xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอนพิธีชงชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
ระหว่างพูดคุยกันมูซาชิรู้สึกอบอุ่นและเพลิดเพลินยิ่งนัก น้ำใจของสองแม่ลูกช่วยประโลมจิตใจที่แข็งกระด้างด้วยคาวเลือดให้อ่อนลงจนเกือบจะเป็นปกติ
คุยกันไปได้ไม่นานแม่ชีชราเมียวโชก็เงียบไปและนั่งนิ่งมองหม้อต้มน้ำคล้ายทำสมาธิ ส่วนโคเอ็ตสึหันหลังให้และหยิบพู่กันขึ้นมาวาดรูปที่ค้างไว้ มูซาชิรู้จะพูดกับใครและไม่รู้จะหาความสนุกเพลิดเพลินจากอะไรได้ จึงนั่ง เบื่อ ๆ เหงา ๆ อยู่คนเดียว
สนุกตรงไหน...ชวนกันมานั่งจิบน้ำชากลางทุ่งร้างทั้งที่เพิ่งย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ไม่เข้าใจ
เจ้าหนุ่มนักดาบอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับวิถีชีวิตของแม่ชีชรากับบุตรชาย
ถ้าคิดจะมาเก็บผักหญ้าต้นฤดูกันให้สำราญบานใจ ก็น่าจะรอให้อากาศอบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่ง และผู้คนแต่งกายสวยงามออกมาเดินไปมา และถ้าอยากจัดพิธีชงชาเพื่อความสงบนิ่งของจิตใจ ก็ไม่เห็นต้องขนหม้อต้มน้ำ ถ้วยชา และอะไร ๆ ออกมาปูผ้าชงกันกลางทุ่งร้างลำบาก บ้านของคนตระกูลเก่าที่มีประวัติความเป็นมารุ่งเรืองเช่นนี้ ที่บ้านจะต้องมีเรือนหรือห้องชงชาแน่อยู่แล้ว
หรือว่าจะมาวาดรูป
เจ้าหนุ่มนักดาบคิดพลางเอี้ยวตัวไปมองเส้นสายพู่กันของโคเอ็ตสึ ก็เห็นแต่ภาพสายน้ำเช่นเดียวกับบนกระดาษหลายแผ่นที่เกลื่อนอยู่รอบ ๆ
อะไรกัน คิดจะวาดแค่นี้เองรึ
ลำธารเล็ก ๆ ไหลคดเคี้ยวผ่านทุ่งหญ้ารกร่างห่างออกไปไม่มากนัก โคเอ็ตสึตั้งใจวาดเส้นสายของแนวธารน้ำโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ภาพสายน้ำที่จับตาจับใจนั้นเมื่อถ่ายทอดลงบนกระดาษด้วยพู่กันและน้ำหมึก กลับดูเลื่อนลอยจับภาพไม่ได้ ไม่ว่าจะวาดแล้ววาดอีกเสียกระดาษไปไม่รู้กี่แผ่น แต่โคเอ็ตสึก็ยังลากพู่กันเป็นเส้นสายที่ดูแล้วเหมือน ๆ กันนั้นอย่างไม่เบื่อหน่าย จนกว่าจะได้ภาพสายน้ำที่สัมผัสความเป็นน้ำที่จับตาจับใจ
อืม เพิ่งรู้ว่าภาพนี่ไม่ใช่ว่าจะวาดได้ง่าย ๆ
การวาดภาพของโคเอ็ตสึจูงใจให้มูซาชิก็เฝ้าชมอย่างไม่รู้เบื่อ
ยามเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในระยะปลายดาบจรดปลายดาบ ดาบจะฟาดฟันลงไปในพริบตาที่เราอยู่เหนือความเป็นตัวตน ในพริบตาที่รู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติไม่ใช่สิ...น่าจะเป็นพริบตาเดียวที่ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ความรู้สึกต่างหาก ท่านโคเอ็ตสึยังมองน้ำเป็นศัตรูอยู่จึงยังวาดไม่ได้สักที น่าจะลองทำตัวเป็นน้ำดู บางทีอาจสำเร็จ
ความคิดของมูซาชิไม่เคยละห่างจากวิถีแห่งดาบไม่ว่าเป้าสายตาจะเป็นอะไร
เจ้าหนุ่มนักดาบเริ่มเข้าใจภาพวาดขึ้นมาลาง ๆ จากการคิดในแนววิถีแห่งดาบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมแม่ชีชราเมียวโชกับโคเอ็ตสึบุตรชายของนางจึงดูมีความสุขยิ่งนัก สองแม่ลูกนั่งหันหลังให้กันทั้งวัน แต่ไม่ว่าจะมองไปที่ฝ่ายไหนก็เห็นเพลิดเพลินเจริญใจไม่มีใครทำท่าว่าเบื่อ
มูซาชิอดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็สรุปเอาดื้อ ๆ ว่า
สงสัยจะว่างมาก
เพิ่งรู้ว่าขณะที่ชาวเมืองต้องใช้ชีวิตกันอย่างปากกัดตีนถีบ ยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่มีเวลาว่างเหลือเฟือให้วาดรูปเล่นบ้าง ชงชาดื่มกันเป็นพิธีรีตองบ้าง คงจะเป็นพวกอภิสิทธิ์ชนชั้นสูง สุขสำราญอยู่บนกองเงินกองทองที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ คนละโลกกับเราโดยแท้
เพิ่งจะหายเบื่อเมื่อมีภาพวาดจูงใจให้เฝ้าชม แต่ไม่นานก็เมื่อยตามประสาหนุ่มนักดาบที่ต้องไหวตัวอยู่ตลอด เวลา นั่งที่ไหนไม่ได้นาน
“ขออภัยที่มารบกวนนะขอรับ”
มูซาชิกล่าวคำอำลาพลางฉวยรองเท้าแตะฟางที่ถอดทิ้งไว้มาสวม ทำท่าเหมือนคนแวะมานั่งพักฆ่าเวลา ครั้นพอหายเหนื่อยแล้วก็จะไป
“อ้าว จะไปละรึพ่อหนุ่ม”
แม่ชีชราทำหน้าฉงน โคเอ็ตสึเหลียวช้า ๆ มามอง
“แม่อุตส่าห์จะชงชาให้ดื่มกัน กำลังตั้งอกตั้งใจคอยให้น้ำเดือดอยู่นี่ จะรีบร้อนไปไหนกัน เมื่อกี้ได้ยินท่านคุยกับแม่ ก็เลยรู้ว่าเพิ่งจะเสร็จจากการประลองฝีมือกับทายาทเจ้าสำนักโยชิโอกะ ที่ทุ่งเร็นไดจิเมื่อเช้านี้ หลังการต่อสู้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ดื่มน้ำชาสักอึกหนึ่ง ผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนักจากแคว้นซางะและท่านอิเอยาสึเองก็ยังพูดเช่นนั้น ชาช่วยบำรุงรักษาใจ ไม่มีอะไรจะดีต่อใจเท่าชาอีกแล้ว เราคิดว่าชาของแม่จะช่วยให้เกิดความสงบขึ้นในใจที่ลุกเป็นไฟจากการสู้รบ นั่งลงคุยกันดีกว่าเราจะได้ฟังเรื่องราวการประลองยุทธ์ของท่านด้วย”
2
มูซาชิเพิ่งรู้ว่าโคเอ็ตสึได้ยินเรื่องการประลองยุทธ์ระหว่างตนกับโยชิโอกะ เซจูโร เมื่อเช้านี้ด้วย
แต่มาคิดดูอีกทีก็ไม่น่าแปลก เพราะแม้ท้องทุ่งนี้จะไกลออกมาพอดูจากทุ่งเร็นไดจิซึ่งเป็นสนามประลองยุทธ์แต่ก็เป็นทุ่งร้างผืนเดียวกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าโคเอ็ตสึสงบนิ่งอยู่ได้อย่างไรทั้งที่ผู้คนมาส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรกันทั่วทุ่งขนาดนั้น
มูซาชิมองสองแม่ลูกอีกครั้งก่อนขยับท่านั่งพร้อมกับบอกว่า
“ขอบคุณท่านมาก และยินดีรับคำเชิญขอรับ”
โคเอ็ตสึท่าทางดีใจและออกตัวว่า
“ถึงจะเป็นพิธีชาที่ไม่เพียบพร้อมพอสำหรับรับแขก แต่เราก็เต็มใจนะพ่อหนุ่ม
ว่าแล้วก็ปิดฝากล่องหมึกวางทับกระดาษวาดเขียนไว้ไม่ให้ปลิว
กล่องหมึกเคลื่อนไหวเมื่อโคเอ็ตสึหยิบขึ้นมา สะท้อนแสงวิบวับเหมือนแสงหิ่งห้อยราวกับว่าพื้นผิวฝังมุกหรืออัญมณีและฉาบไว้ด้วยทองหรือเงินดูล้ำค่า มูซาชิโน้มตัวเข้าไปดูใกล้ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พอโคเอ็ตสึวางกล่องนั้นลงทับกระดาษบนผ้าปูนั่งเจ้าหนุ่มนักดาบจึงรู้ว่า กล่องหมึกไม่ได้ประดับด้วยอัญมณีหรือหรือเปลือกหอยมุกและไม่ได้ฉาบไว้ด้วยวิ่งมีค่าอย่างทองหรือเงิน และแสงวิบวับนั้นเกิดจากลวดลายปราสาทโมโมยามะที่ลงรักปิดทองคำเปลวอันวิจิตรและย่อส่วนให้พอกับขนาดพื้นผิวของกล่องหมึกต่างหาก ร่องรอยที่บ่งบอกว่าได้ผ่านมือผู้ใช้มาหลายชั่วอายุคนเป็นพันปี ยิ่งช่วยเสริมความงามให้ล้ำค่าเกินกว่าอัญมณีหรือสิ่งมีค่าใด ๆ
มูซาชินิ่งมองอยู่อย่างไม่รู้เบื่อ ดื่มด่ำกับความงามอันเหนือกว่าท้องฟ้าและธรรมชาติทั่วทิศ ของกล่องหมึกเล็ก ๆ อันเป็นศิลปหัตถกรรมชิ้นนี้ ด้วยความรู้สึกสงบสุข
“ท่านชอบรึ กล่องหมึกนี้ฉันเป็นคนประดิษฐ์ขึ้นเอง”
“จริงรึ ท่านทำเครื่องเขินด้วยรึ”
โคเอ็ตสึไม่ตอบได้แต่ยิ้มน้อย ๆ มองมูซาชิด้วยสายตาที่แสดงความชื่นชมเจ้าหนุ่มบ้านนอกผู้ประจักษ์คุณค่าความงามของศิลปะ
มูซาชิกล่าวชมจากใจจริงโดยไม่ได้สนใจว่าผู้สูงวัยกว่าจะคิดอย่างไรกับตน ระหว่างจ้องมองกล่องหมึกไม่วางตา
“งดงามล้ำค่ามาก”
“ถึงฉันจะบอกว่าเป็นคนประดิษฐ์กล่องหมึกนี้ขึ้นมา แต่บกกวีที่กำกับลวดลายนั้นเป็นลายมือของท่าน โคโนเอะ โนบูทาดะ จึงควรเรียกว่าเป็นผลงานร่วมกัน”
“ท่านโคโนเอะ โนบูทาดะ แห่งตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนักคนนั้นน่ะรึ”
“ใช่ ท่านโนบูทาดะคือบุตรชายของริวซัน อดีตผู้สำเร็จราชการสมเด็จพระจักรพรรดิ”
“สามีน้าหญิงของข้าเป็นนักรบในสังกัดตระกูลโคโนเอะมานานปี”
“ชื่ออะไรรึ”
“มัตสึโอะ คานาเมะ ขอรับ”
“ฉันรู้จักดี เวลาไปที่บ้านตระกูลโคโนเอะ ท่านคานาเมะจะมาช่วยดูแลฉันทุกครั้ง และท่านเองก็ยังมาเยี่ยมเยียนฉันที่บ้านบ่อย ๆ ด้วย”
“งั้นหรือขอรับ”
“แม่”
โคเอ็ตสึหันไปทางมารดา
“โลกแคบจริง ๆ พ่อหนุ่มคนนี้บอกว่าเป็นหลานภรรยาท่านมัตสึโอะ คานาเมะ”
“อะไรนะ งั้นก็เป็นหลานเขยของท่านคานาเมะน่ะซี”
แม่ชีชราเมียวโชว่าพลาง เลื่อนตัวจากหน้าเตาไฟ และน้อมตัวลงคำนับมูซาชิผู้เป็นแขกกับบุตรชายของตน อย่างอ้อนช้อยงดงามตามประเพณีการชงชา
แม้มีอายุใกล้วัยเจ็ดสิบ แต่ท่วงท่าของนางแสดงให้เห็นถึงศิลปะการชงชาที่ติดตัวอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายไปตามสังขาร กิริยามารยาทที่เป็นธรรมชาติ การเคลื่อนไหวของปลายนิ้วที่ละเมียดละไมและประณีตบรรจง ดูสมกับความเป็นกุลสตรีผู้งดงามทั้งกายและใจ
มูซาชิ นักดาบบ้านนอกพยายามทำตามอย่างโคเอ็ตสึ นั่งเก็บแข้งเก็บขาวางท่าให้ดูดีอยู่หน้าจานขนมน้ำชาที่เป็นขนมแป้งไส้ถั่วธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ วางมาบนใบไม้สีเขียวที่ไม่มีในบริเวณทุ่งร้างนี้
3
มูซาชิได้ยินมาว่าชาก็มีวิถีเช่นเดียวกับวิถีแห่งดาบ
เจ้าหนุ่มนักดาบจ้องมองแม่ชีชราเมียวโชทำพิธีชงชาไม่คลาดสายตาทุกขั้นตอน
สง่างาม
ไม่เปิดช่องว่างให้แก่ความผิดพลาด
มูซาชิมองและประเมินด้วยสายตาของนักดาบ
เจ้าหนุ่มมองเห็นภาพนักดาบระดับปรมาจารย์ยืนถือดาบจับจ้องเตรียมพิชิตคู่ต่อสู้ อยู่ในแม่ชีชราวัยใกล้เจ็ดสิบที่กำลังชงชาอยู่ตรงหน้า...สง่างาม สมบูรณ์แบบ จนไม่คิดว่าจะเป็นมนุษย์ที่อยู่ในโลกเดียวกัน
นั่นคือรูปลักษณ์ของผู้ที่บรรลุถึงสุดทางแห่งวิถี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิถีแห่งดาบ วิถีแห่งศิลปะ หรือวิถีใดก็ตาม
มูซาชิคิดคำนึงอยู่ในใจ
แต่พอรู้สึกตื่นจากห้วงคิดและมองไปตรงหน้าก็เห็นถ้วยชาวางอยู่บนผ้ารองเรียบร้อย ความที่ไม่เคยมีโอกาสร่วมในพิธีชงชามาก่อนทำให้งงไปหมด ไม่รู้ว่าจะดื่มท่าไหน
ถ้วยชานั้นแม้รูปร่างจะเหมือนให้เด็กปั้นขึ้นมาเล่น ๆ แต่ฟองสีเขียวของชาในถ้วยดูบางเบาและสงบกว่าท้องฟ้า
ชำเลืองมองไปทางซันเท็ตสึ ก็เห็นว่ากินขนมแล้ว และกำลังประคองถ้วยชาด้วยมือทั้งคู่เหมือนเวลาต้องการความอบอุ่นจากอะไรสักอย่างในคืนที่อากาศหนาวจัด ยกขึ้นดื่มเพียงสองสามอึกก็หมดถ้วย
“ท่านโคเอ็ตสึ...ข้าเป็นนักดาบพเนจร บอกตามตรงว่าไม่เคยร่วมพิธีชงชากับใครเขา ไม่รู้กิริยามารยา แม้จะดื่มก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”
ได้ยินดังนั้น แม่ชีชราเมียวโชก็ร้องว่า
“โถ พ่อคุณ...”
แล้วมองมาด้วยสายตาของย่ายายที่ปลอบโยนหลาน
“จะดื่มชาสักถ้วยไม่เกี่ยวกับว่าจะต้องรู้หรือไม่รู้เรื่อง เป็นนักดาบพเนจรก็ดื่มอย่างสมกับที่นักดาบพเนจรก็สิ ไม่เห็นจะมีอะไรมาก”
“จริงรึ”
“การชงชาไม่ได้อยู่ที่กฎเกณฑ์หรือกรรมวิธี แต่อยู่ที่หัวใจ ดาบก็เช่นกันไม่ใช่หรือ”
“ใช่ขอรับ”
“การเคร่งกฎเกณฑ์จนเกร็งไปทั้งตัว จะทำให้น้ำชาเสียรสชาติ ถ้าพูดในเชิงดาบ การเกร็งตัวด้วยความตื่นเต้นจะทำให้วงจรของใจกับดาบถูกตัดขาด แล้วจะสู้ใครเขาได้ยังไง”
“จริงขอรับ”
มูซาชิน้อมศีรษะรับฟังด้วยใจจริง และเงี่ยหูฟังว่าแม่ชีชราจะพูดอะไรต่อไป แต่อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะหึ ๆ และบอกว่า
“เรื่องดาบ ข้าไม่รู้อะไรเลย”
มูซาชินั่งพับขารักษามารยาทมานานและเข่าเริ่มเจ็บ จึงเปลี่ยนท่าเป็นนั่งขัดสมาธิ พูดตามธรรมเนียมว่า ข้าขอดื่มตามคำเชิญ ยกถ้วยขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยงแล้ววางลงตามเดิม
ขม
เจ้าหนุ่มนักดาบร้องอยู่ในใจ
ขมอย่างนี้ จะให้ชมว่าอร่อยคงไม่ไหว
“รับอีกสักถ้วยหนึ่งไหม”
“ไม่เป็นไรขอรับ พอแล้ว”
อยากรู้ว่าอร่อยตรงไหน ไม่เข้าใจว่าทำไมใคร ๆ ถึงใช้คำพูดที่ฟังดูเป็นปรัชญาล้ำลึกเมื่อพูดถึงชาในพิธีชาทำนองว่า ความไม่สมบูรณ์แบบในรสชาติ
มูซาชิไม่เข้าใจทั้งรสชาติของชาที่ดื่มเข้าไปจริง ๆ และปรัชญาล้ำลึกเกี่ยวกับพิธีชงชาที่ใคร ๆ พูดกัน แต่ถึงอย่างไรเจ้าหนุ่มก็ยังชื่นชมสองแม่ลูกที่ให้การต้อนรับตนด้วยความอบอุ่นครั้งนี้
รสชาติของชาและปรัชญาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การได้สัมผัสกับพิธีชาเป็นครั้งแรกที่กลางทุ่งร้างนี้ทำให้เจ้าหนุ่มตระหนักว่า วิธีแห่งชาจะต้องลึกล้ำกว่าที่ตนรู้สึก ไม่เช่นนั้นก็คงดำรงคงอยู่ในวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัย ฮิงาชิยามะในอดีตกาลนานมา และผู้ยิ่งใหญ่อย่างฮิเดโยชิ อย่างอิเอยาซุก็คงไม่ให้การสนับสนุนอย่างจริงจังถึงเพียงนี้
ท่านยากิว เซกิชูไซก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อุทิศตนในบั้นปลายชีวิตให้แก่วิถีแห่งชา และหลวงพี่ทากูอันอีกคนที่ดื่มด่ำกับชาไม่น้อย
มูซาชิคำนึงพลาง มองไปที่ถ้วยชาบนผ้ารองอีกครั้ง


กำลังโหลดความคิดเห็น