอยู่หน้าผู้ใหญ่ผู้รอบรู้คือหดหัวด้วยความอับอาย
“ดูเหมือนท่านจะสนใจพวกเครื่องปั้นดินเผาอยู่เหมือนกันนะ ตาแหลมไม่ใช่เล่น”
พอโคเอ็ตสึเอ่ยขึ้นเช่นนั้น มูซาชิก็ออกตัวว่า
“ไม่หรอกขอรับ เรื่องถ้วยชามข้าตาไม่ถึงหรอก แค่เดา ๆ ไปตามประสา ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านไม่พอใจ”
“ก็ใช่ เพราะเรื่องเครื่องปั้นดินเผาต้องเรียนรู้กันนาน แค่ปั้นถ้วยชาดี ๆ สักใบอาจต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิต แต่ฉันมองว่าท่านเป็นคนที่เข้าถึงและมองศิลปะด้วยสายตาที่แหลมคม คิดว่าคงเป็นธรรมชาติของคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับดาบ เพราะตาย่อมถูกลับให้เฉียบคมตามไปด้วย”
มองแล้วโคเอ็ตสึคงจะนิยมชมชอบความเป็นคนจริงของมูซาชิอยู่ในใจ แต่เป็นธรรมดาของผู้ใหญ่ที่มักจะไม่ชมเด็กออกมาตรง ๆ
มูซาชิเพลิดเพลินอยู่จนลืมเวลา ระหว่างนั้น แม่ชีชราเมียวโชต้มข้าวต้มใส่ผักหญ้าที่บ่าวไปมาเพิ่มให้ ตักแบ่งใส่จานเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของโคเอ็ตสึเช่นกัน เปิดกระปุกเหล้า และงานเลี้ยงกลางทุ่งร้างก็เริ่มขึ้น
สำหรับมูซาชิ อาหารสำหรับพิธีชงชาแต่ละอย่างรสอ่อนเกินไปและไม่อร่อย ร่างกายกำยำของเจ้าหนุ่มต้องการอะไรที่เข้มข้นมีเนื้อมีมัน แต่ก็ก้มหน้าก้มตากินผักและหัวไชเท้าต้มจืด ๆ อย่างว่าง่าย ใจคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากเรียนรู้จากทั้งโคเอ็ตสึและแม่ชีชราเมียวโช
แต่พอคิดขึ้นมาว่า นักดาบสำนักโยชิโอกะจะต้องยกพวกมาแก้แค้นแทนเจ้าสำนักไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ และไม่แน่นัก อาจจะมาอยู่แถว ๆ นี้แล้วก็ได้ เจ้าหนุ่มนักดาบก็อยู่ไม่สุข เดี๋ยว ๆ ก็มองไปทางโน้นทีทางนี้ทีรอบทุ่งร้าง
“ขอบคุณท่านทั้งสองมากที่กรุณาเลี้ยงน้ำชาและอาหาร ข้าไม่มีธุระรีบร้อนที่ไหน แต่ก็ต้องขอลาเพราะเกรงว่าพรรคพวกของคู่ประลองยุทธ์จะตามมา และทำความเดือดร้อนให้ท่าน ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้พบท่านในวันนี้ และคิดว่าข้าจะมีโชคดีได้พบกับท่านอีก”
แม่ชีชราลุกขึ้นยืนส่งมูซาชิ
“ผ่านไปแถว ๆ ฮนอามะละก็ แวะมาที่บ้านนะพ่อหนุ่ม”
ส่วนโคเอ็ตสึร้องบอกมาว่า
“ท่านมูซาชิ หาเวลามาที่บ้านเรานะ จะได้คุยอะไร ๆ กันอีก”
“ขอบพระคุณขอรับ”
มูซาชิกวาดตามองไปทั่วทุ่งไม่เห็นแม้แต่เงาพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะที่หวั่นใจนักว่าจะตามมา จึงเหลียวกลับไปมองสองแม่ลูกที่กำลังเพลินอยู่กับงานเลี้ยงบนผ้าปูกลางทุ่งและคิดคำนึง
หนทางเส้นเดียวที่ตนเดินอยู่นั้นทั้งแคบ ขรุขระและเก็บไปด้วยขวากหนาม คนละโลกกับของโคเอ็ตสึที่ทั้งกว้างขวางสว่างไสวทั้งผินดินและผืนฟ้า
มูซาชิก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มไปทางชายทุ่ง
3
“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่า ลูกชายเจ้าสำนักโยชิโอกะจะต้องเจอเข้าอย่างนี้สักวัน สะใจจริงเชียว เอ้า ดื่ม...จอกนี้ข้าดื่มให้ใครก็ได้ แค่อยากบอกว่าสะใจเท่านั้นละ”
ร้านเหล้าสุดซอยอูชิไกกำลังครึกครื้น กลิ่นควันฟืนและอาหารที่ต้มเคี่ยวอยู่บนเตาอบอวลอยู่ในห้องครัวโชยออกมาจนถึงตัวร้านที่พื้นเป็นดินอัด ภายในร้านมืดสลัวแต่ทุกครั้งที่มีใครแหวกม่านบังตาเข้ามา ถ้าใครมองออกไปก็จะเห็นท้องฟ้ายามแดงฉานราวเกิดไฟไหม้อยู่ไกล ๆ บ้านเรือนและถนนซอยพลอยแดงไปด้วย ฝูงนกบินผ่านเจดีวัดโทจิเป็นจุด ดำ ๆ อยู่ลิบ ๆ เหมือนลูกไฟที่มอดแล้ว
“ดื่ม ๆ “
พ่อค้าสามสี่คนนั่งล้อมวงดื่มกัน พระธุดงค์นั่งฉันข้าวเงียบ ๆ อยู่รูปเดียว ส่วนกรรมกรกลุ่มหนึ่งนั่งปั่นแปะหาเงินกินเหล้ากันครึกครื้น เท่านั้นก็เต็มห้องดินแคบ ๆ
“ลุง มืดแล้ว มองจอกสาเกไม่เห็น เมื่อกี้เกือบจะกรอกเข้าจมูกแล้วนา”
ใครคนหนึ่งร้องอุทธรณ์
“เดี๋ยว ๆ”
ลุงเจ้าของร้านวิ่งงก ๆ ไปที่เตาผิงที่มุมห้อง เดี๋ยวเดียวเปลวไฟก็ลุกโพลง และยิ่งข้างนอกมืดลงแสงไฟในร้านก็ยิ่งสว่างแดง
“คิดขึ้นมาทีไรเจ็บใจทุกที ก็เงินที่พวกนั้นยืมไปเป็นค่าฟืนค่าปลามาตั้งปีที่แล้วน่ะซี บอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโรงฝึกดาบ แต่ไม่เคยใช้คืนสักเบี้ยเดียวเหรียญเดียว ข้ายังแค้นไม่หาย เมื่อวันสิ้นปีพวกเราพากันไปทวงเงิน เราอุตส่าห์พูดจาดี ๆ อ่อนน้อมถ่อมตน แต่เจ้าพวกศิษย์สำนักแต่ละคนวางก้ามใหญ่โตโอหัง พูดอย่างนั้นอย่างนี้เข้าข้างตัวเอง สุดท้ายก็เอากำลังเข้าขู่ จับพวกเราโยนออกมา พวกเราเป็นเจ้าหนี้นะ...เจ้าหนี้”
“เอาน่า อย่าโมโหโทโสไปเลย พวกนั้นหมดสิ้นลายกันหมดแล้วตั้งแต่เจ้าสำนักปีกหักมาจากทุ่งเร็นไดจิ คงต้องร้องไห้กันระงมละทีนี้”
“เปล่านะ ที่ข้าโวยนี่ไม่ใช่โกรธ แต่ดีใจจนแทบจะทนไม่ไหวต่างหาก”
“แต่ ฟังจากที่เขาลือกันแล้ว รู้สึกว่าโยชิโอกะ เซจูโรจะแพ้อย่างสายฟ่าแลบแบบไม่ทันได้ฟันสักดาบเดียวเลยนะ”
“ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเซจูโรไร้ฝีมือนะ นักดาบที่ชื่อมูซาชิต่างหากที่แกร่งเกินคน”
“สุดยอด ใครจะคิดว่าหมอนั่นพิชิตเซจูโรได้ด้วยดาบเดียว ทั้งยังเป็นดาบไม้ด้วย ได้ยินว่าเซจูโรเสียแขนไปข้างหนึ่ง ไม่รู้ว่าข้างซ้ายหรือข้างขวาเหมือนกัน”
“ท่านไปดูมารึ”
“เปล่า คนที่ไปดูมาเล่าให้ฟัง เรื่องมันก็เป็นอย่างที่บอกนั่นแหละ พวกศิษย์สำนักดาบเอาประตูบ้านชาวบ้านแถวนั้นมาทำเป็นแคร่หามเซจูโรกลับสำนัก ไม่ถึงกับตายแต่ก็เสียแขน เป็นคนพิการไปตลอดชีวิต”
“น่าเวทนา แล้วจะเป็นยังไงกันต่อไป”
“พวกลูกศิษย์สำนักดาบ คงต้องเอาเลือดมูซาชิมาล้างอายให้ได้ไม่เช่นนั้นสำนักดาบโยชิโอกะก็คงต้องสิ้นชื่อกันคราวนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ในเมื่อศัตรูเป็นคนที่แม้แต่ดาบของเซจูโรก็ยังไม่อาจสะกิดผิว แล้วใครเล่าจ้เผยอตัวขึ้นไปรณรงค์เพื่อเอาชนะเจ้าหนุ่มนักดาบคนนี้ได้ และตอนนี้ก็เห็นกันว่าไม่มีใครนอกจากเด็นชิจิโร ผู้เป็นน้องชาย ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ศิษย์โยชิโอกะกำลังเที่ยวหาตัวน้องชายเจ้าสำนักกันให้ควั่ก”
“เด็นชิจิโรนี่ เป็นน้องชายของเซจูโรรึ”
“ใช่ ลือกันว่าฝีมือดาบดีเด่นกว่าพี่ชาย แต่ก็ทำตัวเป็นเด็กเหลือขอของครอบครัว จะโผล่หน้ามาที่โรงฝึกดาบก็เฉพาะตอนอยากได้ตังค่าขนม ปกติก็เอาชื่อเค็มโปผู้พ่อไปอ้างเวลาเที่ยวดื่มกินไปเรื่อย ไม่เอาไหนจริง ๆ”
“ทั้งพี่ทั้งน้องเลย ทำไมเลือดเนื้อเชื้อของท่านเค็มโปผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธจักรถึงได้เป็นอย่างนี้กันไปหมดนะ ไม่เข้าใจ”
“นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ไงว่า เลือดเนื้อเชื้อไขอย่างเดียวนั้นไม่อาจสร้างคนดี ๆ ขึ้นมาได้”
เปลวไฟในเตาผิงเริ่มอ่อนแสงลง ชายคนหนึ่งนั่งพิงฝาหลับอยู่ข้าง ๆ นั้นมาได้ครู่ใหญ่แล้ว
ท่าทางจะดื่มเข้าไปหนักอยู่ ลุงเจ้าของร้านไม่อยากรบกวน แต่ทุกครั้งที่เข้าไปเติมฟืนขี้เถ้าจะฟุ้งขึ้นมาเกาะเส้นผมและเนื้อตัว คราวนี้แกอดรนทนไม่ได้จึงเอื้อมมือไปปลุก
“ท่านลูกค้า เถิบไปหน่อยดีไหม ลูกไฟกระเด็นมาถูกแขนเสื้อแล้วเนี่ย เดี๋ยวเกิดไฟไหม้จะยุ่งกันใหญ่นะ”
เมื่อถูกปลุก ชายผู้นั้นจึงค่อย ๆ หรี่ตาแดงก่ำไปด้วยพิษสุราและความร้อนจากเปลวไฟขึ้นอย่างลำบาก
“เออ เออ รู้แล้ว รู้แล้ว อย่ามายุ่งได้ไหม”
อยากตะคอกแต่ก็ได้แต่อ้อแอ้ และคออ่อนง่อกเง่ก ไม่รู้ว่าดื่มด้วยความคับแค้นใจหรืออะไร
ลองชะโงกไปมองหน้าที่ขาวซีดของชายขี้เมาคนนี้ก็จะรู้ว่าชายผู้นี้คือ
...มาตาฮาจิ แห่งตระกูลฮนอิเด็น


กำลังโหลดความคิดเห็น