นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ชนะ
มูซาชิโบกธงชัยให้แก่ชัยชนะของตนอยู่ในใจ
ข้าชนะโยชิโอกะ เซจูโร
ข้าคือผู้พิชิตทายาทผู้สืบทอดสำนักดาบอันเกริกเกียรติด้วยแสนยานุภาพอันเกรียงไกรดุจป้อมปราการแห่งนครหลวงมาตั้งแต่สมัยมูโรมาจิ
ทว่า ใจของมูซาชิไม่ได้ปลื้มปิติแม้แต่น้อย นักดาบหนุ่มเดินก้มหน้านิด ๆ เหยียบไปบนหญ้านุ่ม ๆ และใบไม้แห้งในท้องทุ่ง ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
เงานกเล็ก ๆ ที่บินต่ำ ผ่านวูบไปแต่ก็ยังเห็นท้องขาว ๆ คล้ายท้องปลา
ความรู้สึกอ้างว้างหลังชัยชนะคืออารมณ์อ่อนไหวของผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคำที่ไม่อยู่ในสารบบของนักรบที่อยู่ระหว่างฝึกวิทยายุทธ์ แต่ใครจะห้ามใจหนุ่มนักดาบผู้นี้ได้
ใจของมูซาชิอ้างว้างเดินดุ่มโดดเดี่ยวไปบนท้องทุ่งที่รกร้างและเปล่าเปลี่ยว
แต่พอเดินไปได้ครู่หนึ่ง มูซาชิหยุดกึก และเหลียวกลับไปมอง ต้นสนที่ทอดยอดลู่ลมอ่อน ๆ อยู่บนเนินเหนือทุ่งเร็นไดจิตรงที่ตนพบกับเซจูโร
แค่ดาบเดียว คงไม่ถึงตาย
มูซาชิก้มลงดูดาบไม้ที่ยังกระชับแน่นอยู่ในมือที่ไม่มีรอยเลือดติดอยู่ พลางนึกไปถึงสภาพของคู่ต่อสู้ที่ตนฟันทิ้งไว้ตรงนั้น
นักดาบอย่างมูซาชิคิดรอบคอบเสมอ และครั้งนี้เจ้าหนุ่มมองว่าคู่ต่อสู้ซึ่งเป็นเจ้าสำนักดาบ จะต้องมีศิษย์ตามมาเป็นฝูงแน่นอน และในกรณีร้ายแรงที่สุดอาจมีการวางแผนชั่วร้ายไว้เอาชนะตามประสาคนขี้ขลาดก็ได้
มูซาชิประจักษ์ในสัจจะธรรมของการประลองยุทธ์ที่ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ ดังนั้นเมื่อเช้า ก่อนที่จะพกดาบไม้อันนี้ไปยังสถานที่นัดประลองยุทธ์ มูซาชิจึงอาบน้ำสระผม ล้างหน้าแปรงฟันด้วยเกลือจนขาวสะอาด ซ้ำยังสระผมด้วย เผื่อว่าแพ้ศพจะได้ดูดี
ภาพของเซจูโรที่สะท้อนเข้ามาในสายตาของมูซาชิเมื่อได้พบกัน ต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพที่วาดไว้ในจินตนาการ จนแทบไม่เชื่อสายตาตนเองและต้องกระซิบถามอยู่ในใจว่า
นี่น่ะหรือบุตรชายของโยชิโอกะ เค็มโป
ชายหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองแต่งกายทันสมัยดูเป็นคุณหนูไปทั้งตัวคนนี้นะหรือคือเซจูโร ไม่ว่าจะมองที่ส่วนไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของความเป็นนักรบผู้สืบทอดวิทยายุทธ์ของสำนักดาบอันทรงเกียรติของเกียวโตเลยสักนิด
แต่ก็ผิดคาด เพราะเซจูโรมากับบ่าวเพียงคนเดียว ไม่มีทั้งศิษย์หรือนักดาบมือสอง
หลังแสดงตัว แจ้งชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน มูซาชิรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า
นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์ที่ควรแก่การเข้าร่วม
มูซาชิมุ่งหวังที่จะได้ประลองยุทธ์กับนักดาบที่มีฝีมือเหนือกว่าตนตลอดมา แต่ครั้งนี้แค่มองเซจูโรเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่คู่ควรกับการที่ตนสู้อุตส่าห์ลับฝีมือมาตลอดทั้งปี
ยิ่งกว่านั้น ดวงตาของเซจูโรไม่ฉายแววเชื่อมั่นในฝีมือตนเองเลยสักนิด เท่าที่เคยพบมาแม้นักดาบที่อ่อนหัดก็ยังคุกรุ่นไปด้วยความมั่นใจเมื่อถึงคราวต้องสู้ แต่เซจูโรผู้นี้ไม่มีไฟเอาเลยทั้งในดวงตาและทั่วทั้งตัว
ไม่มั่นใจแล้วมาทำไม ฉีกสัญญานัดประลองยุทธ์เสียก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร
คิดแล้วน่าเวทนาคู่ปรปักษ์ เซจูโรเป็นบุตรชายที่ไร้สมรรถภาพของเจ้าสำนักผู้ล่วงลับ แม้ศิษย์สำนักดาบกว่าพันคนที่รับช่วงมาจากบิดาจะเคารพนับถือว่าเป็นอาจารย์ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกตกทอด ไม่ได้มาจากความสามารถส่วนตัว
---มูซาชิอยากจะหว่านล้อมให้เลิกประดาบกันเพื่อสวัสดิภาพของทั้งสองฝ่ายแต่ก็ไม่มีโอกาส
น่าเวทนา ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย
มูซาชิมองไปที่ต้นสนบนเนินนั้นอีกครั้ง และภาวนาอยู่ในใจขอให้บาดแผลของเซจูโรที่ถูกตนฟันด้วยดาบไม้นั้นหายโดยเร็ว
2
การประลองยุทธสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ว่าแพ้หรือชนะนักรบที่แท้จริงจะไม่ยืดเยื้ออยู่กับผลของมัน จบเป็นจบ
เมื่อทำใจได้ดังนั้นแล้ว มูซาชิจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
แต่ไม่ทันจะเดินไปได้สักกี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นแม่ชีชราคนหนึ่งนั่งยอง ๆ คุ้ยเขี่ยดินหาอะไรอยู่ในพงหญ้า นางเงยหน้าขึ้นมาเบิ่งมองด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าหนุ่ม
แม่ชีร่างเล็กอายุราวเจ็ดสิบมีอะไรบ่งอย่างในกายตัวที่ทำให้ดูเป็นผู้ดี สวมกิโมโนผ้าพื้นสีเดียวกับหญ้าแห้งและคาดด้วยแถบผ้าสีม่วงแบบเดียวกับชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่ผ้าที่คลุมผมเอาไว้เท่านั้นที่บ่งบอกว่าเป็นแม่ชี
“โอ๊ะ”
มูซาชิเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะเกือบจะเหยียบลงไปบนร่างเล็กของแม่ชีชรา ที่แต่งกายกลมกลืนกับพงหญ้าในท้องทุ่งที่ไม่มีทางเดิน
“ยาย หาอะไรอยู่รึ”
มูซาชิเอ่ยทักด้วยเสียงอ่อนโยน แต่แม่เฒ่ากลับตัวสั่นเมื่อเห็นหน้าเจ้าหนุ่ม
ในมือของนางมีตะกร้าใบเล็ก ๆ ที่มีผักหญ้าต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่หลายชนิด และที่ข้อมือมีลูกประคำที่ทำจากประการังสีแดงแก่คล้องอยู่
เจ้าหนุ่มนักดาบขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจไม่รู้ว่าแม่ชีชรากลัวอะไร จนปลายนิ้วและลูกประคำที่ข้อมือสั่นระริกเช่นนั้น หรือว่าเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นนักเดินทาง
“โอ้โห ยังหนาวอยู่แท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีผักขึ้นมาแยะอย่างนี้ แต่ก็ย่างเข้าฤดูใบผลิแล้วนี่นะ นี่ไงยายต้นเซริ ซูซูนะก็มี โอ๊ะ ดูนี่ซิยาย ต้นฮาฮาโกะคูซะ...แยะจังนะ”
มูซาชิเข้าไปตีสนิทเพื่อว่าแม่เฒ่าจะได้ไม่กลัว และพอชะโงกหน้าลงไปดูผักหญ้าที่นางเก็บได้ แม่ชีชราก็ทิ้งตะกร้าแล้ววิ่งหนีพร้อมกับกรีดเสียงเรียกใครคนหนึ่ง
“โคเอ็ตสึ โคเอ็ตสึ”
เจ้าหนุ่มส่ายหัวพลางมองตามร่างเล็กของแม่ชีชราที่วิ่งลิ่วไปทางโน้น
ทุ่งหญ้าที่ดูราบเรียบนั้นจริง ๆ แล้วมีทางลาดลงไปเล็กน้อย และร่างของแม่ชีชราหายลงไปในที่ลุ่มนั้น
การที่นางเรียกชื่อใครคนหนึ่งนั้นแสดงว่าไม่ได้มาคนเดียว และเมื่อเขม้นมองไปก็เห็นควันบาง ๆ ลอยเป็นสายขึ้นมาจากตรงนั้น
อุตส่าห์เก็บเสียตั้งเยอะแยะ หกหมดเลย
มูซาชิก้มลงเก็บผักหญ้าที่หกเกลื่อนใส่ตะกร้าใบเล็กตามเดิมและเดินตามไป ด้วยความตั้งใจที่จะแสดงว่าตนไม่ได้หวังร้าย
แม่ชีชราไม่ได้มาคนเดียวจริง ๆ ด้วย แต่มาเป็นครอบครัวรวมสามคน
ครอบครัวนี้เลือกที่ลุ่มกลางท้องทุ่งเป็นที่หลบลมหนาว ปูผ้าผืนหนึ่งไว้ทางด้านที่แสงแดดส่อง บนนั้นมีเครื่องไม้เครื่องมือชงชาครบครัน ทั้งเหยือกน้ำและหม้อต้มน้ำ ราวกับห้องจัดพิธีชากลางแจ้งที่มีธรรมชาติเป็นสวนให้ชมขณะดื่มชากันเพลินอารมณ์
3
ชายสองคนที่มากับแม่ชีชรา คนหนึ่งคงเป็นลูกชายของนางส่วนอีกคนน่าจะเป็นบ่าว
ลูกชายอายุราวสี่สิบเจ็ดสี่สิบแปด ผิวขาว รูปร่างสมส่วน หน้าตาอิ่มเอิบมีน้ำมีนวล เหมือนตุ๊กตากระเบื้องของเกียวโตเติบใหญ่ขึ้นมาทั้งอย่างนั้น และคงจะเป็นคนเดียวกับ โคเอ็ตสึที่แม่ชีชรากรีดเรียกเสียงแหลมด้วยความตกใจเมื่อกี้นี้
ชื่อนี้สะกิดใจให้มูซาชินึกไปถึงคนชื่อเดียวกันที่อาศัยอยู่ในย่านฮนอามิของเกียวโต
โคเอ็ตสึผู้นี้มีชื่อเสียงเป็นที่เล่าลือกันด้วยความอิจฉาในบุญวาสนาว่า ได้รับเบี้ยหวัดเงินปีจากมาเอดะ โทชิอิเอะผู้ครองแคว้นคางะเป็นจำนวนมากมายถึงราวสองร้อยเหรียญทอง รายได้ระดับนี้เพียงพอที่จะมีบ้านอยู่ในนครหลวงและใช้ชีวิตได้อย่างหรูหราสมอยู่แล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นโคเอ็ตสึยังเป็นคนที่โทกูงาวะ อิเอยาซุจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่โปรดปรานเป็นพิเศษและอนุญาตให้เข้านอกออกในคฤหาสน์ได้อย่างอิสระ และเวลาเข้าเมืองก็จะผ่านบ้านของโคเอ็ตสึไปไม่ได้โดยไม่มองลงมาจากหลังม้า
ผู้คนเรียกเขาว่าฮนอามิ โคเอ็ตสึตามชื่อย่านที่อยู่อาศัย แต่ชื่อจริงของเขาคือจิโรซาบูโร อาชีพหลักคือช่างประเมินราคาดาบ ลับและล้างดาบ จิโรซาบูโรคือตะกูลเก่าแก่ที่ฝีมือช่างทั้งสามแขนงนั้นได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากจอมทัพมาตั้งแต่ต้นสมัยอาชิคางะ และรุ่งเรืองที่สุดในสมัยมารูมาจิ ได้รับการเกื้อหนุนจากชนชั้นปกครองในตระกูลอิมางาวะ ตระกูลโอดะ และตระกูลโทโยโทมิอย่างต่อเนื่องตลอดมาแม้จนทุกวันนี้
โคเอ็ตสึเป็นผู้อัจฉริยะด้านศิลปะอย่างแท้จริง นอกจากฝีมือช่างทั้งสามแขนงแล้ว เขายังชอบวาดภาพ ปั้นถ้วยชามเครื่องกระเบื้องและวาดลวดลายตกแต่งเครื่องเขินด้วย ในจำนวนนั้นโคเอ็ตสึภาคภูมิใจในฝีมือการเขียนอักษรด้วยพู่กันเป็นที่สุด และติดอันดับผู้ทีชื่อเสียงเด่นดังเทียมเท่า ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่ได้ชื่อว่าเป็นก่อตั้งสำนักซันเมียกูอิน ซึ่งได้แก่ โชกาโด โชโจแห่งโอโตโกมามะฮาจิมัน คาราซุมารุ มิตสึฮิโระ และโคโนอูเอะ โนบูทาดะ
แต่คำเยินยอทั้งสิ้นทั้งปวงนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับสิ่งที่เขาสร้างสรรค์
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า
ครั้งหนึ่ง โคเอ็ตสึได้ไปเยือนคฤหาสน์ของโคโนอูเอะแห่งสำนักซันเมียกูอิน ผู้เป็นคนที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลนักปกครองระดับชาติและขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายในราชสำนัก
ระหว่างที่คุยเรื่องศิลปะการเขียนตัวอักษรกันอย่างออกรสนั้น โคโนอูเอะก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่แน่ะ โคเอ็ตสึ ถ้าให้บอกชื่อผู้มีชื่อเสียงที่สุดสามคน ท่านจะเลือกใคร”
โคเอ็ตสึตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิดเลยว่า
“ที่สองคือท่าน และที่สามคือท่านโชกาโด โชโจละมัง”
โคโนอูเอะทำหน้าฉงน และถามใหม่อีกครั้ง
“แล้วคนที่หนึ่งล่ะใคร”
โคเอ็ตสึจ้องตาอีกฝ่ายและตอบตรง ๆ โดยไม่มียิ้มสักนิดว่า
“ก็ข้ายังไงเล่า”
เรื่องเล่าเพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้รู้ถึงนิสัยของฮนอามิ โคเอ็ตสึ ผู้นี้ได้ไม่มากก็น้อย
มูซาชิไม่รู้ว่าชายที่มากับมารดาและบ่าวผู้นี้คือโคเอ็ตสึ แห่งย่านฮนอามิจริงหรือไม่ เพราะมองจากเครื่องแต่งกายและเครื่องไม้เครื่องมือชงชาที่ดูธรรมดาเกินไป และการมากับบ่าวเพียงคนเดียวเช่นนี้ ดูไม่สมกับฐานะของครอบครัวผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น
4
โคเอ็ตสึถือพู่กันอยู่ในมือ บนตักมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่บรรจงวาดภาพลำธารที่ไหลผ่านทุ่งรกร้างมาตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน รอบ ๆ ตัวมีกระดาษที่ฝึกวาดสายน้ำหลายแผ่นทิ้งเกลื่อน กำลังจะวาดต่อแต่ก็ต้องชะงักและหันไปมอง
เกิดอะไรขึ้น
หนุ่มใหญ่ส่งสายตาแทนคำถามไปยังมารดาที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างหลังบ่าวและมูซาชิที่ยืนอยู่ใกล้กัน
ใจของมูซาชิสงบลงเมื่อสบกับสายตาอ่อนโยนที่มองมา แม้จะยังไม่แสดงความเป็นมิตรออกมาในทันที สายตานั้นแสดงให้เห็นว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ประเภทเดียวกันกับที่พบอยู่รอบตัวทุก ๆ วัน ทำให้ระลึกถึงความทรงจำในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว และในอึดใจต่อมาดวงตาที่สะท้อนให้เจ้าหนุ่มรู้สึกได้ถึงความมีจิตใจที่กว้างขวางอยู่ในส่วนลึกก็เป็นประกายขึ้น ริมฝีปากแย้มยิ้มราวกับได้พบเพื่อนเก่า
“ท่านนักดาบ ขออภัยที่แม่เราเข้าใจท่านผิด เราเองเป็นลูกชายยังสี่สิบแปดแล้ว คิดดูเถอะว่าแม่จะสักเท่าไร ร่างกายยังแข็งแรงแต่หูตาฝ้าฟางลงมาก อย่าถือโทษกันเลย”
ว่าแล้วก็วางพู่กันกับกระดาษที่วาดภาพข้างไว้ลงบนผ้าปู แล้วขยับทำท่าจะจรดมือลงกับพื้นดินและก้มศีรษะคำนับ มูซาชิเห็นทีจะไม่ได้การเพราะตนเองน่าจะเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้แม่ชีชราตกใจ จึงรีบทรุดตัวลงยึดมือโคเอ็ตสึที่กำลังจะจรดลงกับพื้นเอาไว้ พร้อมกับบอกว่า
“ท่านเป็นลูกชายของแม่เฒ่ารึ”
“ใช่”
“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นคนขอโทษที่ทำให้มารดาของท่านตกใจมากเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแม่เฒ่าถึงได้ตกใจที่เห็นข้า ถึงกับทิ้งตะกร้าวิ่งหนีมาอย่างนี้ ข้าเห็นผักหญ้าที่อุตส่าห์เก็บได้เต็มตะกร้า หกกระจายเกลื่อน ข้าเห็นใจในความอุตสาหะของแม่เฒ่าที่พยายามเฟ้นหาผักหญ้าเขียว ๆ จากทุ่งร้างที่มีแต่หญ้าแห้งใบไม้แห้ง ก็เลยเก็บใส่ตะกร้ามาคืนให้เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมากล่าวโทษอะไรท่าน”
“อย่างนั้นเองรึ”
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมด โคเอ็ตสึก็หัวเราะเสียงดังและหันไปทางมารดา
“ได้ยินแล้วใช่ไหม แม่เข้าใจผิดทั้งหมด”
แม่ชีชราถอนใจด้วยความโล่งอก ค่อย ๆ ขยับออกมาจากหลังบ่าวแล้วถามลูกชายอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“โคเอ็ตสึ พ่อหนุ่มนักดาบคนนี้ไม่ทำอะไรเราแน่นะ”
“พ่อหนุ่มไม่ทำอะไรหรอก และยังช่วยเก็บผักหญ้าที่แม่ทำหกกระจายไว้เอามาให้ บอกว่าเห็นใจหญิงชราที่อุตส่าห์เฟ้นหาผักหญ้าเขียว ๆ จากทุ่งร้างที่มีแต่หญ้ากับใบไม้แห้งมาได้เต็มตะกร้า เห็นแล้วหรือยังว่าพ่อหนุ่มนักดาบคนนี้ใจดีแค่ไหน”
“ตายจริง ข้าขอโทษที่คิดไม่ดีต่อท่าน”
ว่าแล้วแม่ชีชราก็ก้มศีรษะลงต่ำจนลูกประคำสีแดงแก่ที่คล้องข้อมืออยู่เกือบชิดหน้าผาก โดยมีมูซาชิยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
หลังจากขอโทษขอโพยและเข้าใจกันและกันดีแล้ว แม่ชีชราก็หัวเราะออกและบอกลูกชายว่า
“ตอนนี้แม่เข้าใจดีแล้วและรู้สึกแย่จริง ๆ มองพ่อหนุ่มในแง่ร้ายอย่างนั้น แต่ที่แม่เห็นแล้วกลัวจนขนลุกซู่ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัวก็เพราะได้กลิ่นคาวเลือดอยู่ตรงหน้า แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็เลยโล่งใจหายกลัว”
มูซาชิสะดุ้งอยู่ในใจเมื่อได้ยินคำพูดซื่อ ๆ ของแม่ชีชรา
หมายความว่าแม่เฒ่าจับกลิ่นความตายจากตัวเขาได้ด้วยสัญชาตญาณอย่างนั้นหรือ
5
ชายผู้มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด
แม่ชีชรารู้สึกด้วยสัญชาตญาณทันทีที่เห็นตน
มูซาชิเคยคิดว่ากลิ่นที่ติดตัวนั้นส่วนใหญ่คงไม่มีใครคอยสังเกตนอกจากจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่คำพูดของแม่เฒ่าทำให้เจ้าหนุ่มต้องฉุกคิด และเมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีเลือดและอะไรสักอย่างที่อัปมงคลแฝงติดอยู่ในเงารอบ ๆ ตัว สัมผัสอันบริสุทธิ์ของแม่เฒ่าทำให้มูซาชิรู้สึกอัปยศอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พ่อหนุ่มนักดาบ”
โคเอ็ตสึไม่ได้ปล่อยให้คำพูดของมารดาผ่านหูไป เขาเพ่งพิศนักดาบหนุ่มร่างใหญ่ตรงหน้า ด้วยพยายามที่จะค้นหาสิ่งที่ควรแก่การยกย่องออกมาจากดวงตากลมโตที่เปร่งประกายวาววามอย่างประหลาด ผมกระเซิงที่รวบเอาไว้เป็นกลุ่มใหญ่ และร่างกายที่ดูตื่นตัวพร้อมสู้อยู่ตลอดเวลา หากเผลอแตะเข้าตรงไหนเป็นต้องถูกฟันแน่นอน
“ถ้าไม่รีบก็มานั่งพักกับเราก่อนดีไหม ที่นี่สงบเงียบ นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร สบายใจดีนะ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับฟ้าใส”
แม่ชีชราช่วยชวน
“เดี๋ยวยายไปเก็นผักหญ้ามาเพิ่ม แล้วจะได้ต้มข้าวต้มกินกัน ถ้าไม่รังเกียจจะดื่มชาก่อนก็ได้นะ”
ระหว่างที่ร่วมพูดคุยกับสองแม่ลูก เจตนาสังหารที่พลุ่งพล่านเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงใจมาตั้งแต่เช้า ค่อย ๆ มลายหายไปจนใจเริ่มสงบและผ่องใสขึ้น รู้สึกอบอุ่นอย่างไม่คิดว่าจะอบอุ่นได้เมื่ออยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า มูซาชิมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อพบว่าตนเองถอดรองเท้าแตฟาง ขึ้นไปนั่งเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์อยู่บนผืนผ้าที่ปูไว้บนพื้นหญ้า
เมื่อได้คุยกันเรื่อยไปจึงรู้ว่าแม่ชีชราชื่อเมียวชู เป็นหญิงสูงศักดิ์ที่ผู้คนในนครหลวงนับหน้าถือตา ส่วน โคเอ็ตสึผู้เป็นลูกคือช่างอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงหลายสาขา อาศัยอยู่ที่ย่านฮนอามิ ซึ่งก็คือฮนอามิ โคเอ็ตสึ คนเดียวกับที่มูซาชิได้ยินกิติศัพท์มานาน
โดยเฉพาะในหมู่นักดาบทุกคนจะต้องรู้จักชื่อฮนอามิ โคเอ็ตสึผู้นี้ แต่โคเอ็ตสึกับมารดาพูดคุยกับมูซาชิด้วยความอัธยาศรัยไมตรีจากใจจริง โดยไม่ได้แสดงตนว่าเป็นคนสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหนุ่มรู้สึกว่าแม้ลูกคู่นี้เป็นแต่คนธรรมดาที่มาพบกันโดยบังเอิญที่กลางทุ่งอันรกร้าง แม้จะรู้ประวัติความเป็นมาและชาติตระกูลของทั้งสองดีก็ตาม และอยากเก็บการพบกันอย่างมีไมตรีจิตครั้งนี้ไว้ในความทรงจำนานเท่านาน
ระหว่างนั่งคอยให้น้ำเดือดแม่ชีเมียวชูถามลูกชายว่า
“พ่อหนุ่มคนนี้อายุสักเท่าไรนะ”
โคเอ็ตสึมองทางมูซาชิที่กำลังผ่อนอารมณ์เพลินอยู่ก่อนตอบว่า
“ราวยี่สิบห้ายี่สิบหกละมัง”
มูซาชิส่ายหน้าและแก้ให้ว่า
“ยี่สิบสอง”
แม่ชีชราทำตาโต และมองเจ้าหนุ่มอย่างเพ่งพิศอีกครั้ง
“ยังเด็กมากเลย ยี่สิบสองนี่เป็นหลานย่าได้สบาย”
จากนั้นนางก็ซักถามเรื่อยไปไม่หยุดว่าบ้านเกิดอยู่ที่ไหน พ่อแม่ยังอยู่ดีหรือเปล่า เรียนวิชาดาบกับใคร
ความที่แม่เฒ่าทำราวตนเป็นหลานตัวน้อย มูซาชิจึงเผลอตัวใช้คำพูดเหมือนเด็ก ๆ กับนาง
มูซาชิใช้ชีวิตอย่างมีวินัยเคร่งครัดกับตัวเองมาบนวิถีแห่งดาบตลอดหลายปีที่ผ่านมา มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกกายและใจให้แข็งแกร่งและเฉียบคมราวคมเหล็กกล้าอยู่ทุกลมหายใจ เมื่อได้มาพูดคุยอยู่กับแม่ชีเมียวชูราวย่ากับหลาน จนอยากล้มตัวลงนอนหนุนตักเช่นนี้ มูซาชิรู้สึกเหมือนมีลมอ่อน ๆ เจือความหอมหวานโชยผ่านเข้ามาในกายตนให้เคลิบเคลิ้ม อาบอุ่นเหมือนไม่เคยผ่านลมฝนและหิมะหนาวเย็นแทบขาดใจมาก่อนเลย
แม่ชีชราเมียวชู โคเอ็ตสึดูเริงร่าไปกับทุกสิ่งตั้งแต่ ผืนผ้าที่ปูบนพื้นหญ้าและสิ่งของที่วางอยู่บนนั้น ไม่ไปจนถึงถ้วยชาที่หลอมรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เช่นเดียวกับนกน้อยที่บินเรี่ยไปกับยอดหญ้าบนท้องทุ่ง
แต่มูซาชิ แม้จะดื่มด่ำอยู่ในอ้อมอกอบอุ่นของแม่ชีเมียวชู ที่เสมือนย่า แต่ไม่อาจทำตัวให้คล้อยตามไปได้
จึงถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียวเหมือนลูกเลี้ยงที่ไม่มีใครเอาใจใส่ใยดี
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ชนะ
มูซาชิโบกธงชัยให้แก่ชัยชนะของตนอยู่ในใจ
ข้าชนะโยชิโอกะ เซจูโร
ข้าคือผู้พิชิตทายาทผู้สืบทอดสำนักดาบอันเกริกเกียรติด้วยแสนยานุภาพอันเกรียงไกรดุจป้อมปราการแห่งนครหลวงมาตั้งแต่สมัยมูโรมาจิ
ทว่า ใจของมูซาชิไม่ได้ปลื้มปิติแม้แต่น้อย นักดาบหนุ่มเดินก้มหน้านิด ๆ เหยียบไปบนหญ้านุ่ม ๆ และใบไม้แห้งในท้องทุ่ง ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
เงานกเล็ก ๆ ที่บินต่ำ ผ่านวูบไปแต่ก็ยังเห็นท้องขาว ๆ คล้ายท้องปลา
ความรู้สึกอ้างว้างหลังชัยชนะคืออารมณ์อ่อนไหวของผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคำที่ไม่อยู่ในสารบบของนักรบที่อยู่ระหว่างฝึกวิทยายุทธ์ แต่ใครจะห้ามใจหนุ่มนักดาบผู้นี้ได้
ใจของมูซาชิอ้างว้างเดินดุ่มโดดเดี่ยวไปบนท้องทุ่งที่รกร้างและเปล่าเปลี่ยว
แต่พอเดินไปได้ครู่หนึ่ง มูซาชิหยุดกึก และเหลียวกลับไปมอง ต้นสนที่ทอดยอดลู่ลมอ่อน ๆ อยู่บนเนินเหนือทุ่งเร็นไดจิตรงที่ตนพบกับเซจูโร
แค่ดาบเดียว คงไม่ถึงตาย
มูซาชิก้มลงดูดาบไม้ที่ยังกระชับแน่นอยู่ในมือที่ไม่มีรอยเลือดติดอยู่ พลางนึกไปถึงสภาพของคู่ต่อสู้ที่ตนฟันทิ้งไว้ตรงนั้น
นักดาบอย่างมูซาชิคิดรอบคอบเสมอ และครั้งนี้เจ้าหนุ่มมองว่าคู่ต่อสู้ซึ่งเป็นเจ้าสำนักดาบ จะต้องมีศิษย์ตามมาเป็นฝูงแน่นอน และในกรณีร้ายแรงที่สุดอาจมีการวางแผนชั่วร้ายไว้เอาชนะตามประสาคนขี้ขลาดก็ได้
มูซาชิประจักษ์ในสัจจะธรรมของการประลองยุทธ์ที่ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ ดังนั้นเมื่อเช้า ก่อนที่จะพกดาบไม้อันนี้ไปยังสถานที่นัดประลองยุทธ์ มูซาชิจึงอาบน้ำสระผม ล้างหน้าแปรงฟันด้วยเกลือจนขาวสะอาด ซ้ำยังสระผมด้วย เผื่อว่าแพ้ศพจะได้ดูดี
ภาพของเซจูโรที่สะท้อนเข้ามาในสายตาของมูซาชิเมื่อได้พบกัน ต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพที่วาดไว้ในจินตนาการ จนแทบไม่เชื่อสายตาตนเองและต้องกระซิบถามอยู่ในใจว่า
นี่น่ะหรือบุตรชายของโยชิโอกะ เค็มโป
ชายหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองแต่งกายทันสมัยดูเป็นคุณหนูไปทั้งตัวคนนี้นะหรือคือเซจูโร ไม่ว่าจะมองที่ส่วนไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของความเป็นนักรบผู้สืบทอดวิทยายุทธ์ของสำนักดาบอันทรงเกียรติของเกียวโตเลยสักนิด
แต่ก็ผิดคาด เพราะเซจูโรมากับบ่าวเพียงคนเดียว ไม่มีทั้งศิษย์หรือนักดาบมือสอง
หลังแสดงตัว แจ้งชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน มูซาชิรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า
นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์ที่ควรแก่การเข้าร่วม
มูซาชิมุ่งหวังที่จะได้ประลองยุทธ์กับนักดาบที่มีฝีมือเหนือกว่าตนตลอดมา แต่ครั้งนี้แค่มองเซจูโรเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่คู่ควรกับการที่ตนสู้อุตส่าห์ลับฝีมือมาตลอดทั้งปี
ยิ่งกว่านั้น ดวงตาของเซจูโรไม่ฉายแววเชื่อมั่นในฝีมือตนเองเลยสักนิด เท่าที่เคยพบมาแม้นักดาบที่อ่อนหัดก็ยังคุกรุ่นไปด้วยความมั่นใจเมื่อถึงคราวต้องสู้ แต่เซจูโรผู้นี้ไม่มีไฟเอาเลยทั้งในดวงตาและทั่วทั้งตัว
ไม่มั่นใจแล้วมาทำไม ฉีกสัญญานัดประลองยุทธ์เสียก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร
คิดแล้วน่าเวทนาคู่ปรปักษ์ เซจูโรเป็นบุตรชายที่ไร้สมรรถภาพของเจ้าสำนักผู้ล่วงลับ แม้ศิษย์สำนักดาบกว่าพันคนที่รับช่วงมาจากบิดาจะเคารพนับถือว่าเป็นอาจารย์ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกตกทอด ไม่ได้มาจากความสามารถส่วนตัว
---มูซาชิอยากจะหว่านล้อมให้เลิกประดาบกันเพื่อสวัสดิภาพของทั้งสองฝ่ายแต่ก็ไม่มีโอกาส
น่าเวทนา ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย
มูซาชิมองไปที่ต้นสนบนเนินนั้นอีกครั้ง และภาวนาอยู่ในใจขอให้บาดแผลของเซจูโรที่ถูกตนฟันด้วยดาบไม้นั้นหายโดยเร็ว
2
การประลองยุทธสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ว่าแพ้หรือชนะนักรบที่แท้จริงจะไม่ยืดเยื้ออยู่กับผลของมัน จบเป็นจบ
เมื่อทำใจได้ดังนั้นแล้ว มูซาชิจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
แต่ไม่ทันจะเดินไปได้สักกี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นแม่ชีชราคนหนึ่งนั่งยอง ๆ คุ้ยเขี่ยดินหาอะไรอยู่ในพงหญ้า นางเงยหน้าขึ้นมาเบิ่งมองด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าหนุ่ม
แม่ชีร่างเล็กอายุราวเจ็ดสิบมีอะไรบ่งอย่างในกายตัวที่ทำให้ดูเป็นผู้ดี สวมกิโมโนผ้าพื้นสีเดียวกับหญ้าแห้งและคาดด้วยแถบผ้าสีม่วงแบบเดียวกับชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่ผ้าที่คลุมผมเอาไว้เท่านั้นที่บ่งบอกว่าเป็นแม่ชี
“โอ๊ะ”
มูซาชิเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะเกือบจะเหยียบลงไปบนร่างเล็กของแม่ชีชรา ที่แต่งกายกลมกลืนกับพงหญ้าในท้องทุ่งที่ไม่มีทางเดิน
“ยาย หาอะไรอยู่รึ”
มูซาชิเอ่ยทักด้วยเสียงอ่อนโยน แต่แม่เฒ่ากลับตัวสั่นเมื่อเห็นหน้าเจ้าหนุ่ม
ในมือของนางมีตะกร้าใบเล็ก ๆ ที่มีผักหญ้าต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่หลายชนิด และที่ข้อมือมีลูกประคำที่ทำจากประการังสีแดงแก่คล้องอยู่
เจ้าหนุ่มนักดาบขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจไม่รู้ว่าแม่ชีชรากลัวอะไร จนปลายนิ้วและลูกประคำที่ข้อมือสั่นระริกเช่นนั้น หรือว่าเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นนักเดินทาง
“โอ้โห ยังหนาวอยู่แท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีผักขึ้นมาแยะอย่างนี้ แต่ก็ย่างเข้าฤดูใบผลิแล้วนี่นะ นี่ไงยายต้นเซริ ซูซูนะก็มี โอ๊ะ ดูนี่ซิยาย ต้นฮาฮาโกะคูซะ...แยะจังนะ”
มูซาชิเข้าไปตีสนิทเพื่อว่าแม่เฒ่าจะได้ไม่กลัว และพอชะโงกหน้าลงไปดูผักหญ้าที่นางเก็บได้ แม่ชีชราก็ทิ้งตะกร้าแล้ววิ่งหนีพร้อมกับกรีดเสียงเรียกใครคนหนึ่ง
“โคเอ็ตสึ โคเอ็ตสึ”
เจ้าหนุ่มส่ายหัวพลางมองตามร่างเล็กของแม่ชีชราที่วิ่งลิ่วไปทางโน้น
ทุ่งหญ้าที่ดูราบเรียบนั้นจริง ๆ แล้วมีทางลาดลงไปเล็กน้อย และร่างของแม่ชีชราหายลงไปในที่ลุ่มนั้น
การที่นางเรียกชื่อใครคนหนึ่งนั้นแสดงว่าไม่ได้มาคนเดียว และเมื่อเขม้นมองไปก็เห็นควันบาง ๆ ลอยเป็นสายขึ้นมาจากตรงนั้น
อุตส่าห์เก็บเสียตั้งเยอะแยะ หกหมดเลย
มูซาชิก้มลงเก็บผักหญ้าที่หกเกลื่อนใส่ตะกร้าใบเล็กตามเดิมและเดินตามไป ด้วยความตั้งใจที่จะแสดงว่าตนไม่ได้หวังร้าย
แม่ชีชราไม่ได้มาคนเดียวจริง ๆ ด้วย แต่มาเป็นครอบครัวรวมสามคน
ครอบครัวนี้เลือกที่ลุ่มกลางท้องทุ่งเป็นที่หลบลมหนาว ปูผ้าผืนหนึ่งไว้ทางด้านที่แสงแดดส่อง บนนั้นมีเครื่องไม้เครื่องมือชงชาครบครัน ทั้งเหยือกน้ำและหม้อต้มน้ำ ราวกับห้องจัดพิธีชากลางแจ้งที่มีธรรมชาติเป็นสวนให้ชมขณะดื่มชากันเพลินอารมณ์
3
ชายสองคนที่มากับแม่ชีชรา คนหนึ่งคงเป็นลูกชายของนางส่วนอีกคนน่าจะเป็นบ่าว
ลูกชายอายุราวสี่สิบเจ็ดสี่สิบแปด ผิวขาว รูปร่างสมส่วน หน้าตาอิ่มเอิบมีน้ำมีนวล เหมือนตุ๊กตากระเบื้องของเกียวโตเติบใหญ่ขึ้นมาทั้งอย่างนั้น และคงจะเป็นคนเดียวกับ โคเอ็ตสึที่แม่ชีชรากรีดเรียกเสียงแหลมด้วยความตกใจเมื่อกี้นี้
ชื่อนี้สะกิดใจให้มูซาชินึกไปถึงคนชื่อเดียวกันที่อาศัยอยู่ในย่านฮนอามิของเกียวโต
โคเอ็ตสึผู้นี้มีชื่อเสียงเป็นที่เล่าลือกันด้วยความอิจฉาในบุญวาสนาว่า ได้รับเบี้ยหวัดเงินปีจากมาเอดะ โทชิอิเอะผู้ครองแคว้นคางะเป็นจำนวนมากมายถึงราวสองร้อยเหรียญทอง รายได้ระดับนี้เพียงพอที่จะมีบ้านอยู่ในนครหลวงและใช้ชีวิตได้อย่างหรูหราสมอยู่แล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นโคเอ็ตสึยังเป็นคนที่โทกูงาวะ อิเอยาซุจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่โปรดปรานเป็นพิเศษและอนุญาตให้เข้านอกออกในคฤหาสน์ได้อย่างอิสระ และเวลาเข้าเมืองก็จะผ่านบ้านของโคเอ็ตสึไปไม่ได้โดยไม่มองลงมาจากหลังม้า
ผู้คนเรียกเขาว่าฮนอามิ โคเอ็ตสึตามชื่อย่านที่อยู่อาศัย แต่ชื่อจริงของเขาคือจิโรซาบูโร อาชีพหลักคือช่างประเมินราคาดาบ ลับและล้างดาบ จิโรซาบูโรคือตะกูลเก่าแก่ที่ฝีมือช่างทั้งสามแขนงนั้นได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากจอมทัพมาตั้งแต่ต้นสมัยอาชิคางะ และรุ่งเรืองที่สุดในสมัยมารูมาจิ ได้รับการเกื้อหนุนจากชนชั้นปกครองในตระกูลอิมางาวะ ตระกูลโอดะ และตระกูลโทโยโทมิอย่างต่อเนื่องตลอดมาแม้จนทุกวันนี้
โคเอ็ตสึเป็นผู้อัจฉริยะด้านศิลปะอย่างแท้จริง นอกจากฝีมือช่างทั้งสามแขนงแล้ว เขายังชอบวาดภาพ ปั้นถ้วยชามเครื่องกระเบื้องและวาดลวดลายตกแต่งเครื่องเขินด้วย ในจำนวนนั้นโคเอ็ตสึภาคภูมิใจในฝีมือการเขียนอักษรด้วยพู่กันเป็นที่สุด และติดอันดับผู้ทีชื่อเสียงเด่นดังเทียมเท่า ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่ได้ชื่อว่าเป็นก่อตั้งสำนักซันเมียกูอิน ซึ่งได้แก่ โชกาโด โชโจแห่งโอโตโกมามะฮาจิมัน คาราซุมารุ มิตสึฮิโระ และโคโนอูเอะ โนบูทาดะ
แต่คำเยินยอทั้งสิ้นทั้งปวงนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับสิ่งที่เขาสร้างสรรค์
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า
ครั้งหนึ่ง โคเอ็ตสึได้ไปเยือนคฤหาสน์ของโคโนอูเอะแห่งสำนักซันเมียกูอิน ผู้เป็นคนที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลนักปกครองระดับชาติและขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายในราชสำนัก
ระหว่างที่คุยเรื่องศิลปะการเขียนตัวอักษรกันอย่างออกรสนั้น โคโนอูเอะก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่แน่ะ โคเอ็ตสึ ถ้าให้บอกชื่อผู้มีชื่อเสียงที่สุดสามคน ท่านจะเลือกใคร”
โคเอ็ตสึตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิดเลยว่า
“ที่สองคือท่าน และที่สามคือท่านโชกาโด โชโจละมัง”
โคโนอูเอะทำหน้าฉงน และถามใหม่อีกครั้ง
“แล้วคนที่หนึ่งล่ะใคร”
โคเอ็ตสึจ้องตาอีกฝ่ายและตอบตรง ๆ โดยไม่มียิ้มสักนิดว่า
“ก็ข้ายังไงเล่า”
เรื่องเล่าเพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้รู้ถึงนิสัยของฮนอามิ โคเอ็ตสึ ผู้นี้ได้ไม่มากก็น้อย
มูซาชิไม่รู้ว่าชายที่มากับมารดาและบ่าวผู้นี้คือโคเอ็ตสึ แห่งย่านฮนอามิจริงหรือไม่ เพราะมองจากเครื่องแต่งกายและเครื่องไม้เครื่องมือชงชาที่ดูธรรมดาเกินไป และการมากับบ่าวเพียงคนเดียวเช่นนี้ ดูไม่สมกับฐานะของครอบครัวผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น
4
โคเอ็ตสึถือพู่กันอยู่ในมือ บนตักมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่บรรจงวาดภาพลำธารที่ไหลผ่านทุ่งรกร้างมาตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน รอบ ๆ ตัวมีกระดาษที่ฝึกวาดสายน้ำหลายแผ่นทิ้งเกลื่อน กำลังจะวาดต่อแต่ก็ต้องชะงักและหันไปมอง
เกิดอะไรขึ้น
หนุ่มใหญ่ส่งสายตาแทนคำถามไปยังมารดาที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างหลังบ่าวและมูซาชิที่ยืนอยู่ใกล้กัน
ใจของมูซาชิสงบลงเมื่อสบกับสายตาอ่อนโยนที่มองมา แม้จะยังไม่แสดงความเป็นมิตรออกมาในทันที สายตานั้นแสดงให้เห็นว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ประเภทเดียวกันกับที่พบอยู่รอบตัวทุก ๆ วัน ทำให้ระลึกถึงความทรงจำในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว และในอึดใจต่อมาดวงตาที่สะท้อนให้เจ้าหนุ่มรู้สึกได้ถึงความมีจิตใจที่กว้างขวางอยู่ในส่วนลึกก็เป็นประกายขึ้น ริมฝีปากแย้มยิ้มราวกับได้พบเพื่อนเก่า
“ท่านนักดาบ ขออภัยที่แม่เราเข้าใจท่านผิด เราเองเป็นลูกชายยังสี่สิบแปดแล้ว คิดดูเถอะว่าแม่จะสักเท่าไร ร่างกายยังแข็งแรงแต่หูตาฝ้าฟางลงมาก อย่าถือโทษกันเลย”
ว่าแล้วก็วางพู่กันกับกระดาษที่วาดภาพข้างไว้ลงบนผ้าปู แล้วขยับทำท่าจะจรดมือลงกับพื้นดินและก้มศีรษะคำนับ มูซาชิเห็นทีจะไม่ได้การเพราะตนเองน่าจะเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้แม่ชีชราตกใจ จึงรีบทรุดตัวลงยึดมือโคเอ็ตสึที่กำลังจะจรดลงกับพื้นเอาไว้ พร้อมกับบอกว่า
“ท่านเป็นลูกชายของแม่เฒ่ารึ”
“ใช่”
“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นคนขอโทษที่ทำให้มารดาของท่านตกใจมากเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแม่เฒ่าถึงได้ตกใจที่เห็นข้า ถึงกับทิ้งตะกร้าวิ่งหนีมาอย่างนี้ ข้าเห็นผักหญ้าที่อุตส่าห์เก็บได้เต็มตะกร้า หกกระจายเกลื่อน ข้าเห็นใจในความอุตสาหะของแม่เฒ่าที่พยายามเฟ้นหาผักหญ้าเขียว ๆ จากทุ่งร้างที่มีแต่หญ้าแห้งใบไม้แห้ง ก็เลยเก็บใส่ตะกร้ามาคืนให้เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมากล่าวโทษอะไรท่าน”
“อย่างนั้นเองรึ”
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมด โคเอ็ตสึก็หัวเราะเสียงดังและหันไปทางมารดา
“ได้ยินแล้วใช่ไหม แม่เข้าใจผิดทั้งหมด”
แม่ชีชราถอนใจด้วยความโล่งอก ค่อย ๆ ขยับออกมาจากหลังบ่าวแล้วถามลูกชายอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“โคเอ็ตสึ พ่อหนุ่มนักดาบคนนี้ไม่ทำอะไรเราแน่นะ”
“พ่อหนุ่มไม่ทำอะไรหรอก และยังช่วยเก็บผักหญ้าที่แม่ทำหกกระจายไว้เอามาให้ บอกว่าเห็นใจหญิงชราที่อุตส่าห์เฟ้นหาผักหญ้าเขียว ๆ จากทุ่งร้างที่มีแต่หญ้ากับใบไม้แห้งมาได้เต็มตะกร้า เห็นแล้วหรือยังว่าพ่อหนุ่มนักดาบคนนี้ใจดีแค่ไหน”
“ตายจริง ข้าขอโทษที่คิดไม่ดีต่อท่าน”
ว่าแล้วแม่ชีชราก็ก้มศีรษะลงต่ำจนลูกประคำสีแดงแก่ที่คล้องข้อมืออยู่เกือบชิดหน้าผาก โดยมีมูซาชิยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
หลังจากขอโทษขอโพยและเข้าใจกันและกันดีแล้ว แม่ชีชราก็หัวเราะออกและบอกลูกชายว่า
“ตอนนี้แม่เข้าใจดีแล้วและรู้สึกแย่จริง ๆ มองพ่อหนุ่มในแง่ร้ายอย่างนั้น แต่ที่แม่เห็นแล้วกลัวจนขนลุกซู่ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัวก็เพราะได้กลิ่นคาวเลือดอยู่ตรงหน้า แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็เลยโล่งใจหายกลัว”
มูซาชิสะดุ้งอยู่ในใจเมื่อได้ยินคำพูดซื่อ ๆ ของแม่ชีชรา
หมายความว่าแม่เฒ่าจับกลิ่นความตายจากตัวเขาได้ด้วยสัญชาตญาณอย่างนั้นหรือ
5
ชายผู้มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด
แม่ชีชรารู้สึกด้วยสัญชาตญาณทันทีที่เห็นตน
มูซาชิเคยคิดว่ากลิ่นที่ติดตัวนั้นส่วนใหญ่คงไม่มีใครคอยสังเกตนอกจากจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่คำพูดของแม่เฒ่าทำให้เจ้าหนุ่มต้องฉุกคิด และเมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีเลือดและอะไรสักอย่างที่อัปมงคลแฝงติดอยู่ในเงารอบ ๆ ตัว สัมผัสอันบริสุทธิ์ของแม่เฒ่าทำให้มูซาชิรู้สึกอัปยศอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พ่อหนุ่มนักดาบ”
โคเอ็ตสึไม่ได้ปล่อยให้คำพูดของมารดาผ่านหูไป เขาเพ่งพิศนักดาบหนุ่มร่างใหญ่ตรงหน้า ด้วยพยายามที่จะค้นหาสิ่งที่ควรแก่การยกย่องออกมาจากดวงตากลมโตที่เปร่งประกายวาววามอย่างประหลาด ผมกระเซิงที่รวบเอาไว้เป็นกลุ่มใหญ่ และร่างกายที่ดูตื่นตัวพร้อมสู้อยู่ตลอดเวลา หากเผลอแตะเข้าตรงไหนเป็นต้องถูกฟันแน่นอน
“ถ้าไม่รีบก็มานั่งพักกับเราก่อนดีไหม ที่นี่สงบเงียบ นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร สบายใจดีนะ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับฟ้าใส”
แม่ชีชราช่วยชวน
“เดี๋ยวยายไปเก็นผักหญ้ามาเพิ่ม แล้วจะได้ต้มข้าวต้มกินกัน ถ้าไม่รังเกียจจะดื่มชาก่อนก็ได้นะ”
ระหว่างที่ร่วมพูดคุยกับสองแม่ลูก เจตนาสังหารที่พลุ่งพล่านเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงใจมาตั้งแต่เช้า ค่อย ๆ มลายหายไปจนใจเริ่มสงบและผ่องใสขึ้น รู้สึกอบอุ่นอย่างไม่คิดว่าจะอบอุ่นได้เมื่ออยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า มูซาชิมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อพบว่าตนเองถอดรองเท้าแตฟาง ขึ้นไปนั่งเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์อยู่บนผืนผ้าที่ปูไว้บนพื้นหญ้า
เมื่อได้คุยกันเรื่อยไปจึงรู้ว่าแม่ชีชราชื่อเมียวชู เป็นหญิงสูงศักดิ์ที่ผู้คนในนครหลวงนับหน้าถือตา ส่วน โคเอ็ตสึผู้เป็นลูกคือช่างอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงหลายสาขา อาศัยอยู่ที่ย่านฮนอามิ ซึ่งก็คือฮนอามิ โคเอ็ตสึ คนเดียวกับที่มูซาชิได้ยินกิติศัพท์มานาน
โดยเฉพาะในหมู่นักดาบทุกคนจะต้องรู้จักชื่อฮนอามิ โคเอ็ตสึผู้นี้ แต่โคเอ็ตสึกับมารดาพูดคุยกับมูซาชิด้วยความอัธยาศรัยไมตรีจากใจจริง โดยไม่ได้แสดงตนว่าเป็นคนสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหนุ่มรู้สึกว่าแม้ลูกคู่นี้เป็นแต่คนธรรมดาที่มาพบกันโดยบังเอิญที่กลางทุ่งอันรกร้าง แม้จะรู้ประวัติความเป็นมาและชาติตระกูลของทั้งสองดีก็ตาม และอยากเก็บการพบกันอย่างมีไมตรีจิตครั้งนี้ไว้ในความทรงจำนานเท่านาน
ระหว่างนั่งคอยให้น้ำเดือดแม่ชีเมียวชูถามลูกชายว่า
“พ่อหนุ่มคนนี้อายุสักเท่าไรนะ”
โคเอ็ตสึมองทางมูซาชิที่กำลังผ่อนอารมณ์เพลินอยู่ก่อนตอบว่า
“ราวยี่สิบห้ายี่สิบหกละมัง”
มูซาชิส่ายหน้าและแก้ให้ว่า
“ยี่สิบสอง”
แม่ชีชราทำตาโต และมองเจ้าหนุ่มอย่างเพ่งพิศอีกครั้ง
“ยังเด็กมากเลย ยี่สิบสองนี่เป็นหลานย่าได้สบาย”
จากนั้นนางก็ซักถามเรื่อยไปไม่หยุดว่าบ้านเกิดอยู่ที่ไหน พ่อแม่ยังอยู่ดีหรือเปล่า เรียนวิชาดาบกับใคร
ความที่แม่เฒ่าทำราวตนเป็นหลานตัวน้อย มูซาชิจึงเผลอตัวใช้คำพูดเหมือนเด็ก ๆ กับนาง
มูซาชิใช้ชีวิตอย่างมีวินัยเคร่งครัดกับตัวเองมาบนวิถีแห่งดาบตลอดหลายปีที่ผ่านมา มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกกายและใจให้แข็งแกร่งและเฉียบคมราวคมเหล็กกล้าอยู่ทุกลมหายใจ เมื่อได้มาพูดคุยอยู่กับแม่ชีเมียวชูราวย่ากับหลาน จนอยากล้มตัวลงนอนหนุนตักเช่นนี้ มูซาชิรู้สึกเหมือนมีลมอ่อน ๆ เจือความหอมหวานโชยผ่านเข้ามาในกายตนให้เคลิบเคลิ้ม อาบอุ่นเหมือนไม่เคยผ่านลมฝนและหิมะหนาวเย็นแทบขาดใจมาก่อนเลย
แม่ชีชราเมียวชู โคเอ็ตสึดูเริงร่าไปกับทุกสิ่งตั้งแต่ ผืนผ้าที่ปูบนพื้นหญ้าและสิ่งของที่วางอยู่บนนั้น ไม่ไปจนถึงถ้วยชาที่หลอมรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เช่นเดียวกับนกน้อยที่บินเรี่ยไปกับยอดหญ้าบนท้องทุ่ง
แต่มูซาชิ แม้จะดื่มด่ำอยู่ในอ้อมอกอบอุ่นของแม่ชีเมียวชู ที่เสมือนย่า แต่ไม่อาจทำตัวให้คล้อยตามไปได้
จึงถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียวเหมือนลูกเลี้ยงที่ไม่มีใครเอาใจใส่ใยดี