xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอนผู้พิชิตอาจารย์น้อย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
จะไม่ให้ศิษย์เอกทั้งสิบอันมีอูเอดะ มิอิเกะ โอตะ นัมโบ เป็นต้น อารมณ์เสียและจับจ้องไปยังผู้พูดนั้นดูแข็งกร้าวน่าสพรึงได้อย่างไร ในเมื่อซาซากิ โคจิโรมายืนวางท่าเป็นสง่าอยู่กลางทุ่งและบังอาจบงการพวกตนเช่นนี้
“การที่มูซาชิและเซจูโรยังไม่มาถึงตามนัดทั้งสองคนเช่นนี้ นับว่าเป็นโชคดีของสำนักดาบโยชิโอกะ รีบแยกย้ายออกไปตามหาอาจารย์น้อยของพวกเจ้าโดยด่วน เมื่อพบตัวแล้วรีบพากลับไปโรงฝึกอย่าปล่อยให้มาที่นี่ได้”
เท่านี้ก็พอที่จะทำให้บรรดาศิษย์เอกโกรธจัดอยู่แล้ว แต่โคจิโรก็ยังไม่หยุด
“คำแนะนำของข้าจะช่วยกอบกู้วิกฤติที่จะเกิดแก่อาจารย์น้อยและสำนักดาบของพวกเจ้าอย่างไม่มีอะไรอื่นจะมาช่วยได้ ข้าขอบอกให้พวกเจ้าสำเนียกเอาไว้ว่าข้าคือทูตสวรรค์ผู้ทำนายอนาคตของสำนักดาบโยชิโอกะ และเสียใจที่ต้องทำนายให้ได้ยินกันชัด ๆ ไปเลยว่า ถ้าปล่อยให้มีการประลองยุทธ์ขึ้นจริง ๆ เซจูโรจะเป็นฝ่ายปราชัยและเสียชีวิตด้วยน้ำมือของนักดาบที่ชื่อมูซาชิแน่นอน”
ใครจะทนฟังวาจาโอหังถึงขนาดนี้ต่อไปได้ อูเอดะ เรียวเฮบรรดาลโทสะจนเลือดฉีดขึ้นไปคั่งอยู่บนใบหน้าจนเขียวคล้ำ กัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องไปที่หน้าโคจิโรราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
มิอิเกะ จูโรซาเอมอนหนึ่งในสิบศิษย์เอก ปราดออกจากกลุ่มเป็นคนแรก ก้าวพรวดเดียวถึงตัวเจ้าโวหาร ยืดอกขึ้นแทบจะปะทะกันและตวาดเสียงก้องไปทั้งท้องทุ่ง
“หยุด ไอ้นักดาบปากชั่ว”
พร้อมกับตวัดศอกขวาขึ้นมาที่หน้าของคู่อริในระยะประชิด เป็นสัญญาณว่าจะได้เห็นการพันตูกันแน่ในอีกอึดใจต่อไป
โคจิโรยืนยิ้มจนเห็นลักยิ้มเจ้าเสน่ห์ และเพราะเป็นชายร่างสูงเพรียวจึงทำให้ดูคล้ายกำลังมองต่ำลงมายิ้มเยาะ
“ข้าพูดอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจรึ”
“เออสิวะ”
“งั้นข้าขอโทษ”
นักดาบรูปงามทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการคำแนะนำของข้า จะทำอะไรก็เชิญตามสบาย”
“อย่ามาทำสะเออะ ไม่มีใครลดตัวลงไปขอให้คนอย่างเจ้าช่วยหรอก รู้เอาไว้”
“คงไม่ใช่ละมัง จำไม่ได้แล้วรึที่พวกเจ้าทุกคนนี่แหละ แล้วก็เซจูโรด้วย เอาอกเอาใจข้าอย่างกับอะไรดี ตอนเชิญข้าจากทำนบเคมะไปที่โรงฝึกวิชาดาบสำนักโยชิโอกะที่ชิโจ ล้อมหน้าล้อมหลังเลยทีเดียว”
“มันก็แค่เป็นการปฏิบัติต่อแขกของเจ้าสำนักตามธรรมเนียม อย่ามาผยองพองขนที่นี่”
“ฮะ ฮะ ฮะ พอ ๆ ข้าไม่อยากวิวาทกับพวกเจ้าให้เสียเวลา แต่คำทำนายของข้าจะเป็นบ่อเกิดแห่งน้ำตาของพวกเจ้าในภายหลัง ข้าประเมินด้วยสายตาแล้วว่าท่านเซจูโรอาจารย์น้อยของพวกเจ้ามีโอกาสชนะไม่ถึงหนึ่งในร้อย ทันทีที่เห็นชายชื่อมูซาชิที่สะพานโกโจเมื่อเช้าวันที่หนึ่งของปีใหม่ ข้ารูสึกขึ้นมาทันทีเลยว่าไม่ได้การแน่ ในสายตาของข้า ป้ายประกาศการประลองยุทธ์ที่พวกเจ้าปักไว้ที่เชิงสะพาน ไม่ผิดอะไรกับป้ายแจ้งข่าวมรณภาพของตระกูลโยชิโอกะ ที่พวกเจ้าเขียนด้วยมือตนเอง แต่จะว่าไปก็เป็นธรรมดาของโลกที่มนุษย์ไม่มีทางล่วงรู้ว่าจะถึงจุดจบเมื่อไรและอย่างไร”
“หยุด ไอ้นักดาบสามหาว การประลองยุทธ์ครั้งนี้มีขึ้นก็เพื่อขจัดเสี้ยนหนามของตระกูลโยชิโอกะให้สิ้นไป”
“คนโชคร้ายส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนี้คือไม่ยอมรับแม้แต่ความปรารถนาดี วันนี้ข้าบอกแล้วไม่เชื่อก็ตามใจ และคิดว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้เจ้าได้มาฟังข้าอีกแน่ อีกไม่นานตาของเจ้าก็จะสว่าง และพบว่าทุกอย่างสายเกินไปแล้ว”
“บอกให้หยุด”
ศิษย์เอกตะคอกสุดเสียงจนน้ำลายกระเด็นเต็มหน้านักดาบที่ประชิดกันอยู่ โทสะของนักดาบกว่าสี่สิบพุ่งถึงขีดสุด แค่ขยับตัวคนละก้าวเงามรณะก็ครอบคลุมจนดำมืดไปทั่วทุ่งร้าง
โคจิโรเคลื่อนไหวด้วยความมั่นใจ
พริบตาต่อมา...นักดาบรูปงามเบี่ยงตัวหลบจูโรซาเอมอนที่ประจันหน้ากันอยู่ในระยะประชิดด้วยมาดของหนุ่มสำอาง ออกไปยืนปักหลักอย่างสงวนท่าทีอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาเป็นประกายวาวฉายแววนักสู้ผู้ไม่เคยถอย ในเมื่ออีกฝ่ายแปลความหวังดีของตนเป็นเจตนาร้ายก็ช่วยไม่ได้
อยากชวนทะเลาะก็เข้ามาเลยแล้วจะหาว่าทำไมไม่เตือน
การเคลื่อนไหวของโคจิโร หากตีความในแง่ลบก็คือนักดาบรูปงามผู้นี้กำลังจะแย่งความสนใจของฝูงชน จากการประลองยุทธ์ระหว่างมูซาชิกับเซจูโรมาเป็นของตน
ยั้งไม่อยู่แล้ว
เลือดนักสู้ฉีดแรงจนเปล่งประกายวาววับออกมาทางดวงตาคมงามทั้งคู่ของซาซากิ โคจิโร
2
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้พอที่จะเห็นความเคลื่อนไหวตรงกลางท้องทุ่ง ร้องบอกต่อ ๆ กันว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น แม้ไม่ใช่คู่ที่พวกตนมุ่งมาดู แต่ท่าทางจะตื่นเต้นน่าดู
ขณะที่กำลังกล่าวขานกันเซ็งแซ่อยู่นั้น ลิงน้อยตัวหนึ่งแทรกตัวผ่านฝูงคนที่มุมกันอยู่แน่นขนัด กระโดดไปบ้างกลิ้งไปบ้างเหมือนก้อนอะไรกลม ๆ ตามเด็กสาวนางหนึ่งที่วิ่งไปสะดุดไปยังกลางทุ่ง
เด็กสาวนางนั้นคืออาเกมินั่นเอง
“โคจิโร ท่านโคจิโร”
เสียงแหลมสูงจนเกือบกรี๊ดแทรกเข้ามาในบรรยากาศที่ใกล้จะนองเลือดอยู่อีกไม่กี่อึดใจ
ศิษย์สำนักโชยิโอกะและโคจิโรหันขวับไปทางต้นเสียงราวกับนัดกันไว้
“โคจิโร ท่านมูซาชิอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่หรือเปล่า”
“อาเกมิ”
เจ้าหนุ่มพึมพำเหมือนไม่เชื่อตาตัวเอง ขณะที่ดวงตาทุกคู่ในที่นั้นจับจ้องมาที่นางและเจ้าลิงน้อย
“อาเกมิ มาที่นี่ทำไม ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าอย่ามา”
โคจิโรดุเสียงฝาด
“ก็มันร่างกายของข้านี่ อยากมาก็มา จะทำไม”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้”
โคจิโรผลักไหล่อาเกมิเบา ๆ ก่อนสั่งเสียงเฉียบขาด
“กลับไป”
อาเกมิสั่นหัวดิก พูดด้วยเสียงปนสะอื้น
“ไม่กลับ ท่านช่วยเหลือข้าให้พ้นภัยก็จริง แต่ข้าไม่ใช่ผู้หญิงของท่าน ท่าน...”
คราวนี้สาวน้อยสะอื้นออกมาดัง ๆ อย่างน่าเวทนา ทำเอาพวกผู้ชายที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือใจอ่อนไปตาม ๆ กัน
“ท่านทำกับข้าได้ยังไง”
เสียงปนสะอื้นของอาเกมิเจือความโกรธเกรี้ยวไม่แพ้พวกผู้ชายในหลาย ๆ กรณี
“ท่านมัดข้าทิ้งไว้ที่ชั้นบนของโรงเตี๊ยมซูซูยะได้ยังไง ข้าบอกว่าเป็นห่วงท่านมูซาชิท่านก็ทรมานข้าแบบนั้นเหมือนกับโกรธเกลียดข้ามานาน แล้ว...แล้วเมื่อคืนนี้ยังบอกข้าว่าในการประลองยุทธ์วันนี้ท่านมูซาชิต้องสิ้นชื่อแน่ เพราะหากโยชิโอกะ เซจูโรเกิดพลาดพลั้งท่านก็จะเข้าช่วยเป็นดาบที่สอง และพอข้าก็ร้องไห้ไม่หยุดจนถึงเช้าท่านก็จับข้ามัดทิ้งไว้บนชั้นสองที่โรงเตี๊ยม”
“บ้าไปแล้วรึอาเกมิ พูดออกมาได้ยังไงต่อหน้าคนตั้งมากมาย”
“บ้าก็บ้า ข้าจะพูด ใคร ๆ เขาจะได้รู้ว่ามูซาชิคือชายในดวงใจของข้า ข้าจะทนนิ่งอยู่ได้ยังไงทั้งที่มูซาชิกำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นตายเท่ากันอย่างนั้น ข้าจึงร้องลงมาชั้นบนของโรงเตี๊ยมขอให้คนที่ผ่านไปมาขึ้นมาช่วยข้าที...ข้าจะต้องพบกับท่านมูซาชิให้ได้ ต้องพบให้ได้เข้าใจไหม ท่านมูซาชิอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน บอกข้าทีเถิด”
“... ... ....”
โคจิโรพูดไม่ออกได้ทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในปาก ไม่รู้จะเถียงอาเกมิยังไงดี
ถึงจะพูดไปร้องไห้ไปแต่คนที่ได้ยินนางพูดก็พอจะเชื่อว่าที่นางพูดไม่ใช่เรื่องโกหก และหันมาสงสัยว่าเจ้าหนุ่มรูปงามพูดจาโอหังที่ชื่อโคจิโรคนนี้ คงจะสวมบทพ่อพระลวงสาวน้อยให้หลงเชื่อน้ำคำ และพอได้ทีก็กลั่นแกล้งรังเกให้นางต้องทุกข์ทรมานทั้งใจและกาย โดยเห็นเป็นเรื่องสนุก
โคจิโรอ่านสายตาของคนรอบข้างออก และนึกโกรธอาเกมิอย่างบอกไม่ถูกที่เอาเรื่องของตนออกมาประจานโจ่ง แจ้ง แต่ก็พูดไม่ออกได้แต่ถลึงตาปรามเอาไว้
ขณะที่กำลังตกที่นั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้นเอง ทามิฮาจิที่คอยติดสอยห้อยตามเซจูโรก็วิ่งหน้าตาตื่นจากหมู่ไม้ระหว่างทางเข้าเมืองตรงเข้ามาที่กลางทุ่ง โบกไม้โบกมือพลางตะโกนลั่น
“แย่แล้ว แย่แล้ว ทุกคนมาทางนี้เร็ว อาจารย์น้อยเสียท่ามูซาชิ ถูกฟันไม่เป็นท่าเลย ไปช่วยกันเร็ว”
3
ศิษย์สำนักดาบทั้งกลุ่มตัวเกร็งหน้าถอดสีไปตาม ๆ กันเมื่อได้เสียงตะโกนลั่นเหมือนคนบ้าของทามิฮาจิ
“อะไรนะ”
ทุกคนถามเกือบเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนซักเจ้าหนุ่มกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก
“อาจารย์น้อย เสียท่ามูซาชิอย่างนั้นรึ”
“ที่ไหน เมื่อไหร่ พูดให้ดี ๆ นะ”
“จริงรึ ทามิฮาจิ”
ยังไม่มีใครทำใจให้เชื่อได้ว่าข่าวที่ทามิฮาจิทะเร่อทะร่าเข้ามาแจ้งนั้นเป็นเรื่องจริง
ก็จะให้เชื่อได้ยังไงว่าเซจูโร ซึ่งเป็นคนบอกพวกตนเองว่าจะมาพบกันตรงนี้เพื่อเตรียมตัวก่อนถึงเวลาประลองยุทธ์ จะไปพบกับมูซาชิสองต่อสองและประดาบกันจนแพ้ชนะโดยที่ไม่มีผู้ใดเป็นสักขีพยาน
“เร็วเข้าซีขอรับ จะมางงอะไรกันอยู่”
ทามิฮาจิเจ้าหนุ่มเร่ง ระล่ำระลักจนพูดแทบไม่เป็นภาษา แล้ววิ่งนำหน้ากลับไปทางเดิมโดยไม่หยุดพักหายใจ
แม้จะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ทุกคนก็คิดว่าในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ทามิฮาจิคงกล้ามาทำตลกหรือเข้าใจอะไรผิด จึงพากันเร่งฝีเท้าวิ่งตามทามิฮาจิราวกับฝูงสัตว์ป่าวิ่งหนีไฟที่กำลังลามทุ่ง มุ่งไปทางเหนือของเส้นทางสานทัมบะ
ทามิฮาจิวิ่งนะขบวนศิษย์นักดาบไปได้ครู่หนึ่งก็เลี้ยวไปทางขวาของทุ่งร้าง บุกสวบ ๆ ลงไปในพงหญ้าทำเอานกนา ๆ ชนิดที่กำลังเพรียกหากันอย่างสงบสุข แตกตื่นโผบินขึ้นฟ้ากันเป็นฝูง เจ้าหนุ่มบุกเข้าไปจนถึงเนินดินรูปทรงคล้ายสุสานเก่าแก่
“อาจารย์น้อย อาจารย์น้อย”
ทามิฮาจิร้องเรียกแล้วคุกเข่าลงไปกับพื้นดินตรงนั้นก่อนเค้นเสียงเรียกออกมาอีก
“อาจารย์น้อย อาจารย์น้อยขอรับ”
ศิษย์สำนักกรูตามกันเข้าไปทั้งกลุ่ม แล้วก็ต้องหยุดชะงักเหมือนถูกตรึงด้วยตะปูไปตาม ๆ กัน
“เฮ้ย”
“อาจารย์น้อย”
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ นักรบในชุดกิโมโนสีน้ำเงินเข้ม มีสายหนังคาดรั้งแขนเสื้อเอาไว้ หน้าผากคาดแถบผ้าสีขาวกันผมและกันเหงื่อเอาไว้ นอนฟุบหน้านิ่งอยู่ในพงหญ้า
“อาจารย์น้อย”
“ท่านเซจูโร ไม่เป็นอะไรนะขอรับ พวกเราเอง”
“ศิษย์สำนักโยชิโอกะเองขอรับ”
พอได้สติหลายคนก็ปราดเข้าไปประคอง และพอพลิกร่างให้หงายขึ้นมาก็พบว่าคอพับไปทางหนึ่งราวกับว่ากระดูกคอหัก
คนที่สติดีกว่าคนอื่นรีบสำรวจดูไปทั่วร่างของเซจูโร แต่ก็ไม่พบเลือดเลยสักหยด ไม่ว่าจะที่แถบผ้าขาวคาดหน้าผาก ที่ตัวเสื้อกิโมโนที่สวมใส่ หรือแม้แต่ตามต้นหญ้าบริเวณรอบ ๆ แต่คิ้วและดวงตาที่ปิดสนิทอยู่มีร่องรอยของความเจ็บปวดแสนสาหัสหลงเหลืออยู่ และปากซีดเป็นสีม่วงราวสีขององุ่นป่า
“ยังมีลมหายใจอยู่รึเปล่า”
“มี แต่อ่อนมาก”
“รีบพาอาจารย์น้อยออกไปที่นี่ก่อน”
“เร็วเข้า มาช่วยกันหาม”
ศิษย์ร่างกำยำคนหนึ่งปราดเข้ามายกแขนขวาของอาจารย์น้อยขึ้นมาพาดไหล่
และพอตั้งท่าจะยกตัวขึ้นแบกหลัง เซจูโรก็ร้องลั่น
พวกศิษย์ใจมาเป็นกองเมื่อเห็นอาจารย์น้อยของตนฟื้นขึ้นมาร้องได้
“ไปหาแผ่นประตูมาทำเป็นแคร่หาม แถวนี้มีไหม ไปหามาเร็ว”
ศิษย์เอกคนหนึ่งร้องสั่ง พร้อมกับวิ่งนำศิษย์อีกสามสี่คนออกไปทางถนน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับบานประตูกันฝนแผ่นหนึ่งที่ได้มาจากบ้านของคนแถวนั้น
ทุกคนช่วยกันยกร่างบอบช้ำของเซจูโรขึ้นนอนแผ่อยู่บนแผ่นประตู และพอฟื้นตัวขึ้นมีแรงหายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ก็ทำว่าจะดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด บรรดาศิษย์จึงต้องจำใจถอดผ้าคาดกิโมโนออกมาใช้เป็นเชือกรัดร่างคนเจ็บตรึงเอาไว้ทั้งสี่มุม แล้วหามออกไปจากตรงนั้นเงียบ ๆ เหมือนกับกำลังหามร่างไปเข้าพิธีศพ ไม่สนใจกับอาจารย์น้อยของตนที่ดิ้นเร่า ๆ จนบานประตูแทบแตกอยู่บนนั้น
“เจ็บ บอกว่าเจ็บไง ใครก็ได้ช่วยที มูซาชิไปไหน มันไปแล้วรึ เจ็บหัวไหล่ขวาลงไปถึงข้อมือ โอ๊ย...ช่วยด้วย กระดูกต้องหักปี้บ่นแน่ โอ๊ยทนไม่ไหวแล้ว
พวกเจ้าช่วยข้าที เจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว ช่วยตัดแขนข้างขวาของข้าออกไป ตัดตั้งแต่หัวไหล่ลงไปเลย ข้าไม่ต้องการมันแล้ว ใครก็ได้ตัดแขนขวาของข้าให้ที ตัด ตัดเลย”
เซจูโรนอนหงายมองฟ้า ร้องครวญครางไม่หยุดปากอย่างน่าเวทนายิ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น