นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
คำพังเพยโบราณเปรียบเปรยคนบ้าบิ่นที่บังอาจท้าทายคนที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่มองสารรูปตัวเองว่าเป็นเสมือนตั๊กแตนตำข้าวที่เงื้อง่าขาหน้าที่เหมือนเคียวหมายจู่โจมยานพระที่นั่งแห่งพระราชาผู้เป็นจอมทัพ
และนั่นคือท่าทางของแม่เฒ่าโอซูงิขณะจับดาบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตั้งท่าเข้าฟาดฟันประจัญบานกับศัตรูคู่อาฆาต
ร่างผอมเกร็งแทบจะมีแต่หนังหุ้มกระดูกไม่ผิดอะไรกับตั๊กแตนตำข้าวที่ขยับปลายขาหน้ายาวเรียวคมเหมือนเคียวกระทบกันดังกริบ ๆ ตั้งท่ากระโจนเข้าห้ำหั่นชายร่างใหญ่กำยำที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า
เส้นเลือดในดวงตาเล็ก ๆ ของนางแดงจัดเหมือนตาตั๊กแตน และไม่ใช่แค่ตาเท่านั้น ทั่วทั้งสารพางค์กายไม่ว่าสีผิวหรือรูปทรงคือแม่เฒ่าตั๊กแตนตัวจริง และท่าที่นางยืนเหยียดสุดตัว แหงนหน้าขึ้นมองได้ไม่ถึงหน้าอกที่สมบูรณ์ด้วยมัดกร้ามทาเกโซ เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่กำยำนั้นตรงกับคำพังเลยที่ว่าตั๊กแตนตำข้าวบังอาจจู่โจมราชพาหนะของจอมราชันย์อย่างไรอย่างนั้น
แต่มูซาชิเห็นขันเหมือนกำลังดูยายแก่ทำท่าหลอกล่อเด็กเล็ก ๆ แต่ความเวทนาจับใจทำให้หัวเราะไม่ออก
“นาย นายแม่ใหญ่ ช้าก่อน”
เจ้านักดาบรีบยื่นมือไปยึดข้อศอกไว้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็แรงพอที่ยึดเอาไว้ไม่ให้ชักดาบสั้นออกจากฝัก
“อย่านะ เอ็งจะทำอะไรข้า”
แม่เฒ่าสะบัดมือไปมาจนฝักดาบคลอนไปมาในจังหวะเดียวกับฟันหน้าที่จวนจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ของนาง
น่าขันจนเจ้าหนุ่มต้องสูดหายใจแรง ๆ เพื่อกลั้นหัวเราะ
“ไอ้ขี้ขลาด คิดว่าจะสู้ได้รึ ปากยังไม่ทันจะสิ้นกลิ่นน้ำนมอย่ามาทำโอหัง ถ้าคิดว่าจะสู้กับข้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสี่สิบกว่าปีได้ก็ชักดาบออกมาสู้กันเลย ไม่ต้องทำมาพูดให้มากความ กล้าดีก็เข้ามาเลย”
แม่เฒ่าออกแรงทั้งดิ้นทั้งสะบัดข้อศอกให้หลุดจากอุ้งมือแข็งแรงของเจ้าหนุ่มจนหน้าเขียวตัวเขียวไปหมด
มูซาชิพยักหน้า
“เข้าใจ ข้าเข้าใจความรู้สึกของนายแม่ใหญ่ และเคารพนับถือจิตวิญญาณความเป็นนักสู้ผู้กล้าหาญของตระกูลฮนอิเด็น ที่อุทิศใจกายให้แก่การสู้รบเพื่อท่านชินเม็น มูเนสึนะผู้ครองแคว้น”
“ไม่ต้องมาสรรเสริญเยินยอ รู้ไว้ด้วยว่าข้าไม่ใช่แม่เฒ่าที่จะมาหลงคารมเด็กเหลือขอรุ่นหลานรุ่นเหลนอย่างเอ็ง”
“หยุดดื้อดึงตึงตังและฟังข้าพูดนิดหนึ่งได้ไหม”
“อ๋อ จะสั่งเสียถึงใครก่อนตายงั้นรึ”
“ไม่ใช่ ข้าแค่อยากชี้แจงให้นายแม่ใหญ่เข้าใจ ก็เท่านั้น”
“ข้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
แม่เฒ่ายิ่งดิ้นมาหลุดก็ยิ่งโกรธจนตัวแทบลุกเป็นไฟ เขย่งปลายเท้ารวบรวมกำลังที่มีอยู่และพุ่งตัวออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง เจ้าจะมาชี้แจงอะไรเอาป่านนี้ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ไอ้ชั่ว”
“ไม่ฟังก็ตามใจ แต่เอามีดสั้นมานี่เลย ทาเกโซคนนี้จะเก็บเอาไว้ให้”
มูซาชิยื่นมือไปที่ดาบสั้นหวังจะยึดเอาไว้ตามคำพูด และบอกว่า
“ใกล้จะถึงเชิงสะพานโกะโจแล้ว และเมื่อมาตาฮาจิมาถึง นายแม่ใหญ่ก็ได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากลูกชาย”
แม่เฒ่าเบี่ยงตัวหลบทำตาขวางเมื่อถามห้วน ๆ ว่า
“มาตาฮาจิจะมาที่นี่งั้นรึ”
“ใช่ ข้าส่งจดหมายนัดพบไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว”
“ว่าไงนะ”
“ข้านัดทาตาฮาจิให้มาพบกันที่นี่เช้าวันนี้”
“โกหก”
แม่เฒ่าตวาดแว้ดและสั่นหัวดิก ถ้ามาตาฮาจิมีนัดเช่นนั้นจริงก็ต้องบอกตนแล้วเมื่อตอนพบกันที่โอซากา แต่ที่ไม่ได้บอกอะไรก็เพราะเจ้าลูกชายได้รับคำนัดจากมูซาชิ ซึ่งหมายความว่าคำพูดทั้งหมดของมูซาชิคือคำโกหก
“ขายขี้หน้า เจ้าจะตลบตะแลงสับปลับไปถึงไหนหาเจ้าทาเกโซ เอ็งเป็นลูกชายของมูนิไซซามูไรที่ใคร ๆ นับหน้าถือตาว่าเป็นผู้รักความสัตย์เท่าชีวิต พ่อเจ้าไม่สอนเลยหรือว่าคนเราเวลาตายจะต้องตายอย่างคนจิตใจบริสุทธิ์อย่างน้อยก็ยึดถือศีลห้า เลิกพูดจาเล่นลิ้นกับข้าและยื่นคอมาสังเวยคมดาบของข้าแต่โดยดี หรืออยากประดาบลองดีกับข้าก็เอาเลย แต่จงรู้ไว้ว่าพระพุทธ และเทพยดาฟ้าดินคุ้มครองดาบของข้าไม่ให้พ่ายแก่อธรรม”
ว่าแล้วแม่เฒ่าก็ย่อเข่าลงสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมของมูซาชิ ซวนเซไปตั้งหลัก ชักดาบสั้นออกมากุมด้ามไว้ด้วยมือทั้งคู่ และพุ่งตัวเข้าใส่มูซาชิทันควัน เจ้าหนุ่มเบี้ยงตัวหลบ ปลายมีดจึงพลาดหน้าอกแหวกอากาศวื้ดไป
“ใจเย็นหน่อยนายแม่ใหญ่”
มูซาชิไม่ได้คิดจะสู้ ได้แต่ผลักไหล่แม่เฒ่าไปทางหนึ่ง ซึ่งยิ่งเป็นการยั่วให้แม่เฒ่าบ้าคลั่ง แกว่งดาบฉวัดเฉวียนพลางร้องขอให้เทพเจ้าช่วยให้วุ่นไปหมด เจ้าหนุ่มคุมเชิงอยู่และพอได้จังหวะก็คว้าข้อมือแม่เฒ่าบิดไปข้างหลังและดึงเข้ามาชิดตัว
“พอได้แล้วนายแม่บ้านใหญ่ อาละวาดไปก็เหนื่อยเปล่า บอกแล้วไงว่าอีกนิดเดียวก็ถึงสะพานโกโจแล้ว สงบจิตสงบใจแล้วเดินไปด้วยกันดีกว่าไหม”
แม่เฒ่ายังไม่หมดฤทธิ์ นางเหลียวมาทำตาเขียวจ้องหน้ามูซาชิเขม็ง ห่อปากและทำท่าคล้ายถ่มน้ำลาย
แต่ไม่ใช่ นางปล่อยลงจากกระพุ้งแก้มดัง ฟิ้ว
มูซาชิผลักแม่เฒ่าออกไปเต็มแรง เอี้ยวตัวหลบไปทางหนึ่งพร้อมกับแล้วยกมือขึ้นกุมตาข้างซ้าย
2
ดวงตาข้างซ้ายปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันทีเหมือนลูกไฟกระเด็นเข้าตา มูซาชิหวาดว่าอาจโดนอาวุธหรือของมีคมจึงลองเผยอฝ่ามือที่กดตาซ้ายไว้ออกดู ก็ไม่เห็นมีเลือดติดอยู่แต่ตาลืมไม่ขึ้น
ฝ่ายแม่เฒ่าโอซูงิ เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เสียหลักเพราะพิษที่พ่นออกไป นางก็ลำพองใจสุดแสนกับชัยชนะ ตรงรี่เข้าไปฟันซ้ำไม่ยั้ง สองคาบและสามดาบ ปากก็สาปแช่งอ้างว่าพระพุทธและเทพเจ้าลงโทษไม่หยุด
เจ้าหนุ่มนักดาบตั้งตัวไม่ติดไหนจะพะวงกับความเจ็บแสบที่ดวงตา จึงได้แต่เบี่ยงตัวหลบเป็นพัลวัน แต่แล้วก็โดนปลายดาบเฉี่ยวผ่านเสื้อเข้าไปได้เลือดที่ต้นแขนจนได้
พอเห็นแขนเสื้อขาดของมูซาชิออกเผยให้เห็นเลือดซึมออกมาจากรอยเฉี่ยว และเจ้าตัวยืนนิ่งขึงอยู่เหมือนต้นไม้ที่ถูกตัดขาดสองท่อน แม่เฒ่าก็ร้องเสียงแหลมและกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจล้นเหลือ
“นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ”
แม่เฒ่าท่องคาถาไม่หยุดปากพร้อมกับรำดาบไปรอบ ๆ มูซาชิซึ่งยืนกุมตาข้างที่เจ็บอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะสู้
เจ้าหนุ่มได้แต่เบี่ยงตัวด้วยความระวังระไวไม่ให้โดนคมดาบเข้าอีก ไม่มีแก่ใจจะตอบโต้เพราะตาซ้ายเจ็บแสบยิ่งขึ้นทุกที แผลที่ขาแม้จะแค่ถูกปลายมีดเฉี่ยวตื้น ๆ แต่เลือดก็ไหลออกมาซึมเสื้อเป็นดวง
ข้าแพ้หรือ
กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นผู้แพ้เสียแล้ว
ในการต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมามูซาชิไม่เคยตกเป็นเบี้ยล่างของใคร และไม่เคยหลั่งเลือดเปื้อนคมดาบของผู้ใดมาก่อน
แต่เมื่อตรองดูอีกที ใจหนึ่งก็ค้านว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้เอาแพ้เอาชนะ เพราะตนไม่ได้ถือว่าแม่เฒ่าคนนี้เป็นคู่ต่อสู้เลยสักนิด ไม่ได้คิดว่าใครจะแพ้ใครจะชนะมาตั้งแต่ต้น และเป็นธรรมดาที่นักดาบหนุ่มอย่างตนย่อมไม่ชักดาบออกมาต่อกรกับแม่เฒ่าร่างกายผ่ายยอมแทบจะไม่มีแรงคนนี้อยู่แล้ว
แต่เมื่อวินิจฉัยตามตำราพิชัยสงครามนี่คือความพ่ายแพ้ แม้บาดแผลจะน้อยนิดแต่ก็สะท้อนให้เห็นชัดว่า ความอ่อนโลกของมูซาชิแพ้ความเลื่อมในศรัทธาต่อเทวดาฟ้าดินของแม่เฒ่าโอซูงิและปลายดาบของนางอย่างสิ้นเชิง
ข้าคิดผิด
ทันทีที่สำนึกได้ว่าตนประเมินแม่เฒ่าโอซูงิผิด มูซาชิก็เงื้อมือขึ้นสุดล้าและฟาดสุดแรงลงไปที่ไหล่ของแม่เฒ่าโอซูงิซึ่งชูดาบรี่เข้าใส่หมายเผด็จศึก
“จ๊าก”
แม่เฒ่าร้องลั่น ร่างเล็กทรุดฮวบลงไปหมอบอยู่กับดินเหมือนตุ๊กตาฟางเก่าคร่ำคร่า ดาบสั้นกระเด็นไปไกล
มูซาชิเดินไปเก็บดาบขึ้นมาถือไว้และใช้มืออีกข้างหนึ่งจับตัวแม่เฒ่าที่กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเต็มทีขึ้นมาหนีบไว้ข้างตัว
“เจ็บใจนัก ปล่อยข้า”
แม่เฒ่าตวาดเสียงแหลม พยายามดิ้นออกจากวงแขนแข็งแรงของเจ้าหนุ่ม แต่ก็ทำได้เพียงโผล่หัวออกมาก่นด่าจากใต้รักแร้เหมือนเต่าโผล่หัวจากกระดอง
“พระพุทธ พระโพธิสัตว์ เทพเจ้าเหล้าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในดาบ ทำไมถึงได้ทิ้งข้าไปเช่นนี้ ข้าอุตส่าห์สวดภาวนาขอศีลขอพรอยู่ทุกวี่ทุกวัน ทิ้งข้าไปแล้วข้าจะทำยังไง ทาเกโซ เจ้าชนะแล้ว อย่าทำให้ข้าต้องอับอายยางไปกว่านี้เลย ตัดคอข้าเสียเถิด เอาเลย...ตัดคอนางเฒ่าคนนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป”
มูซาชิเม้มปากแน่น และออกเดินก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้าเงียบ ๆ ไม่ใยดีกับแม่เฒ่าที่ดิ้นและแผดเสียงแหบแห้งร้องแรกแหกกระเชอไม่หยุด
“หากเป็นดวงชะตาของนักรบที่สวรรค์ประทาน หากเป็นพระประสงค์ของเทพยดาฟ้าดิน ข้าก็ไม่อาจฝืนได้ แต่เจ้าทาเกโซ แม้ฆ่าข้าให้ตายก็อย่าคิดว่าข้าจะเลิกจองเวรจองกรรมเจ้า เพราะถ้ามาตาฮาจิรู้ว่าอากงญาติสนิทมิตรรักของข้าที่ดั้นด้นเดินทางมาด้วยกันตาย และข้าถูกเจ้าฆ่าตายไปอีกคน ก็จะต้องล้างแค้นแทนแน่นอน และจะต้องเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเจ้าลูกชายของข้าคนนี้
ไม่ต้องรอช้าทาเกโซ บั่นคอข้าเดี๋ยวนี้เลย...นี่เจ้าจะพาข้าไปไหน คิดจะประจานข้าให้ได้อายงั้นรึ บั่นคอข้าเร็ว ๆ เลย ข้าบอกให้เร็วไง เร็ว”
3
เสียงกรีดร้องของแม่เฒ่าหนวกหูเป็นที่สุด แต่มูซาชิไม่ใส่ใจ ได้แต่หนีบร่างแม่เฒ่าเดินดุ่ม ๆ ไปจนถึงเชิงสะพานโกโจ แล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่วางตัวแม่เฒ่า
เอาไปไว้ที่ไหนดีนะ
“ได้การละ”
เจ้าหนุ่มพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนเดินลงไปที่ชายน้ำ และค่อย ๆ วางร่างแม่เฒ่าลงบนท้องเรือลำหนึ่งที่ผูกอยู่ที่ท่าเทียบเรือ
“คอยอยู่ที่นี่นะนายแม่บ้านใหญ่ อดทนนิดหนึ่ง อีกเดี๋ยวเดียวมาตาฮาจิก็จะมา”
“เอ็ง เอ็งจะทำอะไรข้า”
แม่เฒ่าโอซูงิปัดมือเจ้าหนุ่ม และตะกุยตะกายเสื่อปูท้องเรือเป็นพัลวัน
“โกหก มาตาฮาจิจะมาได้ยังไง อ๋อ...เอาชนะนางเฒ่าคนนี้ได้แล้วยังไม่พอ พามาที่สะพานใหญ่นี่ก็เพราะคิดจะประจานข้าให้ได้อายเสียก่อนแล้วถึงจะฆ่าใช่ไหม ไอ้ทาเกโซ ไอ้ชั่ว”
“นายแม่บ้านใหญ่จะคิดยังไงก็ตามใจเลย เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“บั่นคอข้าเดี๋ยวนี้”
เจ้าหนุ่มหัวเราะลั่น
“หัวเราะอะไร คอผอม ๆ แค่นี้ตัดไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้”
“อะไรนะ”
แม่เฒ่าสิ้นท่าแต่ก็ยังไว้ลาย เพราะพอมูซาชิตั้งท่าจะมัดร่างผอมเกร็งนั้นไว้กับกราบเรือ แม่เฒ่าก็แว้งกัดเข้าที่ท่อนแขนทำเอาเจ้าหนุ่มต้องร้องโอ๊ยออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ยอมให้กัดจนกระทั่งมัดเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงเก็บดาบสั้นของแม่เฒ่าเจ้าฝักเหน็บเอวไว้ให้ตามเดิม แต่พอจะขึ้นจากเรือ แม่เฒ่าก็ร้องเรียกเอาไว้
“ทาเกโซ น้ำหน้าอย่างเจ้าคงไม่รู้จักวิถีแห่งนักรบที่แท้จริง กลับมานี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะสอนให้ซึมซับถึงกระดูกดำเลยทีเดียว”
“ทีหลังก็ได้”
ว่าแล้วก็ก้าวขึ้นไปบนท่าเทียบเรือ แต่พอได้ยินแม่เฒ่ายังก่นด่าไม่หยุด จึงย้อนกลับไปเอาเสื่อหลายผืนโปะลงไปคลุมหัวคลุมหูเอาไว้ หมายว่าจะให้ช่วยกลบเสียงลงได้บ้าง
ระหว่างที่สาละวนอยู่กับแม่เฒ่านั้นเอง
ดวงอาทิตย์กลมโตและแดงจัดก็โผล่พ้นทิวเขาฮิงาชิยามะ สาดส่องแสงรุ่งอรุณแรกแห่งปีฉาบฉาบไปทั่วบริเวณ
วันขึ้นปีใหม่
มูซาชิยืนรับแสงอรุณแรกแห่งปีอยู่ที่เชิงสะพานโกโจ ด้วยความรู้สึกว่าลำแสงแดงจัดของดวงตะวันสาดส่องลึกลงไปหลอมละลายความหลงใหลได้ปลื้มกับตัวเอง ที่เหมือนหนอนตัวเล็ก ๆ ชอนไชอยู่ในใจตลอดปีที่ผ่านมาให้หมดสิ้นไป อกใจจึงเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหวังของชายวัยหนุ่ม
ข้ายังหนุ่ม
มูซาชิมองไปยังดวงอาทิตย์ที่ทิวเขาและตะโกนก้องอยู่ในใจ
พลังจากโมจิห้าก้อนยังอัดแน่นอยู่เต็มกาย
มาตาฮาจิหายหัวไปไหน ทำไมยังไม่มา
เจ้าหนุ่มนักดาบกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนมองไปบนสะพาน แล้วก็ต้องชะงักและอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อพบว่าสิ่งที่มารอตนอยู่นั้นไม่ใช่มาตาฮาจิหรือใครอื่น แต่เป็นป้ายที่ศิษย์สำนักโยชิโอกะกลุ่มอูเอดะ เรียวเฮเอามาปักไว้เมื่อวานนี้
สถานที่, ทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวง
วันเวลา, วันที่เก้าของปีใหม่ เวลาเช้าเจ็ดนาฬิกา
มูซาชิชะโงกหน้าเข้าไปมองจึงพบว่าเป็นป้ายที่เพิ่งเขียนขึ้นใหม่ ๆ หมึกที่เขียนตัวอักษรยังชัดเจน และเพียงอ่านข้อความเท่านั้นเลือดนักสู้ก็ฉีดแรง กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งตึงราวกับเม่นที่พองขนแหลมขึ้นทั่วตัวพร้อมสู้
“โอ๊ยเจ็บ ทำไมเจ็บอย่างนี้”
ตาซ้ายที่ปวดแสบปวดร้อนมาตลอดเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีก และพอก้มหน้าลงและยกมือขึ้นไปกุมตาก็พบว่าตรงคางมีเข็มเล็กมากเล่มหนึ่งปักอยู่ เจ้าหนุ่มนิ่วหน้าและพอมองไปทั่วตัวก็พบเข็มแบบเดียวกันนั้นอีกสี่ห้าเล่มปักอยู่ที่คอและแขนเสื้อกิโมโน สะท้อนแสงระยิบระยับราวกับก้านน้ำค้างแข็งบนพื้นดิน
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คำพังเพยโบราณเปรียบเปรยคนบ้าบิ่นที่บังอาจท้าทายคนที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่มองสารรูปตัวเองว่าเป็นเสมือนตั๊กแตนตำข้าวที่เงื้อง่าขาหน้าที่เหมือนเคียวหมายจู่โจมยานพระที่นั่งแห่งพระราชาผู้เป็นจอมทัพ
และนั่นคือท่าทางของแม่เฒ่าโอซูงิขณะจับดาบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตั้งท่าเข้าฟาดฟันประจัญบานกับศัตรูคู่อาฆาต
ร่างผอมเกร็งแทบจะมีแต่หนังหุ้มกระดูกไม่ผิดอะไรกับตั๊กแตนตำข้าวที่ขยับปลายขาหน้ายาวเรียวคมเหมือนเคียวกระทบกันดังกริบ ๆ ตั้งท่ากระโจนเข้าห้ำหั่นชายร่างใหญ่กำยำที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า
เส้นเลือดในดวงตาเล็ก ๆ ของนางแดงจัดเหมือนตาตั๊กแตน และไม่ใช่แค่ตาเท่านั้น ทั่วทั้งสารพางค์กายไม่ว่าสีผิวหรือรูปทรงคือแม่เฒ่าตั๊กแตนตัวจริง และท่าที่นางยืนเหยียดสุดตัว แหงนหน้าขึ้นมองได้ไม่ถึงหน้าอกที่สมบูรณ์ด้วยมัดกร้ามทาเกโซ เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่กำยำนั้นตรงกับคำพังเลยที่ว่าตั๊กแตนตำข้าวบังอาจจู่โจมราชพาหนะของจอมราชันย์อย่างไรอย่างนั้น
แต่มูซาชิเห็นขันเหมือนกำลังดูยายแก่ทำท่าหลอกล่อเด็กเล็ก ๆ แต่ความเวทนาจับใจทำให้หัวเราะไม่ออก
“นาย นายแม่ใหญ่ ช้าก่อน”
เจ้านักดาบรีบยื่นมือไปยึดข้อศอกไว้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็แรงพอที่ยึดเอาไว้ไม่ให้ชักดาบสั้นออกจากฝัก
“อย่านะ เอ็งจะทำอะไรข้า”
แม่เฒ่าสะบัดมือไปมาจนฝักดาบคลอนไปมาในจังหวะเดียวกับฟันหน้าที่จวนจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ของนาง
น่าขันจนเจ้าหนุ่มต้องสูดหายใจแรง ๆ เพื่อกลั้นหัวเราะ
“ไอ้ขี้ขลาด คิดว่าจะสู้ได้รึ ปากยังไม่ทันจะสิ้นกลิ่นน้ำนมอย่ามาทำโอหัง ถ้าคิดว่าจะสู้กับข้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสี่สิบกว่าปีได้ก็ชักดาบออกมาสู้กันเลย ไม่ต้องทำมาพูดให้มากความ กล้าดีก็เข้ามาเลย”
แม่เฒ่าออกแรงทั้งดิ้นทั้งสะบัดข้อศอกให้หลุดจากอุ้งมือแข็งแรงของเจ้าหนุ่มจนหน้าเขียวตัวเขียวไปหมด
มูซาชิพยักหน้า
“เข้าใจ ข้าเข้าใจความรู้สึกของนายแม่ใหญ่ และเคารพนับถือจิตวิญญาณความเป็นนักสู้ผู้กล้าหาญของตระกูลฮนอิเด็น ที่อุทิศใจกายให้แก่การสู้รบเพื่อท่านชินเม็น มูเนสึนะผู้ครองแคว้น”
“ไม่ต้องมาสรรเสริญเยินยอ รู้ไว้ด้วยว่าข้าไม่ใช่แม่เฒ่าที่จะมาหลงคารมเด็กเหลือขอรุ่นหลานรุ่นเหลนอย่างเอ็ง”
“หยุดดื้อดึงตึงตังและฟังข้าพูดนิดหนึ่งได้ไหม”
“อ๋อ จะสั่งเสียถึงใครก่อนตายงั้นรึ”
“ไม่ใช่ ข้าแค่อยากชี้แจงให้นายแม่ใหญ่เข้าใจ ก็เท่านั้น”
“ข้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
แม่เฒ่ายิ่งดิ้นมาหลุดก็ยิ่งโกรธจนตัวแทบลุกเป็นไฟ เขย่งปลายเท้ารวบรวมกำลังที่มีอยู่และพุ่งตัวออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง เจ้าจะมาชี้แจงอะไรเอาป่านนี้ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ไอ้ชั่ว”
“ไม่ฟังก็ตามใจ แต่เอามีดสั้นมานี่เลย ทาเกโซคนนี้จะเก็บเอาไว้ให้”
มูซาชิยื่นมือไปที่ดาบสั้นหวังจะยึดเอาไว้ตามคำพูด และบอกว่า
“ใกล้จะถึงเชิงสะพานโกะโจแล้ว และเมื่อมาตาฮาจิมาถึง นายแม่ใหญ่ก็ได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากลูกชาย”
แม่เฒ่าเบี่ยงตัวหลบทำตาขวางเมื่อถามห้วน ๆ ว่า
“มาตาฮาจิจะมาที่นี่งั้นรึ”
“ใช่ ข้าส่งจดหมายนัดพบไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว”
“ว่าไงนะ”
“ข้านัดทาตาฮาจิให้มาพบกันที่นี่เช้าวันนี้”
“โกหก”
แม่เฒ่าตวาดแว้ดและสั่นหัวดิก ถ้ามาตาฮาจิมีนัดเช่นนั้นจริงก็ต้องบอกตนแล้วเมื่อตอนพบกันที่โอซากา แต่ที่ไม่ได้บอกอะไรก็เพราะเจ้าลูกชายได้รับคำนัดจากมูซาชิ ซึ่งหมายความว่าคำพูดทั้งหมดของมูซาชิคือคำโกหก
“ขายขี้หน้า เจ้าจะตลบตะแลงสับปลับไปถึงไหนหาเจ้าทาเกโซ เอ็งเป็นลูกชายของมูนิไซซามูไรที่ใคร ๆ นับหน้าถือตาว่าเป็นผู้รักความสัตย์เท่าชีวิต พ่อเจ้าไม่สอนเลยหรือว่าคนเราเวลาตายจะต้องตายอย่างคนจิตใจบริสุทธิ์อย่างน้อยก็ยึดถือศีลห้า เลิกพูดจาเล่นลิ้นกับข้าและยื่นคอมาสังเวยคมดาบของข้าแต่โดยดี หรืออยากประดาบลองดีกับข้าก็เอาเลย แต่จงรู้ไว้ว่าพระพุทธ และเทพยดาฟ้าดินคุ้มครองดาบของข้าไม่ให้พ่ายแก่อธรรม”
ว่าแล้วแม่เฒ่าก็ย่อเข่าลงสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมของมูซาชิ ซวนเซไปตั้งหลัก ชักดาบสั้นออกมากุมด้ามไว้ด้วยมือทั้งคู่ และพุ่งตัวเข้าใส่มูซาชิทันควัน เจ้าหนุ่มเบี้ยงตัวหลบ ปลายมีดจึงพลาดหน้าอกแหวกอากาศวื้ดไป
“ใจเย็นหน่อยนายแม่ใหญ่”
มูซาชิไม่ได้คิดจะสู้ ได้แต่ผลักไหล่แม่เฒ่าไปทางหนึ่ง ซึ่งยิ่งเป็นการยั่วให้แม่เฒ่าบ้าคลั่ง แกว่งดาบฉวัดเฉวียนพลางร้องขอให้เทพเจ้าช่วยให้วุ่นไปหมด เจ้าหนุ่มคุมเชิงอยู่และพอได้จังหวะก็คว้าข้อมือแม่เฒ่าบิดไปข้างหลังและดึงเข้ามาชิดตัว
“พอได้แล้วนายแม่บ้านใหญ่ อาละวาดไปก็เหนื่อยเปล่า บอกแล้วไงว่าอีกนิดเดียวก็ถึงสะพานโกโจแล้ว สงบจิตสงบใจแล้วเดินไปด้วยกันดีกว่าไหม”
แม่เฒ่ายังไม่หมดฤทธิ์ นางเหลียวมาทำตาเขียวจ้องหน้ามูซาชิเขม็ง ห่อปากและทำท่าคล้ายถ่มน้ำลาย
แต่ไม่ใช่ นางปล่อยลงจากกระพุ้งแก้มดัง ฟิ้ว
มูซาชิผลักแม่เฒ่าออกไปเต็มแรง เอี้ยวตัวหลบไปทางหนึ่งพร้อมกับแล้วยกมือขึ้นกุมตาข้างซ้าย
2
ดวงตาข้างซ้ายปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันทีเหมือนลูกไฟกระเด็นเข้าตา มูซาชิหวาดว่าอาจโดนอาวุธหรือของมีคมจึงลองเผยอฝ่ามือที่กดตาซ้ายไว้ออกดู ก็ไม่เห็นมีเลือดติดอยู่แต่ตาลืมไม่ขึ้น
ฝ่ายแม่เฒ่าโอซูงิ เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เสียหลักเพราะพิษที่พ่นออกไป นางก็ลำพองใจสุดแสนกับชัยชนะ ตรงรี่เข้าไปฟันซ้ำไม่ยั้ง สองคาบและสามดาบ ปากก็สาปแช่งอ้างว่าพระพุทธและเทพเจ้าลงโทษไม่หยุด
เจ้าหนุ่มนักดาบตั้งตัวไม่ติดไหนจะพะวงกับความเจ็บแสบที่ดวงตา จึงได้แต่เบี่ยงตัวหลบเป็นพัลวัน แต่แล้วก็โดนปลายดาบเฉี่ยวผ่านเสื้อเข้าไปได้เลือดที่ต้นแขนจนได้
พอเห็นแขนเสื้อขาดของมูซาชิออกเผยให้เห็นเลือดซึมออกมาจากรอยเฉี่ยว และเจ้าตัวยืนนิ่งขึงอยู่เหมือนต้นไม้ที่ถูกตัดขาดสองท่อน แม่เฒ่าก็ร้องเสียงแหลมและกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจล้นเหลือ
“นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ”
แม่เฒ่าท่องคาถาไม่หยุดปากพร้อมกับรำดาบไปรอบ ๆ มูซาชิซึ่งยืนกุมตาข้างที่เจ็บอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะสู้
เจ้าหนุ่มได้แต่เบี่ยงตัวด้วยความระวังระไวไม่ให้โดนคมดาบเข้าอีก ไม่มีแก่ใจจะตอบโต้เพราะตาซ้ายเจ็บแสบยิ่งขึ้นทุกที แผลที่ขาแม้จะแค่ถูกปลายมีดเฉี่ยวตื้น ๆ แต่เลือดก็ไหลออกมาซึมเสื้อเป็นดวง
ข้าแพ้หรือ
กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นผู้แพ้เสียแล้ว
ในการต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมามูซาชิไม่เคยตกเป็นเบี้ยล่างของใคร และไม่เคยหลั่งเลือดเปื้อนคมดาบของผู้ใดมาก่อน
แต่เมื่อตรองดูอีกที ใจหนึ่งก็ค้านว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้เอาแพ้เอาชนะ เพราะตนไม่ได้ถือว่าแม่เฒ่าคนนี้เป็นคู่ต่อสู้เลยสักนิด ไม่ได้คิดว่าใครจะแพ้ใครจะชนะมาตั้งแต่ต้น และเป็นธรรมดาที่นักดาบหนุ่มอย่างตนย่อมไม่ชักดาบออกมาต่อกรกับแม่เฒ่าร่างกายผ่ายยอมแทบจะไม่มีแรงคนนี้อยู่แล้ว
แต่เมื่อวินิจฉัยตามตำราพิชัยสงครามนี่คือความพ่ายแพ้ แม้บาดแผลจะน้อยนิดแต่ก็สะท้อนให้เห็นชัดว่า ความอ่อนโลกของมูซาชิแพ้ความเลื่อมในศรัทธาต่อเทวดาฟ้าดินของแม่เฒ่าโอซูงิและปลายดาบของนางอย่างสิ้นเชิง
ข้าคิดผิด
ทันทีที่สำนึกได้ว่าตนประเมินแม่เฒ่าโอซูงิผิด มูซาชิก็เงื้อมือขึ้นสุดล้าและฟาดสุดแรงลงไปที่ไหล่ของแม่เฒ่าโอซูงิซึ่งชูดาบรี่เข้าใส่หมายเผด็จศึก
“จ๊าก”
แม่เฒ่าร้องลั่น ร่างเล็กทรุดฮวบลงไปหมอบอยู่กับดินเหมือนตุ๊กตาฟางเก่าคร่ำคร่า ดาบสั้นกระเด็นไปไกล
มูซาชิเดินไปเก็บดาบขึ้นมาถือไว้และใช้มืออีกข้างหนึ่งจับตัวแม่เฒ่าที่กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเต็มทีขึ้นมาหนีบไว้ข้างตัว
“เจ็บใจนัก ปล่อยข้า”
แม่เฒ่าตวาดเสียงแหลม พยายามดิ้นออกจากวงแขนแข็งแรงของเจ้าหนุ่ม แต่ก็ทำได้เพียงโผล่หัวออกมาก่นด่าจากใต้รักแร้เหมือนเต่าโผล่หัวจากกระดอง
“พระพุทธ พระโพธิสัตว์ เทพเจ้าเหล้าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในดาบ ทำไมถึงได้ทิ้งข้าไปเช่นนี้ ข้าอุตส่าห์สวดภาวนาขอศีลขอพรอยู่ทุกวี่ทุกวัน ทิ้งข้าไปแล้วข้าจะทำยังไง ทาเกโซ เจ้าชนะแล้ว อย่าทำให้ข้าต้องอับอายยางไปกว่านี้เลย ตัดคอข้าเสียเถิด เอาเลย...ตัดคอนางเฒ่าคนนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป”
มูซาชิเม้มปากแน่น และออกเดินก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้าเงียบ ๆ ไม่ใยดีกับแม่เฒ่าที่ดิ้นและแผดเสียงแหบแห้งร้องแรกแหกกระเชอไม่หยุด
“หากเป็นดวงชะตาของนักรบที่สวรรค์ประทาน หากเป็นพระประสงค์ของเทพยดาฟ้าดิน ข้าก็ไม่อาจฝืนได้ แต่เจ้าทาเกโซ แม้ฆ่าข้าให้ตายก็อย่าคิดว่าข้าจะเลิกจองเวรจองกรรมเจ้า เพราะถ้ามาตาฮาจิรู้ว่าอากงญาติสนิทมิตรรักของข้าที่ดั้นด้นเดินทางมาด้วยกันตาย และข้าถูกเจ้าฆ่าตายไปอีกคน ก็จะต้องล้างแค้นแทนแน่นอน และจะต้องเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเจ้าลูกชายของข้าคนนี้
ไม่ต้องรอช้าทาเกโซ บั่นคอข้าเดี๋ยวนี้เลย...นี่เจ้าจะพาข้าไปไหน คิดจะประจานข้าให้ได้อายงั้นรึ บั่นคอข้าเร็ว ๆ เลย ข้าบอกให้เร็วไง เร็ว”
3
เสียงกรีดร้องของแม่เฒ่าหนวกหูเป็นที่สุด แต่มูซาชิไม่ใส่ใจ ได้แต่หนีบร่างแม่เฒ่าเดินดุ่ม ๆ ไปจนถึงเชิงสะพานโกโจ แล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่วางตัวแม่เฒ่า
เอาไปไว้ที่ไหนดีนะ
“ได้การละ”
เจ้าหนุ่มพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนเดินลงไปที่ชายน้ำ และค่อย ๆ วางร่างแม่เฒ่าลงบนท้องเรือลำหนึ่งที่ผูกอยู่ที่ท่าเทียบเรือ
“คอยอยู่ที่นี่นะนายแม่บ้านใหญ่ อดทนนิดหนึ่ง อีกเดี๋ยวเดียวมาตาฮาจิก็จะมา”
“เอ็ง เอ็งจะทำอะไรข้า”
แม่เฒ่าโอซูงิปัดมือเจ้าหนุ่ม และตะกุยตะกายเสื่อปูท้องเรือเป็นพัลวัน
“โกหก มาตาฮาจิจะมาได้ยังไง อ๋อ...เอาชนะนางเฒ่าคนนี้ได้แล้วยังไม่พอ พามาที่สะพานใหญ่นี่ก็เพราะคิดจะประจานข้าให้ได้อายเสียก่อนแล้วถึงจะฆ่าใช่ไหม ไอ้ทาเกโซ ไอ้ชั่ว”
“นายแม่บ้านใหญ่จะคิดยังไงก็ตามใจเลย เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“บั่นคอข้าเดี๋ยวนี้”
เจ้าหนุ่มหัวเราะลั่น
“หัวเราะอะไร คอผอม ๆ แค่นี้ตัดไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้”
“อะไรนะ”
แม่เฒ่าสิ้นท่าแต่ก็ยังไว้ลาย เพราะพอมูซาชิตั้งท่าจะมัดร่างผอมเกร็งนั้นไว้กับกราบเรือ แม่เฒ่าก็แว้งกัดเข้าที่ท่อนแขนทำเอาเจ้าหนุ่มต้องร้องโอ๊ยออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ยอมให้กัดจนกระทั่งมัดเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงเก็บดาบสั้นของแม่เฒ่าเจ้าฝักเหน็บเอวไว้ให้ตามเดิม แต่พอจะขึ้นจากเรือ แม่เฒ่าก็ร้องเรียกเอาไว้
“ทาเกโซ น้ำหน้าอย่างเจ้าคงไม่รู้จักวิถีแห่งนักรบที่แท้จริง กลับมานี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะสอนให้ซึมซับถึงกระดูกดำเลยทีเดียว”
“ทีหลังก็ได้”
ว่าแล้วก็ก้าวขึ้นไปบนท่าเทียบเรือ แต่พอได้ยินแม่เฒ่ายังก่นด่าไม่หยุด จึงย้อนกลับไปเอาเสื่อหลายผืนโปะลงไปคลุมหัวคลุมหูเอาไว้ หมายว่าจะให้ช่วยกลบเสียงลงได้บ้าง
ระหว่างที่สาละวนอยู่กับแม่เฒ่านั้นเอง
ดวงอาทิตย์กลมโตและแดงจัดก็โผล่พ้นทิวเขาฮิงาชิยามะ สาดส่องแสงรุ่งอรุณแรกแห่งปีฉาบฉาบไปทั่วบริเวณ
วันขึ้นปีใหม่
มูซาชิยืนรับแสงอรุณแรกแห่งปีอยู่ที่เชิงสะพานโกโจ ด้วยความรู้สึกว่าลำแสงแดงจัดของดวงตะวันสาดส่องลึกลงไปหลอมละลายความหลงใหลได้ปลื้มกับตัวเอง ที่เหมือนหนอนตัวเล็ก ๆ ชอนไชอยู่ในใจตลอดปีที่ผ่านมาให้หมดสิ้นไป อกใจจึงเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหวังของชายวัยหนุ่ม
ข้ายังหนุ่ม
มูซาชิมองไปยังดวงอาทิตย์ที่ทิวเขาและตะโกนก้องอยู่ในใจ
พลังจากโมจิห้าก้อนยังอัดแน่นอยู่เต็มกาย
มาตาฮาจิหายหัวไปไหน ทำไมยังไม่มา
เจ้าหนุ่มนักดาบกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนมองไปบนสะพาน แล้วก็ต้องชะงักและอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อพบว่าสิ่งที่มารอตนอยู่นั้นไม่ใช่มาตาฮาจิหรือใครอื่น แต่เป็นป้ายที่ศิษย์สำนักโยชิโอกะกลุ่มอูเอดะ เรียวเฮเอามาปักไว้เมื่อวานนี้
สถานที่, ทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวง
วันเวลา, วันที่เก้าของปีใหม่ เวลาเช้าเจ็ดนาฬิกา
มูซาชิชะโงกหน้าเข้าไปมองจึงพบว่าเป็นป้ายที่เพิ่งเขียนขึ้นใหม่ ๆ หมึกที่เขียนตัวอักษรยังชัดเจน และเพียงอ่านข้อความเท่านั้นเลือดนักสู้ก็ฉีดแรง กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งตึงราวกับเม่นที่พองขนแหลมขึ้นทั่วตัวพร้อมสู้
“โอ๊ยเจ็บ ทำไมเจ็บอย่างนี้”
ตาซ้ายที่ปวดแสบปวดร้อนมาตลอดเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีก และพอก้มหน้าลงและยกมือขึ้นไปกุมตาก็พบว่าตรงคางมีเข็มเล็กมากเล่มหนึ่งปักอยู่ เจ้าหนุ่มนิ่วหน้าและพอมองไปทั่วตัวก็พบเข็มแบบเดียวกันนั้นอีกสี่ห้าเล่มปักอยู่ที่คอและแขนเสื้อกิโมโน สะท้อนแสงระยิบระยับราวกับก้านน้ำค้างแข็งบนพื้นดิน