ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เมื่อเดินมาด้วยกันมาถึงต้นทางลงเนินลาดยาวนางาซากะบนเส้นทางสายทัมบะ ไม่ว่าใครจะต้องชี้ชวนชมความงามของทิวทัศน์ในมุมกว้างสุดสายตากันทั้งนั้น และที่เห็นเป็นประกายราวสายฟ้าลิบ ๆ อยู่เหนือทิวไม้ คือหิมะที่ยังหลงเหลืออยู่ตามหลืบเขาที่โอบล้อมชานเมืองด้านตะวันตกเฉียงเหนือของนครหลวงเกียวโต
“ก่อกองไฟกันดีไหม”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
วันที่เก้าของปีใหม่ต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังเยียบเย็นบางเวลาอย่างเช่นวันนี้ยังหนาวเหน็บราวกับกลางฤดูหนาว ลมที่พัดลงมาจากทิวเขาคินูงาซะไม่ขาดสาย เสียงนกป่าเพรียกหากัน และแม้แต่ดาบในฝักก็ยังช่วยกันระดมความเยือกเย็นให้แก่ผิวกายจนต้องเรียกหาความอบอุ่น
“เออ เอ็งก่อไฟเก่งนี่ ลุกโชนทีเดียว ค่อยยังชั่วหน่อย”
คนหนึ่งเอ่ยชม อีกคนหนึ่งท้วงติง
“ลูกไฟกระเด็นออกอย่างนั้นต้องระวังกันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวเกิดไฟป่าขึ้นละก็จะยุ่งกันใหญ่”
“ไม่ต้องห่วงถึงขนาดนั้นหรอก แม้ไฟป่าจะลุกลามแค่ไหนก็ไปไม่ถึงเกียวโตแน่”
กองไฟที่ก่อขึ้นตรงชายทุ่งได้เชื้อเพลิงอย่างดีจึงคุโพลงส่งเสียงเปรี๊ยะประ แสงจากเปลวไฟที่พลุ่งสูงจนเกือบถึงดวงอาทิตย์ยามเช้า สะท้อนจับใบหน้าชายฉกรรจ์กว่าสี่สิบคนที่ล้อมรอบอยู่ทำให้ดูเหี้ยมเกรียมขึ้นไปอีก
“เฮ้ย ๆ ชักจะร้อนไปแล้ว”
คราวนี้ถึงกับมีคนบ่น
“พอได้แล้ว”
อูเอดะ เรียวเฮปัดควันไฟเป็นพัลวัน ร้องห้ามคนที่กำลังจะโยนหญ้าแห้งลงไปในกองไฟเสียงเขียว
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะผิงไฟกันอยู่ครู่ใหญ่
“น่าจะกว่าหกนาฬิกาแล้ว”
ใคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“จริงรึ”
หลายคนแหงนหน้าขึ้นสำรวจดูทิศทางดวงอาทิตย์
“จวนจะได้เวลานัดแล้ว”
ใช่สิ... ทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวง วันที่เก้าของปีใหม่ เวลาเช้าเจ็ดนาฬิกา
“อาจารย์น้อยยังไม่มาเลย ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะนี่”
“เดี๋ยวก็มา ไม่ต้องห่วง”
“ใช่ ได้เวลาที่ควรมาแล้วนี่”
คำพูดปลอบใจช่วยให้บรรดาศิษย์สำนักดาบเงียบไปได้ แต่คนพูดเองกลับหน้าเครียดด้วยความกังวลกว่าใคร ๆ กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขได้แต่ชะเง้อมองไปสุดทางเดินสายที่ทอดมาจากนครหลวง อกใจอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ขณะที่กำลังวิตกกังวลกันอยู่นั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงหายใจครืดคราดของวัวดังใกล้เข้ามา จึงนึกขึ้นได้ว่าละแวกที่ชื่อนิวกิวอินนี้เคยเป็นทุ่งเลี้ยงวัวของราชสำนักมาก่อน ตอนนี้แม้เลิกทำการและปล่อยรกร้างไปแล้ว แต่พอสาย ๆ ก็จะมีวัวจรจัดมาหาหญ้ากินเป็นอาหารและถ่ายมูลกันเหม็นคลุ้ง
“ใกล้เวลาอย่างนี้ มูซาชิอาจมาถึงทุ่งเร็นไดจิแล้วก็ได้นะ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น
“ทุ่งเร็นไดจิอยู่ใกล้แค่นี้เอง ไม่มีใครคิดจะไปดูหน่อยรึไง”
“จะให้ไปสอดแนมดูท่าทีของมูซาชิอย่างนั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะซี”
ไม่มีใครขยับ แต่ละคนทำไม่รู้ไม่ชี้ยืนผิงไฟรมควันกันเงียบกริบ
“แต่ อาจารย์น้อยบอกว่าจะมาเตรียมตัวให้พร้อมกันที่นี่ก่อนออกไปที่ทุ่งเร็นไดจิ ข้าคิดว่ารออีกหน่อยหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรดีกว่า”
“ไม่ผิดขั้นตอนแน่นะ”
“ต้องไม่ผิดแน่นอน เพราะข้าได้ยินมากับหูตอนที่อาจารย์น้อยบอกท่านอูเอดะว่าอย่างนั้นเมื่อคืนนี้”
อูเอดะ เรียวเฮ ยินฟังอยู่ด้วยจึงยืนยัน
“ใช่ และมูซาชิอาจมาถึงที่นัดพบก่อนแล้วก็ได้ และข้าคิดว่าอาจารย์เซจูโรของเราคงตั้งใจมาช้า เพราะหวังจะให้คู่อริหงุดหงิดและประสาทเสียที่ต้องรอ ดังนั้นข้าคิดว่าเราอย่าเพิ่งทำอะไรดีกว่า หากเคลื่อนไหวไม่ถูกจังหวะ ทำให้ชาวเมืองเข้าใจผิดคิดว่าพวกเรายกพวกมารุมคู่ประลองฝีมือของอาจารย์น้อยแล้วละก็ สำนักดาบโยชิโอกะจะต้องเสียชื่อ และพวกเราก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน และอีกอย่างมูซาชิก็เป็นแค่นักดาบพเนจรไม่น่ามีพิษสงอะไร เราคอยดูสถานการณ์กันอยู่เงียบ ๆ จนกว่าอาจารย์น้อยจะมาดีกว่า”
2
เช้าวันที่เก้าของปีใหม่
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะมาชุมนุมกันอยู่ที่ทุ่งร้างนิวกิวอินสี่สิบกว่าคน ซึ่งแม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสำนักดาบอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เมื่อดูหน้าคนในกลุ่มแล้วจะเห็นได้ว่ามีแต่นักดาบระดับหัวกระทิของโรงฝึกวิชาดาบชิโจทั้งนั้น โดยเฉพาะอูเอดะ เรียวเฮและศิษย์เอกทั้งสิบ
เมื่อคืนก่อน เซจูโรอาจารย์น้อยลั่นคำขาดเอาไว้ว่า
ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นดาบมือสอง
ส่วนศิษย์สำนักดาบที่เคยเห็นฝีมือมูซาชิมาก่อนตอนที่มาท้าทายถึงสำนักตนเมื่อปีก่อนนั้น แม้จะไม่คิดว่ามูซาชิเป็นนักดาบที่ไม่มีพิษสงอะไร แต่ก็เชื่อว่าเซจูโรอาจารย์น้อยของพวกตนจะไม่พ่ายแพ้ในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ จนต้องมีใครเข้าช่วยเป็นดาบมือสอง
ศิษย์สำนักดาบทุกคนมั่นใจอาจารย์น้อยต้องชนะแน่นอน แต่ที่ยกขบวนมาชุมนุมกันที่ทุ่งร้างทางเปลี่ยวแห่งนี้ก็เพื่อคุมเชิงเอาไว้กรณีที่เกิดเหตุผิดพลาดบานปลายร้ายแรง
ยิ่งกว่านั้น การที่ได้ปักป้ายตอบรับคำท้าของมูซาชิ พร้อมแจ้งวันเวลาและสถานที่ประลองยุทธ์อย่างชัดเจนที่เชิงสพานโกโจซึ่งผู้คนแทบทั้งนครหลวงจะต้องผ่านไปมาในวันปีใหม่นั้น ก็เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะประกาศแสนยานุภาพของสำนักดาบโยชิโอกะและชื่อเซจูโรผู้เป็นเจ้าสำนักให้เกริกก้องทั่วไป
แม้เซจูโรจะลั่นคำขาดว่าไม่ต้องการกำลังหนุน แต่บรรดาศิษย์เอกก็พร้อมใจกันยกขบวนไปเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ที่ทุ่งร้างซึ่งห่างจากทุ่งเร็นไดจิสนามประลองยุทธ์ไม่มากนักด้วยความสมัครใจ และกำลังคอยอาจารย์น้อยกันอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ใกล้เวลานัดประลองยุทธ์เข้ามาทุกทีแล้ว แต่เซจูโรก็ยังไม่มา
“ท่าจะไม่ได้การเสียแล้ว”
บรรดาศิษย์ที่สงบจิตสงบใจลงได้ด้วยคำชี้แจงเหตุผลของอูเอดะ เรียวเฮ เริ่มจะทนไม่ได้และบ่นพึมพำขึ้นมาทีละคนสองคนจนเกิดเสียงฮึมฮัมราวฝูงผึ้ง ส่วนชาวเมืองที่แห่กันมาดูการประลองยุทธ์ พอเห็นศิษย์สำนักดาบมาชุมนุมกันเป็นกลุ่มใหญ่ที่ทุ่งร้างนิวกิวอินเข้าก็ชักไม่แน่ใจ หันไปถามกันเซ็งแซ่ว่าเขาจะประดาบกันที่ไหนแน่
“แล้วยังไง จะประลองยุทธ์กันที่นี่รึ”
“โยชิโอกะ เซจูโร อยู่ตรงไหน ช่วยบอกข้าที”
“ยังไม่เห็นนะ”
“อ้าว แล้วใครนะที่เป็นคู่ต่อสู้”
“มูซาชิไง ยังไม่เห็นเหมือนกันนะ”
“แล้วนักดาบกลุ่มนั่นล่ะ”
“คงเป็นพวกนักดาบมือสองละมัง”
“อะไรกันวะ มาแต่พวกนักดาบมือสอง และมือหนึ่งล่ะไปไหน ทั้งมูซาชิและเซจูโร ยังไม่เห็นหน้าเลย”
เมื่อเห็นคนจับกลุ่มกันที่ไหนผู้คนก็ย่อมหลั่งไหลมารวมกลุ่มด้วยเป็นธรรมดา
ที่ทุ่งร้างแห่งนี้ก็เช่นกัน ไม่นานก็เนืองแน่นไปด้วยพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น เสียงโจษขานถามตอบกันกันสับสนไม่รู้ว่าใครถามและไม่รู้จะตอบใคร
ยังไม่มากันอีกรึ...ไหน ไหน คนไหนมูซาชิ
แล้วเซจูโรล่ะคนไหน
ฝูงคนกลุ้มรุมกันหน้าสลอนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้รอบทุ่งร้างแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้บริเวณที่ศิษย์สำนักดาบจับกลุ่มกันอยู่
โจทาโรพกดาบไม้ยาวเกินตัว เดินเหลียวหน้าหลังอยู่ในกลุ่มชาวเมือง
“อยู่ไหนหว่า”
เจ้าหนุ่มน้อยเดินย่ำเท้าแรง ๆ ลงบนพื้นดินที่แห้งผากจนฝุ่นตลบ กวาดตาหาไปรอบท้องทุ่ง
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น โอซือน่าจะรู้เรื่องนี้นี้นี่นา และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้มาที่บ้านท่านคาราซูมารุอีกเลย”
ใจจริงโจทาโรอยากพบมูซาชิมากกว่า และคิดว่าโอซือต้องมาที่นี่แน่เพราะต้องห่วงกังวลว่ามูซาชิจะแพ้หรือชนะ
แต่กลับไม่เห็นหน้าเช่นนี้ก็เลยต้องออกเดินตามหานางก่อน
3
ผู้หญิงใคร ๆ ก็ว่าใจปลาซิวแต่เป็นแผลเล็ก ๆ ที่นิ้วก้อยก็หน้าซีดเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องความหายนะถึงเลือดตกยางออกของผู้อื่นแล้วละก็ พวกนางดูได้อย่างหน้าตาเฉยกว่าพวกผู้ชายเสียอีก
การประลองยุทธครั้งนี้ก็เช่นกัน พอได้ข่าวพวกผู้หญิงในนครหลวงต่างตาตื่นหูผึ่งกันเป็นแถว และพอถึงวันจริงก็จูงมือมารุมดูกันเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง มองไปที่ไหนก็เห็นแต่ผู้หญิงหันหน้าเข้าโจษขานกัน บ้างก็ซุบซิบบ้างก็อวดตัวว่ารู้ดีเสียงดังไปทั่ว
โจทาโรเดินหาโอซือไปรอบ ๆ ชายทุ่งแต่ก็ไม่พบ
แปลกจัง หรือว่าไม่สบายตั้งแต่แยกทางกันบนสะพานโกโจในวันปีใหม่
เจ้าหนุ่มน้อยคิดเดาไปต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็มาลงที่แม่เฒ่าสารพัดพิษ
โอซือถูกยายเฒ่าโอซูงิหลอกเอาแน่เลย สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมถึงได้ทำดีด้วย โอซือคงคิดว่ากลับตัวกลับใจได้แล้วถึงได้ตามไปง่าย ๆ
ยิ่งคิดเช่นนั้น โจทาโรก็ยิ่งห่วงกังวลขึ้นอีกเป็นหลายเท่าจนแทบทนอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกไม่ได้
เจ้าหนุ่มน้อยเป็นห่วงโอซือมากกว่าห่วงการแพ้ชนะของมูซาชิในการประลองยุทธ์ครั้งนี้เสียอีก
เพราะถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว โจทาโรเชื่อมือครูดาบของตนคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข
คนเป็นร้อยเป็นพันที่มาเฝ้าดูการประลองยุทธ์อาจเชื่อว่าวันนี้เซจูโรต้องเป็นผู้กำชัยชนะ
และคงจะมีโจทาโรคนเดียวเท่านั้นที่ปักใจเชื่อว่า
ครูข้าต้องชนะแน่
ภาพการต่อสู้ของมูซาชิกับกลุ่มพระนักทวนแห่งสำนักโฮโซอินที่ทุ่งฮันเนียะยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของหนุ่มน้อยโจทาโร
ถึงจะรุมกันเข้ามาทั้งกลุ่ม ครูข้าก็ไม่แพ้
โจทาโรเชิดหน้าท้าทายศิษย์สำนักโอชิโอกะที่มาเกาะกลุ่มคุมเชิงอยู่ที่ทุ่งร้างอยู่ในใจ
เจ้าหนุ่มน้อยเชื่อฝีมือครูยิ่งนักจึงไม่กังวลเลยสักนิด
ใจห่วงแต่โอซือ ไม่ได้ผิดหวังที่นางไม่มาดูการประลองยุทธ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของชายอันเป็นที่รัก แต่สังหรณ์ใจว่าจะประสบเหตุอันเป็นอันตรายมากกว่า
ก่อนเดินตามแม่เฒ่าโอซูงิไปจากสะพานโกโจ โอซือหันมาบอกว่า
โจทาโร ตกลงข้าจะตามแม่เฒ่าไปที่โรงเตี๊ยมและจะหาโอกาสกลับไปที่บ้านคาราซูมารูเป็นครั้งคราว เจ้าช่วยแจ้งคนที่บ้านนั้นด้วย ส่วนเจ้าก็ฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับบ้านนั้นไปชั่วระยะหนึ่งก่อน จนกว่าข้าจะจัดการธุระทางนี้เสร็จ เข้าใจนะ
ใช่ โอซือบอกอย่างนั้นจริง ๆ
แล้วทำไมตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงวันที่เก้าในวันนี้โอซือถึงได้หายหน้าไป ไม่มาแสดงความเคารพคนในตระกูล คาราซูมรุในวันที่สามตามประเพณี หรือแม้แต่วันที่เจ็ดซึ่งเป็นวันกินผักเจ็ดชนิดก็ไม่มา
เกิดอะไรขึ้นหรือ
โจทาโรกังวลเช่นนี้มาสองสามวันแล้ว แต่ก็คิดว่าจะต้องได้เจอแน่นางในวันสำคัญนี้ เจ้าหนุ่มจึงมาที่นี่ด้วยความหวังเต็มที่
โจทาโรมองไปยังกลุ่มศิษย์สำนักโยชิโอกะที่รวมตัวกันอยู่รอบกองไฟกลางทุ่งร้าง ซึ่งเหลือแต่ควันลอยขึ้นไปเป็นสาย ท่ามกลางสายตาชาวเมืองเป็นร้อยเป็นพันคนที่จับจ้องมาโดยรอบ ท่าทางขึงขังดีแต่คงเป็นเพราะเซจูโรยังไม่มาจึงดูไม่หึกเฮิมเอาเลย
“แปลกอีกแล้ว เห็นประกาศบนแผ่นป้ายว่านัดประลองยุทธ์กันที่ทุ่งเร็นไดจิ แต่ทำไมทำท่าว่าจะจัดกันที่นี่ล่ะ”
รู้สึกว่าจะมีโจทาโรคนเดียวในที่นั้นที่สงสัยขึ้นมา และขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็มีใครคนหนึ่งส่งเสียงเรียกออกมาจากฝูงคน
“เจ้าหนุ่ม ใช่ ใช่ เจ้านั่นแหละ”
โจทาโรหันไปทางต้นเสียงและพอเห็นหน้าก็จำได้ว่าคือ ชายหนุ่มรูปงามที่มองไปยังมูซาชิซึ่งกำลังเอียงหน้าเข้ากระซิบกระซาบกับอาเกมิที่เชิงสะพานโกโจ แล้วหัวเราะเสียงดังราวขบขันเสียเต็มประดาก่อนเดินจากไป เมื่อแปดวันก่อนในวันปีใหม่
และเขาผู้นั้นก็คือ---ซาซากิ โคจิโร
4
“มีอะไรหรือน้า”
แม้เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียว โจทาโรก็ทักอย่างคุ้นเคยตามประสาคนที่มีนิสัยเข้าคนง่าย
โคจิโรเดินเข้ามาหาและสำรวจอีกฝ่ายจากหัวจรดเท้าแวบหนึ่งตามนิสัยเช่นกันก่อนทักทาย
“เราเคยพบกันที่โกโจไม่กี่วันมานี้เองใช่ไหม”
“จำข้าได้ด้วยรึ”
“จำได้สิ เจ้ามากับผู้หญิงคนนึง”
“ใช่ ๆ ข้ามากับโอซือ”
“อ้อ ชื่อโอซือรึ นางเป็นอะไรกับมูซาชิ พี่น้องกันรึ”
“เปล่า”
“แล้วเป็นอะไรกันล่ะ”
“ก็ชอบกันอยู่”
“ใครชอบใคร”
“โอซือชอบท่านมูซาชิ ครูของข้า”
“งั้นก็เป็นคู่รักกันน่ะซี”
“งั้นมั๊ง”
“มูซาชิเป็นครูดาบของเจ้างั้นรึ”
“ใช่” โจทาโรยืดอก พยักหน้าพร้อมตอบด้วยความภาคภูมิ
“อย่างนี้นี่เอง วันนี้ถึงได้มาที่นี่ แต่รู้สึกว่าคู้ประลองยุทธ์ยังไม่มากันเลยนะ ทั้งเซจูโรและมูซาชิ คนดูชักจะหงุดหงิดกันแล้ว เจ้าเป็นคนสนิทคงจะรู้ดี มูซาชิออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้วใช่ไหม”
“ข้าไม่รู้ และกำลังหาท่านครูอยู่เหมือนกัน”
ยังไม่ทันที่จะถามไถ่อะไรกันต่อ ทั้งสองก็ได้ยินฝีเท้าของคนสองสามคนวิ่งตรงเข้ามา ดวงตาคมกริบราวตาเหยี่ยวของโคจิโรวาบขึ้นแวบหนึ่ง
“นั่นท่านซาซากิไม่ใช่รึ”
“อูเอดะ เรียวเฮ”
“มาทำอะไรอยู่ที่นี่ขอรับ”
ศิษย์เอกสำนักดาบปราดเข้ามาจับมือนักดาบหนุ่มรูปงามเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหนีไปไหน
“ท่านเล่นหายตัวไปไม่กลับมาที่โรงฝึกตั้งแต่ช่วงส่งท้ายปีเก่า อาจารย์น้อยเป็นห่วงมาก บ่นไม่ขาดปากทุกวันว่าไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง”
“ก็คิดว่าไม่กลับไปสักระยะหนึ่งคงไม่เป็นไร แค่มาในวันสำคัญวันนี้ก็น่าจะพอ”
“เอาเถอะ ๆ มาทางนี้กันก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วศิษย์สำนักดาบสองสามคนนั้นก็เข้ามารุมล้อมแล้วดึงตัวโคจิโรไปยังที่ตั้งมั่นกลางทุ่งร้าง
ทางด้านฝูงคน คนหนึ่งตาดีเห็นชายร่างสูงสง่าแต่งกายสีฉูดฉาดทันสมัย คาดดาบแล่มยาวสะพายหลังแต่ไกล ก็ร้องลั่นพร้อมกับจึงกระทุ้งสีข้างเพื่อนและชี้ชวนให้ดู
“นั่นไง มูซาชิ มูซาชิมาแล้ว”
เท่านั้นเองฝูงชนก็แตกตื่น ส่งเสียงบอกกันขรมถมเถ
“มูซาชิมาแล้ว”
“ว่าไงนะ นั่นน่ะรึ”
“ก็ใช่น่ะซี มิยาโมโตะ มูซาชิ”
“แต่งตัวหรูหราทันสมัยดูเป็นหนุ่มสำอางก็จริง แต่ท่าทางองอาจไม่ใช่ย่อย”
โจทาโรที่ถูกทักแล้วทิ้ง ทำหน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นพวกผู้ใหญ่รอบ ๆ ตัวเข้าใจผิด และปักใจเชื่อเอาจริง ๆ จัง ๆ และพอได้จังหวะก็ค้านเสียงลั่น
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว นั่นไม่ใช่ท่านมูซาชิ ท่านมูซาชิตัวจริงไม่แต่งตัวเหมือนจะไปเล่นละครคาบูกิแบบนั้นหรอก ไม่มีทาง”
คนรอบข้างตาสว่างไปตาม ๆ กัน ส่วนคนที่อยู่ห่างออกไปแม้ไม่ได้ยินคำกล่าวแก้ของโจทาโร แต่เมื่อมองนาน ๆ เข้าก็เข้าใจด้วยวิจารณญานว่า นักดาบในชุดหรูคนนั้นไม่น่าใช่มูซาชิผู้เป็นคู่ประลองยุทธ์ของเซจูโรในวันนี้ แล้วก็เอียงคอคิดด้วยความฉงนกันเป็นแถวว่า
ถ้าไม่ใช่มูซาชิแล้วจะเป็นใคร
โจทาโรมองตามไปเห็นโคจิโรยืนวางท่าเป็นสง่าอยู่กลางทุ่ง และกำลังสาธยายอะไรสักอย่างให้บรรดาศิษย์สำนักดาบสี่สิบกว่าคนฟัง
แม้จะไม่ได้ยินแต่ก็พอเดาได้จากสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของศิษย์เอกทั้งสิบอันมีอูเอดะ มิอิเกะ โอตะ นัมโบ เป็นต้น ได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะนิ่งฟังแต่สายตาทุกคู่ที่จับจ้องไปยังผู้พูดนั้นดูแข็งกร้าวน่าสพรึง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เมื่อเดินมาด้วยกันมาถึงต้นทางลงเนินลาดยาวนางาซากะบนเส้นทางสายทัมบะ ไม่ว่าใครจะต้องชี้ชวนชมความงามของทิวทัศน์ในมุมกว้างสุดสายตากันทั้งนั้น และที่เห็นเป็นประกายราวสายฟ้าลิบ ๆ อยู่เหนือทิวไม้ คือหิมะที่ยังหลงเหลืออยู่ตามหลืบเขาที่โอบล้อมชานเมืองด้านตะวันตกเฉียงเหนือของนครหลวงเกียวโต
“ก่อกองไฟกันดีไหม”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
วันที่เก้าของปีใหม่ต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังเยียบเย็นบางเวลาอย่างเช่นวันนี้ยังหนาวเหน็บราวกับกลางฤดูหนาว ลมที่พัดลงมาจากทิวเขาคินูงาซะไม่ขาดสาย เสียงนกป่าเพรียกหากัน และแม้แต่ดาบในฝักก็ยังช่วยกันระดมความเยือกเย็นให้แก่ผิวกายจนต้องเรียกหาความอบอุ่น
“เออ เอ็งก่อไฟเก่งนี่ ลุกโชนทีเดียว ค่อยยังชั่วหน่อย”
คนหนึ่งเอ่ยชม อีกคนหนึ่งท้วงติง
“ลูกไฟกระเด็นออกอย่างนั้นต้องระวังกันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวเกิดไฟป่าขึ้นละก็จะยุ่งกันใหญ่”
“ไม่ต้องห่วงถึงขนาดนั้นหรอก แม้ไฟป่าจะลุกลามแค่ไหนก็ไปไม่ถึงเกียวโตแน่”
กองไฟที่ก่อขึ้นตรงชายทุ่งได้เชื้อเพลิงอย่างดีจึงคุโพลงส่งเสียงเปรี๊ยะประ แสงจากเปลวไฟที่พลุ่งสูงจนเกือบถึงดวงอาทิตย์ยามเช้า สะท้อนจับใบหน้าชายฉกรรจ์กว่าสี่สิบคนที่ล้อมรอบอยู่ทำให้ดูเหี้ยมเกรียมขึ้นไปอีก
“เฮ้ย ๆ ชักจะร้อนไปแล้ว”
คราวนี้ถึงกับมีคนบ่น
“พอได้แล้ว”
อูเอดะ เรียวเฮปัดควันไฟเป็นพัลวัน ร้องห้ามคนที่กำลังจะโยนหญ้าแห้งลงไปในกองไฟเสียงเขียว
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะผิงไฟกันอยู่ครู่ใหญ่
“น่าจะกว่าหกนาฬิกาแล้ว”
ใคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“จริงรึ”
หลายคนแหงนหน้าขึ้นสำรวจดูทิศทางดวงอาทิตย์
“จวนจะได้เวลานัดแล้ว”
ใช่สิ... ทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวง วันที่เก้าของปีใหม่ เวลาเช้าเจ็ดนาฬิกา
“อาจารย์น้อยยังไม่มาเลย ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะนี่”
“เดี๋ยวก็มา ไม่ต้องห่วง”
“ใช่ ได้เวลาที่ควรมาแล้วนี่”
คำพูดปลอบใจช่วยให้บรรดาศิษย์สำนักดาบเงียบไปได้ แต่คนพูดเองกลับหน้าเครียดด้วยความกังวลกว่าใคร ๆ กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขได้แต่ชะเง้อมองไปสุดทางเดินสายที่ทอดมาจากนครหลวง อกใจอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ขณะที่กำลังวิตกกังวลกันอยู่นั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงหายใจครืดคราดของวัวดังใกล้เข้ามา จึงนึกขึ้นได้ว่าละแวกที่ชื่อนิวกิวอินนี้เคยเป็นทุ่งเลี้ยงวัวของราชสำนักมาก่อน ตอนนี้แม้เลิกทำการและปล่อยรกร้างไปแล้ว แต่พอสาย ๆ ก็จะมีวัวจรจัดมาหาหญ้ากินเป็นอาหารและถ่ายมูลกันเหม็นคลุ้ง
“ใกล้เวลาอย่างนี้ มูซาชิอาจมาถึงทุ่งเร็นไดจิแล้วก็ได้นะ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น
“ทุ่งเร็นไดจิอยู่ใกล้แค่นี้เอง ไม่มีใครคิดจะไปดูหน่อยรึไง”
“จะให้ไปสอดแนมดูท่าทีของมูซาชิอย่างนั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะซี”
ไม่มีใครขยับ แต่ละคนทำไม่รู้ไม่ชี้ยืนผิงไฟรมควันกันเงียบกริบ
“แต่ อาจารย์น้อยบอกว่าจะมาเตรียมตัวให้พร้อมกันที่นี่ก่อนออกไปที่ทุ่งเร็นไดจิ ข้าคิดว่ารออีกหน่อยหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรดีกว่า”
“ไม่ผิดขั้นตอนแน่นะ”
“ต้องไม่ผิดแน่นอน เพราะข้าได้ยินมากับหูตอนที่อาจารย์น้อยบอกท่านอูเอดะว่าอย่างนั้นเมื่อคืนนี้”
อูเอดะ เรียวเฮ ยินฟังอยู่ด้วยจึงยืนยัน
“ใช่ และมูซาชิอาจมาถึงที่นัดพบก่อนแล้วก็ได้ และข้าคิดว่าอาจารย์เซจูโรของเราคงตั้งใจมาช้า เพราะหวังจะให้คู่อริหงุดหงิดและประสาทเสียที่ต้องรอ ดังนั้นข้าคิดว่าเราอย่าเพิ่งทำอะไรดีกว่า หากเคลื่อนไหวไม่ถูกจังหวะ ทำให้ชาวเมืองเข้าใจผิดคิดว่าพวกเรายกพวกมารุมคู่ประลองฝีมือของอาจารย์น้อยแล้วละก็ สำนักดาบโยชิโอกะจะต้องเสียชื่อ และพวกเราก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน และอีกอย่างมูซาชิก็เป็นแค่นักดาบพเนจรไม่น่ามีพิษสงอะไร เราคอยดูสถานการณ์กันอยู่เงียบ ๆ จนกว่าอาจารย์น้อยจะมาดีกว่า”
2
เช้าวันที่เก้าของปีใหม่
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะมาชุมนุมกันอยู่ที่ทุ่งร้างนิวกิวอินสี่สิบกว่าคน ซึ่งแม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสำนักดาบอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เมื่อดูหน้าคนในกลุ่มแล้วจะเห็นได้ว่ามีแต่นักดาบระดับหัวกระทิของโรงฝึกวิชาดาบชิโจทั้งนั้น โดยเฉพาะอูเอดะ เรียวเฮและศิษย์เอกทั้งสิบ
เมื่อคืนก่อน เซจูโรอาจารย์น้อยลั่นคำขาดเอาไว้ว่า
ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นดาบมือสอง
ส่วนศิษย์สำนักดาบที่เคยเห็นฝีมือมูซาชิมาก่อนตอนที่มาท้าทายถึงสำนักตนเมื่อปีก่อนนั้น แม้จะไม่คิดว่ามูซาชิเป็นนักดาบที่ไม่มีพิษสงอะไร แต่ก็เชื่อว่าเซจูโรอาจารย์น้อยของพวกตนจะไม่พ่ายแพ้ในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ จนต้องมีใครเข้าช่วยเป็นดาบมือสอง
ศิษย์สำนักดาบทุกคนมั่นใจอาจารย์น้อยต้องชนะแน่นอน แต่ที่ยกขบวนมาชุมนุมกันที่ทุ่งร้างทางเปลี่ยวแห่งนี้ก็เพื่อคุมเชิงเอาไว้กรณีที่เกิดเหตุผิดพลาดบานปลายร้ายแรง
ยิ่งกว่านั้น การที่ได้ปักป้ายตอบรับคำท้าของมูซาชิ พร้อมแจ้งวันเวลาและสถานที่ประลองยุทธ์อย่างชัดเจนที่เชิงสพานโกโจซึ่งผู้คนแทบทั้งนครหลวงจะต้องผ่านไปมาในวันปีใหม่นั้น ก็เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะประกาศแสนยานุภาพของสำนักดาบโยชิโอกะและชื่อเซจูโรผู้เป็นเจ้าสำนักให้เกริกก้องทั่วไป
แม้เซจูโรจะลั่นคำขาดว่าไม่ต้องการกำลังหนุน แต่บรรดาศิษย์เอกก็พร้อมใจกันยกขบวนไปเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ที่ทุ่งร้างซึ่งห่างจากทุ่งเร็นไดจิสนามประลองยุทธ์ไม่มากนักด้วยความสมัครใจ และกำลังคอยอาจารย์น้อยกันอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ใกล้เวลานัดประลองยุทธ์เข้ามาทุกทีแล้ว แต่เซจูโรก็ยังไม่มา
“ท่าจะไม่ได้การเสียแล้ว”
บรรดาศิษย์ที่สงบจิตสงบใจลงได้ด้วยคำชี้แจงเหตุผลของอูเอดะ เรียวเฮ เริ่มจะทนไม่ได้และบ่นพึมพำขึ้นมาทีละคนสองคนจนเกิดเสียงฮึมฮัมราวฝูงผึ้ง ส่วนชาวเมืองที่แห่กันมาดูการประลองยุทธ์ พอเห็นศิษย์สำนักดาบมาชุมนุมกันเป็นกลุ่มใหญ่ที่ทุ่งร้างนิวกิวอินเข้าก็ชักไม่แน่ใจ หันไปถามกันเซ็งแซ่ว่าเขาจะประดาบกันที่ไหนแน่
“แล้วยังไง จะประลองยุทธ์กันที่นี่รึ”
“โยชิโอกะ เซจูโร อยู่ตรงไหน ช่วยบอกข้าที”
“ยังไม่เห็นนะ”
“อ้าว แล้วใครนะที่เป็นคู่ต่อสู้”
“มูซาชิไง ยังไม่เห็นเหมือนกันนะ”
“แล้วนักดาบกลุ่มนั่นล่ะ”
“คงเป็นพวกนักดาบมือสองละมัง”
“อะไรกันวะ มาแต่พวกนักดาบมือสอง และมือหนึ่งล่ะไปไหน ทั้งมูซาชิและเซจูโร ยังไม่เห็นหน้าเลย”
เมื่อเห็นคนจับกลุ่มกันที่ไหนผู้คนก็ย่อมหลั่งไหลมารวมกลุ่มด้วยเป็นธรรมดา
ที่ทุ่งร้างแห่งนี้ก็เช่นกัน ไม่นานก็เนืองแน่นไปด้วยพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น เสียงโจษขานถามตอบกันกันสับสนไม่รู้ว่าใครถามและไม่รู้จะตอบใคร
ยังไม่มากันอีกรึ...ไหน ไหน คนไหนมูซาชิ
แล้วเซจูโรล่ะคนไหน
ฝูงคนกลุ้มรุมกันหน้าสลอนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้รอบทุ่งร้างแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้บริเวณที่ศิษย์สำนักดาบจับกลุ่มกันอยู่
โจทาโรพกดาบไม้ยาวเกินตัว เดินเหลียวหน้าหลังอยู่ในกลุ่มชาวเมือง
“อยู่ไหนหว่า”
เจ้าหนุ่มน้อยเดินย่ำเท้าแรง ๆ ลงบนพื้นดินที่แห้งผากจนฝุ่นตลบ กวาดตาหาไปรอบท้องทุ่ง
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น โอซือน่าจะรู้เรื่องนี้นี้นี่นา และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้มาที่บ้านท่านคาราซูมารุอีกเลย”
ใจจริงโจทาโรอยากพบมูซาชิมากกว่า และคิดว่าโอซือต้องมาที่นี่แน่เพราะต้องห่วงกังวลว่ามูซาชิจะแพ้หรือชนะ
แต่กลับไม่เห็นหน้าเช่นนี้ก็เลยต้องออกเดินตามหานางก่อน
3
ผู้หญิงใคร ๆ ก็ว่าใจปลาซิวแต่เป็นแผลเล็ก ๆ ที่นิ้วก้อยก็หน้าซีดเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องความหายนะถึงเลือดตกยางออกของผู้อื่นแล้วละก็ พวกนางดูได้อย่างหน้าตาเฉยกว่าพวกผู้ชายเสียอีก
การประลองยุทธครั้งนี้ก็เช่นกัน พอได้ข่าวพวกผู้หญิงในนครหลวงต่างตาตื่นหูผึ่งกันเป็นแถว และพอถึงวันจริงก็จูงมือมารุมดูกันเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง มองไปที่ไหนก็เห็นแต่ผู้หญิงหันหน้าเข้าโจษขานกัน บ้างก็ซุบซิบบ้างก็อวดตัวว่ารู้ดีเสียงดังไปทั่ว
โจทาโรเดินหาโอซือไปรอบ ๆ ชายทุ่งแต่ก็ไม่พบ
แปลกจัง หรือว่าไม่สบายตั้งแต่แยกทางกันบนสะพานโกโจในวันปีใหม่
เจ้าหนุ่มน้อยคิดเดาไปต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็มาลงที่แม่เฒ่าสารพัดพิษ
โอซือถูกยายเฒ่าโอซูงิหลอกเอาแน่เลย สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมถึงได้ทำดีด้วย โอซือคงคิดว่ากลับตัวกลับใจได้แล้วถึงได้ตามไปง่าย ๆ
ยิ่งคิดเช่นนั้น โจทาโรก็ยิ่งห่วงกังวลขึ้นอีกเป็นหลายเท่าจนแทบทนอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกไม่ได้
เจ้าหนุ่มน้อยเป็นห่วงโอซือมากกว่าห่วงการแพ้ชนะของมูซาชิในการประลองยุทธ์ครั้งนี้เสียอีก
เพราะถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว โจทาโรเชื่อมือครูดาบของตนคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข
คนเป็นร้อยเป็นพันที่มาเฝ้าดูการประลองยุทธ์อาจเชื่อว่าวันนี้เซจูโรต้องเป็นผู้กำชัยชนะ
และคงจะมีโจทาโรคนเดียวเท่านั้นที่ปักใจเชื่อว่า
ครูข้าต้องชนะแน่
ภาพการต่อสู้ของมูซาชิกับกลุ่มพระนักทวนแห่งสำนักโฮโซอินที่ทุ่งฮันเนียะยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของหนุ่มน้อยโจทาโร
ถึงจะรุมกันเข้ามาทั้งกลุ่ม ครูข้าก็ไม่แพ้
โจทาโรเชิดหน้าท้าทายศิษย์สำนักโอชิโอกะที่มาเกาะกลุ่มคุมเชิงอยู่ที่ทุ่งร้างอยู่ในใจ
เจ้าหนุ่มน้อยเชื่อฝีมือครูยิ่งนักจึงไม่กังวลเลยสักนิด
ใจห่วงแต่โอซือ ไม่ได้ผิดหวังที่นางไม่มาดูการประลองยุทธ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของชายอันเป็นที่รัก แต่สังหรณ์ใจว่าจะประสบเหตุอันเป็นอันตรายมากกว่า
ก่อนเดินตามแม่เฒ่าโอซูงิไปจากสะพานโกโจ โอซือหันมาบอกว่า
โจทาโร ตกลงข้าจะตามแม่เฒ่าไปที่โรงเตี๊ยมและจะหาโอกาสกลับไปที่บ้านคาราซูมารูเป็นครั้งคราว เจ้าช่วยแจ้งคนที่บ้านนั้นด้วย ส่วนเจ้าก็ฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับบ้านนั้นไปชั่วระยะหนึ่งก่อน จนกว่าข้าจะจัดการธุระทางนี้เสร็จ เข้าใจนะ
ใช่ โอซือบอกอย่างนั้นจริง ๆ
แล้วทำไมตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงวันที่เก้าในวันนี้โอซือถึงได้หายหน้าไป ไม่มาแสดงความเคารพคนในตระกูล คาราซูมรุในวันที่สามตามประเพณี หรือแม้แต่วันที่เจ็ดซึ่งเป็นวันกินผักเจ็ดชนิดก็ไม่มา
เกิดอะไรขึ้นหรือ
โจทาโรกังวลเช่นนี้มาสองสามวันแล้ว แต่ก็คิดว่าจะต้องได้เจอแน่นางในวันสำคัญนี้ เจ้าหนุ่มจึงมาที่นี่ด้วยความหวังเต็มที่
โจทาโรมองไปยังกลุ่มศิษย์สำนักโยชิโอกะที่รวมตัวกันอยู่รอบกองไฟกลางทุ่งร้าง ซึ่งเหลือแต่ควันลอยขึ้นไปเป็นสาย ท่ามกลางสายตาชาวเมืองเป็นร้อยเป็นพันคนที่จับจ้องมาโดยรอบ ท่าทางขึงขังดีแต่คงเป็นเพราะเซจูโรยังไม่มาจึงดูไม่หึกเฮิมเอาเลย
“แปลกอีกแล้ว เห็นประกาศบนแผ่นป้ายว่านัดประลองยุทธ์กันที่ทุ่งเร็นไดจิ แต่ทำไมทำท่าว่าจะจัดกันที่นี่ล่ะ”
รู้สึกว่าจะมีโจทาโรคนเดียวในที่นั้นที่สงสัยขึ้นมา และขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็มีใครคนหนึ่งส่งเสียงเรียกออกมาจากฝูงคน
“เจ้าหนุ่ม ใช่ ใช่ เจ้านั่นแหละ”
โจทาโรหันไปทางต้นเสียงและพอเห็นหน้าก็จำได้ว่าคือ ชายหนุ่มรูปงามที่มองไปยังมูซาชิซึ่งกำลังเอียงหน้าเข้ากระซิบกระซาบกับอาเกมิที่เชิงสะพานโกโจ แล้วหัวเราะเสียงดังราวขบขันเสียเต็มประดาก่อนเดินจากไป เมื่อแปดวันก่อนในวันปีใหม่
และเขาผู้นั้นก็คือ---ซาซากิ โคจิโร
4
“มีอะไรหรือน้า”
แม้เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียว โจทาโรก็ทักอย่างคุ้นเคยตามประสาคนที่มีนิสัยเข้าคนง่าย
โคจิโรเดินเข้ามาหาและสำรวจอีกฝ่ายจากหัวจรดเท้าแวบหนึ่งตามนิสัยเช่นกันก่อนทักทาย
“เราเคยพบกันที่โกโจไม่กี่วันมานี้เองใช่ไหม”
“จำข้าได้ด้วยรึ”
“จำได้สิ เจ้ามากับผู้หญิงคนนึง”
“ใช่ ๆ ข้ามากับโอซือ”
“อ้อ ชื่อโอซือรึ นางเป็นอะไรกับมูซาชิ พี่น้องกันรึ”
“เปล่า”
“แล้วเป็นอะไรกันล่ะ”
“ก็ชอบกันอยู่”
“ใครชอบใคร”
“โอซือชอบท่านมูซาชิ ครูของข้า”
“งั้นก็เป็นคู่รักกันน่ะซี”
“งั้นมั๊ง”
“มูซาชิเป็นครูดาบของเจ้างั้นรึ”
“ใช่” โจทาโรยืดอก พยักหน้าพร้อมตอบด้วยความภาคภูมิ
“อย่างนี้นี่เอง วันนี้ถึงได้มาที่นี่ แต่รู้สึกว่าคู้ประลองยุทธ์ยังไม่มากันเลยนะ ทั้งเซจูโรและมูซาชิ คนดูชักจะหงุดหงิดกันแล้ว เจ้าเป็นคนสนิทคงจะรู้ดี มูซาชิออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้วใช่ไหม”
“ข้าไม่รู้ และกำลังหาท่านครูอยู่เหมือนกัน”
ยังไม่ทันที่จะถามไถ่อะไรกันต่อ ทั้งสองก็ได้ยินฝีเท้าของคนสองสามคนวิ่งตรงเข้ามา ดวงตาคมกริบราวตาเหยี่ยวของโคจิโรวาบขึ้นแวบหนึ่ง
“นั่นท่านซาซากิไม่ใช่รึ”
“อูเอดะ เรียวเฮ”
“มาทำอะไรอยู่ที่นี่ขอรับ”
ศิษย์เอกสำนักดาบปราดเข้ามาจับมือนักดาบหนุ่มรูปงามเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหนีไปไหน
“ท่านเล่นหายตัวไปไม่กลับมาที่โรงฝึกตั้งแต่ช่วงส่งท้ายปีเก่า อาจารย์น้อยเป็นห่วงมาก บ่นไม่ขาดปากทุกวันว่าไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง”
“ก็คิดว่าไม่กลับไปสักระยะหนึ่งคงไม่เป็นไร แค่มาในวันสำคัญวันนี้ก็น่าจะพอ”
“เอาเถอะ ๆ มาทางนี้กันก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วศิษย์สำนักดาบสองสามคนนั้นก็เข้ามารุมล้อมแล้วดึงตัวโคจิโรไปยังที่ตั้งมั่นกลางทุ่งร้าง
ทางด้านฝูงคน คนหนึ่งตาดีเห็นชายร่างสูงสง่าแต่งกายสีฉูดฉาดทันสมัย คาดดาบแล่มยาวสะพายหลังแต่ไกล ก็ร้องลั่นพร้อมกับจึงกระทุ้งสีข้างเพื่อนและชี้ชวนให้ดู
“นั่นไง มูซาชิ มูซาชิมาแล้ว”
เท่านั้นเองฝูงชนก็แตกตื่น ส่งเสียงบอกกันขรมถมเถ
“มูซาชิมาแล้ว”
“ว่าไงนะ นั่นน่ะรึ”
“ก็ใช่น่ะซี มิยาโมโตะ มูซาชิ”
“แต่งตัวหรูหราทันสมัยดูเป็นหนุ่มสำอางก็จริง แต่ท่าทางองอาจไม่ใช่ย่อย”
โจทาโรที่ถูกทักแล้วทิ้ง ทำหน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นพวกผู้ใหญ่รอบ ๆ ตัวเข้าใจผิด และปักใจเชื่อเอาจริง ๆ จัง ๆ และพอได้จังหวะก็ค้านเสียงลั่น
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว นั่นไม่ใช่ท่านมูซาชิ ท่านมูซาชิตัวจริงไม่แต่งตัวเหมือนจะไปเล่นละครคาบูกิแบบนั้นหรอก ไม่มีทาง”
คนรอบข้างตาสว่างไปตาม ๆ กัน ส่วนคนที่อยู่ห่างออกไปแม้ไม่ได้ยินคำกล่าวแก้ของโจทาโร แต่เมื่อมองนาน ๆ เข้าก็เข้าใจด้วยวิจารณญานว่า นักดาบในชุดหรูคนนั้นไม่น่าใช่มูซาชิผู้เป็นคู่ประลองยุทธ์ของเซจูโรในวันนี้ แล้วก็เอียงคอคิดด้วยความฉงนกันเป็นแถวว่า
ถ้าไม่ใช่มูซาชิแล้วจะเป็นใคร
โจทาโรมองตามไปเห็นโคจิโรยืนวางท่าเป็นสง่าอยู่กลางทุ่ง และกำลังสาธยายอะไรสักอย่างให้บรรดาศิษย์สำนักดาบสี่สิบกว่าคนฟัง
แม้จะไม่ได้ยินแต่ก็พอเดาได้จากสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของศิษย์เอกทั้งสิบอันมีอูเอดะ มิอิเกะ โอตะ นัมโบ เป็นต้น ได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะนิ่งฟังแต่สายตาทุกคู่ที่จับจ้องไปยังผู้พูดนั้นดูแข็งกร้าวน่าสพรึง