xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม นกอินทรีปีกหัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
คนเจ็บดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอย่างน่าเวทนา จนศิษย์ทั้งสี่ที่ช่วยกันหามบานประตูซึ่งใช้เป็นแคร่หามอาจารย์ของตนคนละมุมยังเผลอตัวเบือนหน้า
ทั้งสี่สบตากันเป็นสัญญาณหยุดพัก
“ท่านมิอิเกะ ท่านอูเอดะ”
คนหนึ่งหันไปเสนอกับศิษย์เอกของสำนัก
“อาจารย์น้อยเจ็บมากจนทนไม่ไหว ขอให้เราช่วยตัดแขนที่หักอยู่ทิ้งไปให้พ้นทรมาน ข้าคิดว่าช่วยทำตาม
ความต้องการดีกว่า ถ้าจะช่วยให้คนเจ็บสบายขึ้น”
“พูดอะไรบ้า ๆ”
อูเอดะ เรียวเฮ กับมิอิเกะ จูโรซาเอมอน ตวาดเกือบเป็นเสียงเดียวกัน
“ถึงจะเจ็บปวดยังไงมันก็แค่เจ็บปวดไม่ถึงแก่ชีวิต ขืนตัดแขนแล้วเกิดเลือดออกไม่หยุดจะทำยังไง ทางที่ดี
เราพาอาจารย์น้อยกลับไปที่โรงฝึกก่อน แล้วดูแผลที่ถูกฟันด้วยดาบไม้ของมูซาชิก่อนว่าลึกแค่ไหน ตรวจดูกระดูกไหล่ที่หักก่อนว่าอาการร้ายแรงเพียงใด หากจำเป็นต้องตัดแขนออกจริง ๆ ก็ต้องเตรียมการห้ามเลือดและทำแผลให้ครบครัน อยู่ ๆ จะให้ตัดทิ้งเลยได้ยังไง อย่ามาพูดพล่อย ๆ
ใช่ ๆ ใครก็ได้รีบวิ่งไปตามหมอมาคอยไว้ที่โรงฝึกเดี๋ยวนี้เลย”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสั่ง ศิษย์สองสามคนก็ออกวิ่งรุดหน้าไปเตรียมการทันที
เรียวเฮมองผ่านแนวไม้ขึ้นไปเห็นฝูงคนที่พากันกลับจากทุ่งนิวกิวอินด้วยความผิดหวังที่ไม่ได้ดูการประลองยุทธ์ หยุดยืนดูพวกตนหน้าสลอนก็ขัดใจขึ้นมา จึงร้องสั่งศิษย์ที่เดินตามแคร่หามไปเป็นขบวนว่า
“พวกเจ้าออกเดินนำหน้าไปไล่ตะเพิดไอ้พวกคนสู่รู้ให้พ้นทาง อย่าให้เข้ามารุมดูอาจารย์น้อย เข้าใจไหม”
ศิษย์สำนักดาบกำลังฮึดฮัดอยากระบายอารมณ์เคียดแค้นแทนเจ้าสำนักของตนเต็มทีอยู่แล้ว จึงรับคำโดยไวและกรูกันวิ่งดาหน้าเข้าไปในฝูงคน ทำเอาพวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านแตกฮือเหมืองฝูงยุง พริบตาเดียวก็เหลือแต่ฝุ่นที่กระจายตามหลังไป
“ทามิฮาจิ”
เรียวเฮดึงตัวเจ้าหนุ่มที่เดินร้องไห้ไปข้างบานประตูที่ใช้หามอาจารย์น้อยที่เป็นเจ้านายของตน
“มานี่หน่อย”
ศิษย์เอกสำนักดาบทำท่าคล้ายกับจะระบายอารมณ์เอากับเจ้าหนุ่มฐานที่ไม่ดูแลเจ้านายให้ดี
“อะ...อะไรหรือขอรับ”
ทามิฮาจิกลัวจนปากคอสั่นเมื่อเห็นสายตากราดเกรี้ยวน่ากลัวของเรียวเฮ
“ตอนที่อาจารย์น้อยออกจากโรงฝึกดาบชิโจ เอ็งตามไปด้วยรึเปล่าฮึ”
“ตะ...ตามไปด้วยขอรับ”
“อาจารย์น้อยไปเตรียมตัวประลองยุทธ์ที่ไหน”
“คือ ท่านไปที่ทุ่งเร็นไดจิก่อน”
“ทำไมท่านถึงได้ตรงไปที่นั่นเลย ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าพวกเรารออยู่ที่ทุ่งนิวกิวอิน”
“ข้าก็ไม่รู้เลยว่าทำไม”
“แล้วมูซาชิล่ะ มาก่อนหรือมาหลังอาจารย์น้อย”
“มูซาชิมาก่อน ข้าเห็นยืนอยู่หน้าเนินตรงนั้น”
“มาคนเดียวใช่ไหม”
“คนเดียวขอรับ”
“สู้กันยังไง เอ็งได้แต่ยืนดูแค่นั้นรึ”
“อาจารย์น้อยสั่งข้าว่า หากพลาดพลั้งเสียทีมูซาชิ ให้ข้าช่วยเก็บกระดูกของท่านไป และบอกว่าพวกศิษย์สำนักดาบแห่กันไปที่ทุ่งนิวกิวอินตั้งแต่รุ่งสาง แต่ห้ามไม่ให้ข้าไปบอกอะไรกับพวกนั้นจนกว่าการประลองยุทธ์กับมูซาชิจะแพ้ชนะกันไปข้างหนึ่ง
นักรบย่อมพร้อมที่จะเสี่ยงกับความพ่ายแพ้ได้ทุกเมื่อ ไม่มีอะไรจะเสื่อมเกียรติยิ่งไปกว่าการได้ชัยชนะมาด้วยความขลาดเขลา
อาจารย์น้อยสั่งข้าด้วยเสียงเฉียบขาดว่าอย่าบังอาจเข้ามาช่วย ก่อนก้าวออกไปเผชิญหน้ากับมูซาชิ”
“อืม แล้วยังไง”
“ข้าเห็นมูซาชิยิ้มนิด ๆ และกำลังคิดว่าทักทายอะไรกันนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหนัก ๆ กระทบกันก้องไปทั้งทุ่ง ดาบไม้ของอาจารย์น้อยกระเด็นหวือผ่านตาของข้าที่ลืมโพลงด้วยความตระหนก และในอึดใจเดียวกันนั้นข้าก็เห็นแต่มูซาชิคาดผ้าสีส้มที่หน้าผากผมกระเซิง ยืนเด่นอยู่ตรงนั้นคนเดียว”
2
ฝูงคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านหายไปจากแนวไม้สองฝากทางราวกับมีลมหมุนมากวาดทิ้งไป
ขบวนศิษย์สำนักดาบที่หามร่างเซจูโรนอนครวญครางอยู่บนบานประตูที่ใช้ต่างแคร่หามนั้น มองไกล ๆ ไม่ผิดอะไรกับกองทัพที่พ่ายศึกช่วยกันประคับประคองขุนพลผู้บาดเจ็บคืนถิ่นอย่างสะบักสะบอม
“เอ๊ะ”
คนเดินนำหน้าอุทาน หยุดชะงัก ยกมือขึ้นคลำคอเสื้อก็พบใบสนแห้ง ๆ ติดอยู่จึงมองขึ้นไปที่ยอดไม้ คนอื่นหยุดและมองตาม
ใบสนแห้ง ๆ ร่วงโปรยลงมาทั่งบริเวณแม้บนบานประตูที่ทำเป็นแคร่หาม
ลิงน้อยตัวหนึ่งนั่งจ๋ออยู่บนกิ่งไม้ มองลงมาทำหน้าคล้ายแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้
“โอ๊ย เจ็บ”
คนหนึ่งกุมหน้าร้องลั่นเมื่อถูกใบสนตกลงมาทิ่มเอาจัง ๆ
“บ้าชะมัด”
สบถพลางชักมีดสั้นออกมาขว้างใส่เจ้าลิงน้อย แต่พลาดเป้าเห็นแต่ใบมีดสะท้อนแสงเป็นประกายพุ่งผ่านพุ่มใบหายวับไป
เสียงผิวปากหวีดหวิวดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
เจ้าลิงน้อยทิ้งตัวลงมาแอบอยู่หลังต้นไม้ กระโจนขึ้นไปเกาะอกซาซากิ โคจิโรแล้วไต่ขึ้นไปนั่งจ๋ออยู่บนไหล่นักดาบรูปงามอย่างสง่า
ศิษย์สำนักดาบทั้งขบวนสะดุ้งไม่ตาม ๆ กันเมื่อเห็นโคจิโรยืนเคียงกันอยู่กับอาเกมิที่ใต้ร่มไม้ และมองคนทั้งสองด้วยสายตาที่ใช้มองปรปักษ์
ทางด้านโคจิโรนั้น แม้จะจ้องมองคนเจ็บที่นอนอยู่บนแคร่ แต่ก็มองอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้หัวเราะเยาะหรือทำท่าเย้ยหยันแต่อย่างใด กลับขมวดคิ้วนิด ๆ ด้วยความเป็นห่วงด้วยซ้ำ แต่ศิษย์สำนักโยชิโอกะยังขุ่นเคืองกับถ้อยคำของนักดาบหนุ่มรูปงามเมื่อครู่ก่อนไม่หาย ทุกคนจึงเข้าใจตรงกันว่า
โคจิโรมาหัวเราะเยาะ
ดีที่โยชิดะ เรียวเฮหรือไม่ก็ใครสักคนร้องห้ามเอาไว้ ไม่เช่นนั้นต้องเกิดเรื่องแน่
“หยุดนะ เลิกหาเรื่องได้แล้ว นั่นมันลิงไม่ใช่คน ไปถือสามันทำไม รีบไปเร็ว”
“ช้าก่อน”
โคจิโรวิ่งเข้ามาที่ขบวน และยังไม่ทันที่ทุกคนจะหายตกใจ นักดาบหนุ่มก็ก้มลงไปพูดกับเซจูโรที่นอนโอดครวญอยู่บนแคร่
“เป็นยังไงบ้างท่านเซจูโร พลาดท่าเสียทีมูซาชิใช่ไหม โดนฟันตรงไหน ขอดูหน่อยซิ ตายละ...ที่ไหล่ขวาหรือนี่ ไม่ได้การ กระดูกละเอียดราวกับทรายในถุง ขืนนอนหงายให้คนหามแกว่งไปแกว่งมาอย่างนี้ เลือดที่ท่วม อยู่ในตัว เป็นต้องท่วมเข้าไปในอวัยวะอื่น ๆ ด้วย และอาจขึ้นไปถึงสมอง”
ว่าแล้วก็หันไปสั่งพวกศิษย์ที่ยังไหวตัวไม่ทันยืนงงอยู่รอบ ๆ นั้น ด้วยเสียงเฉียบขาดอย่างที่ทุกคนเคยเจอมาแล้ว
“วางแคร่ลงเดี๋ยวนี้ จะงงอะไรกันอยู่ บอกให้วาง ก็วางลงไป”
สั่งแล้วหันไปบอกกับเซจูโรที่ทำท่าเหมือนใกล้ตายเต็มทีว่า
“ท่านเซจูโร ลุกขึ้นดีไหม ต้องลุกขึ้นได้สิ ข้าดูแล้วแผลไม่ได้หนักหนาอะไร เจ็บแค่แขนขวาแขนเดียวเอง แกว่งแขนซ้ายข้างเดียวก็เดินได้ หรือจะให้ใครเขาเล่าลือกันไปทั่วหรือว่า เซจูโรลูกชายท่านอาจารย์โยชิโอกะ เค็มโป ถูกหามมาบนแผ่นประตูเรือนผ่านถนนใหญ่ของเกียวโตกลับสำนัก คิดดูให้ดี ไม่มีอะไรที่จะทำให้ตนเองเสียชื่อ และทำให้เกียรติภูมิของอาจารย์พ่อเสื่อมเสียไปเท่าการกระทำเช่นว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ควรทำตัวเป็นลูกที่ดีนะ”
เซจูโรเหลือบขึ้น จ้องหน้าโคจิโรตาไม่กระพริบ
แล้วผลุดลุกขึ้นยืนในทันทีทันใดนั้น แขนขวาที่ดูยาวกว่าอีกข้างห้อยลู่ลงมาจากบ่าเหมือนไม่ใช่แขนของตัวเอง
“มิอิเกะ มิอิเกะ อยู่ไหน”
“ขอรับ”
“ตัดเดี๋ยวนี้”
“อะ...อะไรนะ”
“บ้าหรือเปล่า เมื่อกี้บอกแล้วยังมาถามอีก ตัดแขนขวาของข้าเดี๋ยวนี้”
“...แต่”
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะขี้ขลาด งั้น อูเอดะ ช่วยที เร็วเข้า”
“ข้า ข้าก็...”
เห็นดังนั้น โคจิโรจึงสอดขึ้น
“ถ้าไม่ขัดข้อง ข้าขออาสา”
“ดีจริง ช่วยสงเคราะห์ด้วยเถิด”
โคจิโรก้าวเข้าไปที่เซจูโร จับปลายมือขวาที่ห้อยอยู่ยกสูงขึ้นไปพร้อมกับชักดาบสั้นออกมาจากเอว
ทุกคนในที่นั้นได้ยินเสียงประหลาดดังแหวกอากาศมาเข้าหู และยังไม่ทันจะมองหาที่มาของเสียง
แขนขวาของเซจูโรที่ถูกตัดตั้งแต่กระดูกโคนแขนลงมาก็ตกลงพื้น พร้อมกับเลือดสด ๆ ที่พุ่งกระฉูด
3
เซจูโรเสียหลักเซนิด ๆ พวกศิษย์สำนักดาบปราดเข้าไปประคองและช่วยกันกดปากแผลห้ามเลือดคนละมือสองมือ
“ข้าจะเดินกลับเอง”
เซจูโรร้อง หน้าซีดขาวทำให้ดูเหมือนคนตายกำลังกู่ตะโกน
พอออกเดินโดยมีลูกศิษย์ล้อมหน้าล้อมหลังไปได้ราวสิบก้าวก็หยุด และเมื่อมองกลับไปเห็นเลือดหยดเป็นทางบนพื้นดินทุกคนก็ใจเสียไปตาม ๆ กัน
“อาจารย์...”
“อาจารย์น้อย”
และยิ่งไม่พอใจการกระทำของโคจิโรขึ้นอีกหลายเท่า
“ไม่น่าทำอวดดีเข้ามาสั่งนั่นสั่งนี่เลย เรากำลังหามแคร่อยู่ดี ๆ อาจารย์น้อยก็สบายด้วยและก็เร็วกว่าด้วย บ้าชะมัด”
เซจูโรแว่วเสียงบ่นก็ตวาดลั่น
“ข้าจะเดิน”
ว่าแล้วก็ออกเดินไปอีกราวสิบก้าว แต่นั่นไม่ใช่เป็นการเดินด้วยเท้าแต่ด้วยทิฐิมานะแท้ ๆ
แต่กำลังใจก็มีขีดจำกัด
เซจูโรเดินไปได้ไม่เท่าไรก็หมดแรงล้มลงไปในอ้อมแขนของศิษย์
“ไปเรียกหมอมาเร็ว”
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วบรรดาศิษย์ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบช่วยกันหามร่างอาจารย์น้อยที่ไม่มีแรงขัดขืน กลับโรงฝึกเหมือนกับว่าเป็นศพไปแล้ว
โคจิโรมองตามไปจนสุดสายตาแล้วหันมามองอาเกมิที่ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
“เห็นแล้วใช่ไหมอาเกมิ เจ้าคงจะสะใจละสิ”
อาเกมิหน้าขาวซีด เหลือบตามองโคจิโรที่ยืนยิ้มอย่างสบายอารมณ์ คล้ายขุ่นเคือง
“เจ้าพูดติดปากอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่า เจ้าสาปแช่งเซจูโรไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น และเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ มันต้องสาแก่ใจเจ้าแน่นอน นี่เท่ากับว่ามีคนล้างแค้นชายที่คร่าพรหมจรรย์ของเจ้าอย่างไม่ปรานีให้แล้วไม่ใช่หรือ”
“... ... ...”
อยู่ ๆ อาเกมิก็นึกเกลียดขี้หน้าชายชื่อโคจิโรขึ้นมาทันที คิดว่าคน ๆ นี้น่ากลัว น่าสาบแช่งกว่าเซจูโรหลายเท่า
เซจูโรทำให้บางต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำถึงขนาดต้องตราหน้าว่าเป็นคนเลว
เมื่อเทียบกับเซจูโรในแง่นี้แล้ว โคจิโรคือคนเลวในสายตาของนาง แม้จะไม่ใช่เลวในความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไปในสังคมก็ตาม หนุ่มรูปงามคนนี้ไม่ยินดีกับความสุขของผู้อื่น ไม่สนใจมองความเดือดร้อนหรือความทุกข์ของผู้อื่นแต่กลับสนุกที่เห็นใครเดือดร้อนหรือเป็นทุกข์ คนแบบนี้เลวร้ายยิ่งกว่าพวกโจรสลัดหรือโจรป่าที่คอยปล้นสดมภ์ผู้คนเสียอีก ควรแก่การระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
“กลับกันเถอะ”
โคจิโรที่ยังมีเจ้าลิงน้อยเกาะอยู่บนบ่าชวนขึ้น ขณะที่อาเกมิกำลังอยากวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกล แต่กลับรู้สึกไม่กล้าขึ้นมาเฉย ๆ
“ถึงจะอยากตามหามูซาชิก็ไม่มีประโยชน์ คนอย่างมูซาชิไม่มาโอ้เอ้อยู่แถวนี้ให้เสียเวลาหรอก”
โคจิโรพูดคล้ายรำพึงกับตัวเองก่อนออกเดินนำหน้าไป
นี่เราจะตามนายคนชั่วไปถึงไหน ทำไมได้โอกาสแล้วถึงไม่หนีไปให้พ้น
อาเกมิถามตัวเองอย่างโกรธ ๆ ขณะเดินตามชายที่เธอปักใจคิดว่าเป็นคนชั่วต่อไป
ส่วนเจ้าลิงน้อยบนบ่าโคจิโร พอเจ้าของออกเดินมันก็เปลี่ยนท่าเป็นหันมาข้างหลัง ร้องเจ๊ยก ๆ แล้วหัวเราะเห็นเขี้ยวขาวกับนางอย่างเป็นมิตร
อาเคมิยิ้มตอบด้วยความรู้สึกของเพื่อนร่วมชะตากรรม เพราะตนคงจะต้องติดสอยห้อยตามโคจิโรต่อไปเช่นเดียวกับเจ้าลิงน้อยตัวนี้
ใจหนึ่งของอาเกมิรู้สึกสงสารเซจูโรเมื่อเห็นสภาพที่สุดแสนจะน่าเวทนา
ใจหนึ่งก็สับสนอยู่กับความรักและความชังที่มีต่อทั้งเซจูโรและโคจิโร
ส่วนใจจริงนั้นอยู่ที่มูซาชิไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


กำลังโหลดความคิดเห็น