xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ผีเสื้อหน้าหนาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
เจ้าของโรงเตี๊ยมชายทะเลที่ซูมิโยชิตกตะลึง เมื่อเยี่ยมหน้าเข้าไปดูคนป่วยที่รับฝากไว้ให้ดูแล และเห็นแต่ฟูกถูกทิ้งไว้เหมือนซากดักแด้ของนางผีเสื้อ
ก็น่าตกใจอยู่หรอกในเมื่อตนรู้เห็นมากับตาว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้แม่สาวน้อยต้องมานอนซมเป็นคนป่วยอยู่ที่นี่ และการหายตัวไปเช่นนี้ก็น่าเกรงนักว่าเจ้าหล่อนอาจคิดสั้น เดินลงทะเลหวังฆ่าตัวตายอีกครั้ง จึงสั่งบ่าวให้ช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไม่พบ จึงเรียกม้าเร็วมานำข่าวไปส่งให้ถึงมือโยชิโอกะ เซจูโรที่เกียวโต จากนั้นก็ไม่ได้พยายามต่อไปเพราะคิดว่าได้ทำตามหน้าที่รับผิดชอบครบถ้วนแล้ว
เอาล่ะ...มาดูแม่สาวน้อยอาเกมิกันบ้าง
แม้จะยินดีปรีดากับอิสรภาพราวนกน้อยหลุดจากกรง แต่พอขยับปีกหมายโผผินสู่ฟ้ากว้างก็บินไม่ขึ้น เพราะกายบอบช้ำนัก ยังไม่ฟื้นจากสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายหลังจากมีคนช่วยชีวิตขึ้นมาจากทะเล ทั้งยังเจ็บปวดแผลฟกช้ำที่ถูกชายโฉดทำอำนาจบาดใหญ่ย่ำยีตรีตราบาป จนหมดสิ้นความภาคภูมิของสาวพรหมจรรย์ที่ทนุถนอมมาเท่าชีวิต แม้จะได้นอนพักอยู่สามสี่วันแต่ใจและกายที่ถูกกระทบกระเทือนรุนแรงอย่างโหดร้าย ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาได้ดังเดิม
แค้นใจนัก
อาเกมินั่งอยู่ในเรือโดยสารที่ล่องไปตามลำน้ำโอโดงาวะ มองสายน้ำพลางรำพึงอยู่ในใจว่าน้ำในแม่น้ำทั้งสายนี้ยังไม่เท่าน้ำตาที่นางอย่างจะหลั่งออกมาด้วยความทุกข์ระคนแค้น
แค้นของใครไหนเล่าจะเท่าแค้นของอาเกมิ เมื่อกายที่สุดถนอมเพื่อหวังมอบให้ชายสุดที่รัก ความปรารถนาอันเป็น นิรันดร์ที่นางมีต่อชายผู้นั้น ถูกชายโฉดชื่อเซจูโรย่ำยีจนแหลกลาญ ถ้าจะเหลือก็เหลือเพียงซากที่ไร้ชีวิตเช่นดักแด้ของนางผีเสื้อ
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นและยิ่งแค้นซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเรือลำน้อยบรรทุกสิ่งมงคลสำหรับประดับเรือนต้อนรับปีใหม่ อันมีกิ่งสนแซมต้นไผ่ประดับสองข้างประตูเรือน วงดอกไม้กับลูกสนประดับบนบานประตู เป็นต้น ต่างเร่งฝีพายพาเรือแข่งแซงกันไปมุ่งสู่นครหลวง
ถึงจะพบท่านมูซาชิที่เกียวโต ฉันก็คง...
คิดแล้วน้ำตาสาวน้อยที่เอ่ออยู่เต็มตาก็ร่วงพรู
มูซาชินัดพบกับมาตาฮาจิที่สะพานโกโจในเช้าวันแรกของปีใหม่
อาเกมิมุ่งเข้านครหลวงด้วยใจเต้นระทึก แม้ตนเองก็บอกไม่ได้ว่าจะปลื้มปิติเพียงใดในพริบตาที่ได้เห็นชายสุดที่รัก
ฉันรักเขาคนเดียว
ชายมากหน้าหลายตาที่เดินผ่านไปมาตามถนนในนครหลวง ไม่มีใครสักคนที่จะทำให้ใจของอาเกมิหวั่นไหวและชายตามอง จะเทียบกับโอโคแม่บุญธรรมของนางกับมาตาฮาจิคงไม่ได้ เพราะสายใยแห่งความคิดถึงคะนึงหาของอาเกมิที่มีต่อมูซาชินั้นนับวันจะยิ่งเหนียวแน่นอย่างไม่มีอะไรจะมาตัดให้ขาดลงได้มาจนทุกวันนี้
ความคะนึงหาที่เปรียบดั่งสายใยแห่งรักนั้นพันทับกันเป็นกลุ่มไหมใหญ่ขึ้นทุกทีอยู่ในอก แม้ไม่ได้พบกันนานวันนานปี แต่สายใยนั้นก็ยืดยาวออกไปและม้วนทบเข้ากับกลุ่มไหมนั้นทุกครั้งที่คิดถึงคะนึงหา ทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำอันหอมหวาน และทุกครั้งที่ได้ยินข่าวคราวจากใคร ๆ
อาเกมิ...สาวน้อยบริสุทธิ์สดใสกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ในท้องทุ่งที่ติดกายมาตั้งแต่ครั้งวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งกว้างเชิงเขาอิบูกิ แต่บัดนี้...กายและใจของสาวน้อยแหลกรานเป็นผงธุลีไปเสียแล้ว ด้วยน้ำมือของชายโฉด
ความมีมลทินติดตัว ทำให้อาเกมิระแวงว่าถูกคนรอบด้านมองด้วยสายตาดูแคลน ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใครสักคนที่จะล่วงรู้เรื่องราวของนาง
“คนสวย จะรีบไปไหน”
ใกล้ค่ำแล้ว อาเกมิก้มหน้าก้มตาเดินมองเงาตัวเอง เงาต้นหลิวไร้ใบและเงาเจดี ไปตามทางเดินในย่านเทรามิจิใกล้กับเขตโกโจ ระทดระทวยราวผีเสื้อที่ต้องลมหนาวจนปีกบอบช้ำ
“น้องสาวไปทำอะไรมาถึงได้เพลียอย่างนี้ เดินจะไม่ไหวแล้วนี่ แวะก่อนไหม ผ้าคาดเอวจะหลุดรึ มานี่สิ พี่จะผูกให้”
ถ้อยคำก็หยาบช้าสายตาก็โลมเลีย ถึงจะร่างผอมโกโรโกโสแต่ก็พกดาบยาวดาบสั้นท่าทางเคยเป็นนักรบมาก่อนแม้จะกลายเป็นซามูไรไร้นาย อาเกมิเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก แต่คนแถวนี้รู้จักกันดีว่าชายคนนี้คืออากาคาเบะ ยาโซมะที่เตร็ดเตร่อยู่ตามย่านเริงรมย์และตามซอกซอยโดยไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
รองเท้าฟางสึกและสายคีบก็แทบจะขาดทำให้อาเกมิต้องพยุงตัวเดินลากขาไปช้า ๆ จึงไม่อาจหนีให้พ้นไปได้ ชายพเนจรเดินอ้อมมาข้างหลังนาง หยิบชายผ้าคาดกิโมโนที่หลุดลุ่ยลงไปลากดินขึ้นมาถือไว้
“สาวน้อย สงสัยว่าจะแสดงเป็นนางบ้าในละครเร่แถวนี้ สารรูปดูไม่ได้เลยนี่ หน้าตาก็ดูดีอยู่หรอก แต่ผมเผ้าทำไมถึงได้กระเซอะกระเซิงอย่างนี้ล่ะ น่าขำชะมัด”

2
อาเกมิทำหน้าบึ้งเห็นได้ชัดว่ารำคาญใจไม่อยากฟัง ทำหูทวนลมเดินลากขาต่อไปตามยถากรรม ฝ่ายยาโซมะ ซามูไรเสเพลเข้าใจผิดคิดว่าสาวน้อยใส่จริตจึงตามตอแยไม่หยุด
“น้องสาวท่าทางเป็นชาวกรุง เป็นคุณหนูใจแตกหนีออกจากบ้านมา หรือว่าหนีผัวออกมาหาลำไพ่”
“... ... ...”
“ระวังนะ สาวสวยอย่างเจ้า ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าต้องมีอะไร มืดค่ำแล้วขืนยังเดินระทดระทวยอยู่ตามซอกซอยอย่างนี้ถ้าจะรอดยาก นครหลวงสมัยนี้แม้ไม่มีพวกโจรไพรใจโหดมาซามคอยฉุดสาว ๆ อยู่แถวประตูราโชมอนหรือภูเขาโอเอะ แต่พวกซามูไรพเนจร ซามูไรไร้นาย พอเห็นสาวสวยผ่านมาจะต้องกลืนน้ำลายลงคอกันเป็นแถว แล้วยังมีพวกพ่อค้ามนุษย์อีก น่ากลัวนัก”
“... ... ...”
อาเกมิไม่เออออด้วยสักคำ แต่เจ้ายาโซมะก็ยังถือชายผ้าคาดกิโมโนของนางเดิมตามมาพลางพูดเองเองเออเองไม่หยุด
“สารเลวจริง ๆ ไอ้พวกมันกว้านซื้อผู้หญิงไปขายที่เอโดะบอกว่าตอนนี้ผู้หญิงเกียวโตกำลังราคาดี สมัยก่อนตอนที่จอมทัพตระกูลฟูจิวาระไปตั้งนครหลวงอยู่ที่ฮิราอิซูมิในแคว้นมิจิโนกุ ผู้หญิงเกียวโตก็ถูกพาไปขายมากมาย ตอนนี้ฮิเดทากะ จอมทัพรุ่นที่สองของตระกูลโทกุงาวะกำลังเร่งมือสร้างเอโดะให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง ตลาดค้าขายผู้หญิงเกียวโตที่นั่นก็พลอยเจริญรุ่งเรืองไปด้วย เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนี้ที่แหล่งเที่ยวผู้หญิงแถวเมืองซูมิโจ เมืองฟูจิมิ เมืองซาไก เมืองซูมิโยชิ ก็ตื่นตัวเตรียมสินค้ากันแล้ว”
“... ... ....”
“สาวงามอย่างเจ้าใครเห็นเข้าเป็นต้องสะดุดหยุดมอง ข้าขอเตือนด้วยความหวังดีว่าให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าให้ถูกจับไปขาย หรือว่าเข้าไปติดกับพวกซามูไรพเนจร ถ้าไม่ระวังเป็นต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่”
อาเกมิเหลืออดหันไปทำตาขวาง แล้วตวาดเสียงเขียวเหมือนไล่หมาที่เข้ามาพันแข้งพันขา
“ไป ไปให้พ้น”
ยาโซมะหัวเราะชอบใจ
“นึกแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นคนเล่นเป็นหญิงบ้าในคณะละครเร่”
“หยุดพล่ามได้แล้ว”
“อ้าว ไม่ใช่หรอกรึ”
“คนบ้า”
“อะไรนะ”
“เจ้านั่นแหละบ้า บ้าที่สุด”
“อย่างนี้แหละ ใช่แน่ ๆ นางบ้าแห่งคณะละครเร่ น่าสงสารจัง”
“อย่ามายุ่ง ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
อาเกมิโกรธจัดคว้าก้อนหินขึ้นมากำไว้ ตั้งท่าจะเอาเรื่อง ยาโซมะร้องลั่นแต่ก็ไม่ทำท่าว่าจะผละออกมา
“เดี๋ยวสิ น้องสาวใจเย็น ๆ “
“ไอ้บ้า ไปให้พ้น ไป”
สาวน้อยกรีดเสียงแหลมข่มความกลัว รวบรวมกำลังสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเสเพลแล้ววิ่งเตลิดไปข้างหน้า บุกเข้าไปในทุ่งหญ้าคาสูงท่วมหัวในบริเวณที่เคยเป็นคฤหาสน์ของท่านโคมัตสึขุนนางชั้นผู้ใหญ่
“จะหนีไปไหน แม่สาวน้อย”
ยาโซมะกระโจนไล่หลังมาไม่ลดละราวกับหมาล่าเนื้อ
ค่ำแล้ว ดวงจันทร์เสี้ยวแหลมราวกับนางปีศาจแยกเขี้ยวโผล่พ้นทิวเขาโทริเบะ
ละแวกนั้นเป็นที่เปลี่ยวไม่มีผู้คนสัญจรไปมา ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลงมาจากเชิงเขาแต่แม้จะได้ยินเสียงกรีดร้องของอาเกมิก็คงไม่มีใครวิ่งเข้ามาช่วย เพราะมองจากเสื้อผ้าสีขาวที่สวมใส่ หมวกฟางบนศีรษะ และลูกประคำในมือแล้ว รู้ได้ว่าเพิ่งกลับมาจากพิธีอำลาผู้เป็นที่รักที่วัดชายทุ่งน้ำตายังไม่ทันแห้ง
3
อาเกมิถูกชนจากข้างหลังอย่างแรงจนกระเด็นไปล้มไม่เป็นท่าอยู่ในพงหญ้าคา
“ขอโทษ ขอโทษ”
ยาโซมะเสตีหน้าตายทั้งที่ตนตั้งใจผลัก ตรงเข้าไปประคองสาวน้อยขึ้นมาแนบไว้กับอก
“โอ๋ ๆ เจ็บไหม”
อาเกมิขืนตัวผละออกไป และพอได้จังหวะก็ตบหน้าที่กร้านสากไปด้วยตอหนวดและเคราสุดแรงเกิด เพี๊ยะ ...เพี๊ยะติด ๆ กันไม่นับทำเอาหน้าสั่นไปได้เหมือนกัน
แทนที่จะโกรธ ยาโซมะกลับยิ้มย่อง หรี่ตาคล้ายกับตรองว่าจะตอบตบนั้นอย่างไรดี
และแทนที่จะคลายวงแขนที่ประคองสาวน้อยขึ้นมาแนบอก เจ้าซามูไรเสเพลกลับกระชับให้แน่นขึ้นอีก แล้วเกลือกแก้มที่ถูกตบลงกับแก้มนิ่มนวลของสาวน้อย ยิ่งส่ายหน้าหนีก็ยิ่งถูกตอหนวดเคราทิ่มแทงราวเข็มแหลมนับไม่ถ้วนจนเจ็บแสบไปทั่วทั้งยังอึดอัดหายใจไม่ออก
อาเกมิกางกรงเล็บทั้งสองข้างข่วนควาก ๆ ลงไปไม่เลือกที่ ระหว่างนั้นมีจังหวะหนึ่งที่นิ้วนางทิ่มเข้าไปในจมูกของ ยาโซมะเต็มแรงจนเลือดโชก ปลายจมูกแดงจัดราวกับจมูกมังกร แต่วงแขนของที่รัดรึงอยู่ก็ยังไม่คลายออก
เสียงระฆังจากวิหารฮามิดะบนภูเขาโทริเบะดังเหง่งหง่างบอกเวลาย่ำค่ำซึ่งย้ำเตือนให้ผู้คนละกิเลส ไม่ได้ผ่านหูเข้าไปสะกิดใจให้ซามูไรพเนจรที่กำลังหื่นตัณหาหน้ามืดรู้สำนึก พงหญ้าคาแห้งเกราะไหวไปมารุนแรงราวคลื่นลูกใหญ่ในทะเลเมื่อฝ่ายหนึ่งรุกคุกคามและอีกฝ่ายดิ้นสู้สุดแรง
“จะดิ้นไปทำไม คนสวย”
“... ... ...”
“ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ”
“... ... ...”
“ข้าจะทำให้เจ้าเป็นเมียข้าไง ไม่ดีรึ”
“ตาย ตาย ข้าอยากตาย”
อาเกมิกรีดสุดเสียงราวกับคนบาดเจ็บสาหัส จนแม้แต่ยาโซมะที่กำลังหื่นกระหายยังต้องชะงัก
“อะไรอีกละ อยากตายทำไม”
อาเกมิสั่นหัวเร่า ๆ กอดเข่าขึ้นมาจรดอกซุกหน้าลงไปเป็นก้อนกลมราวกับดอกตูมของกุหลาบป่า
ยาโซมะเป็นเสือผู้หญิงหน้าตาดุดันน่ากลัวก็จริงแต่เนื้อแท้ไม่ใช่คนกักขฬะ พยายามปลอบโยนด้วยคำหวานเพื่อให้ อาเกมิเลิกขืนตัวต่อต้าน ดูท่าแล้วคล้ายกับสนุกกับบทบาทปลอบหญิงเสียด้วยซ้ำ เหมือนเสือที่จับเหยื่อมาหยอกเล่นจนพอใจแล้วจึงตะปบกิน
“อย่าร้องไห้ไปเลย นิ่งเถอะนะ คนดี”
ยาโซมะกระซิบเสียงกระเส่าและจูบที่ซอกหู
“เจ้าไม่เคยต้องมือชายเลยรึ ไม่จริงน่า อายุขนาดน้องสาวนี่ใครจะปล่อยให้ผ่านมือไปได้”
อาเกมินึกไปถึงโยชิโอกะ เซจูโรโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นนางอึดอัดหายใจไม่ออกแทบจะขาดใจ...ดวงตาพร่าพราย แม้แต่บานประตูบุกระดาษสารอบห้องก็ยังลางเลือน
เทียบกันแล้วครั้งนี้จิตใจของสาวน้อยสงบราบคาบ
“เดี๋ยวก่อน”

อาเกมิหลุดปากออกมาทั้งที่ยังไม่คลายตัวจากท่ากอดตัวกลมเหมือนหอยทาก ไม่ได้ตั้งใจว่าจะหมายความว่าอย่างไร ลำตัวที่เพิ่งหายป่วยยังร้อนระอุ แต่ยาโซมะกลับเข้าใจไปอีกอย่าง

“เดี๋ยวก่อนรึ ได้ ๆ ข้ารอได้ แต่ถ้าหนีละก็ ได้เห็นดีกันแน่”
“ไป ไปให้พ้น”
สาวน้อยสะบัดตัวอย่างแรงและปัดมือยาโซมะที่ลวนลามเนื้อตัวนางออกไปให้พ้น และพอใบหน้าของยาโซมะผงะออกนิดหนึ่งนางก็จ้องตาเขม็งพลางยันตัวลุกขึ้นยืน
“จะทำอะไร”
“รู้แล้วยังจะมาถาม”
“นึกว่าข้าเป็นผู้หญิงแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบงั้นรึ ผู้หญิงอย่างข้ามีจิตวิญญาณเหมือนกัน ไม่ยอมให้ใครย่ำยี
ได้ง่าย ๆ หรอก”
อาเกมิกัดริมฝีปากที่เลือดซึมซิบ ๆ เพราะถูกคมหญ้าบาด น้ำตาร่วงพรูผ่านแก้มนวลลงมาผสมกับหยดเลือด
“เอ๊ะ พูดอะไรดี ๆ ก็เป็นนี่ เชื่อแล้วละว่าไม่ใช่เป็นตัวละครนางบ้าของคณะละครเร่”
“ก็ไม่ใช่น่ะซี”
อาเกมิฉวยโอกาสที่ยาโซมะเผลอตัว ผลักอกซามูไรจอมหื่นเต็มแรง ก่อนวิ่งฝ่าเข้าไปในพอหญ้าคาพร้อมกับกรีดร้องสุดเสียง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มันจะฆ่าฉัน”
4
อาเกมิกรีดร้องราวกับคนเสียสติ ส่วนสภาพจิตของยาโซมะนั้นก็ฟั่นเฟือนเป็นคนบ้าไปจริง ๆ ทิ้งคราบความเป็นมนุษย์ไปจนหมดสิ้นกลายเป็นสัตว์ป่าแยกเขี้ยวกางกงเล็บเบิ่งตาวาววามไล่ล่าเหยื่อ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
สาวน้อยวิ่งแหวกพงหญ้าภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์ไปได้ไม่กี่ก้าวก็เสียท่า ร่างอ้อนแอ้นถูกพยัคฆ์ร้ายขย้ำเอาไว้ทั้งตัว ถีบแข้งถีบขาดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด
กิโมโนถลกขึ้นมาด้วยแรงดิ้นรนปล่อยท่อนขาเปลือยเปล่าขาวนวล ผมดำขลับสลวยสวยขำกระจายออกพันใบหน้าและลำคอระหง แก้มนวลเกลือกลงไปบนพื้นดินเมื่อส่ายหลบหน้าสัตว์ป่าที่คุกคามลงมาไม่ยั้ง
แม้จะใกล้ฤดูใบไม้ผลิแต่ลมที่พัดลงมาจากยอดเขาก็ยังเยียบเย็น อกเสื้อแหวกเผยหน้าอกเปลือย ปทุมถันกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจหอบเมื่อกรีดร้องสุดเสียงไม่หยุดและสั่นไหวเมื่อต้องลมหนาว ยาโซมะตาถลนแทบลุกเป็นไฟ ขยับไม้ขยับมือหมายจาบจ้วงให้หนำใจ
ทันใดนั้นเอง ซามูไรในคราบสัตว์ป่าก็ต้องผงะหงายร้อง“จ๊าก” ลั่นทุ่งเมื่อถูกของแข็งฟาดเจ้าอย่างแรงที่กกหู เลือดที่ไหลเวียนทั่วตัวหยุดชะงักและไหลย้อนกลับมารวมกันอยู่ตรงที่ถูกฟาด เส้นประสาทแทบระเบิดพ่นไฟออกมา
“โอ๊ย ใครวะ บังอาจตีหัวข้า”
ยาโซมะร้องลั่นพร้อมสบถหยาบคาย แต่ไม่ทันจะหันหลับไปดูอาวุธในมือของศัตรูก็แหวกอากาศดังวื้ดฟาดซ้ำลงมาที่เดิมแรงกว่าครั้งแรกเสียอีก คราวนี้เข้าซามูไรเถื่อนร้องไม่ออก หงายหลังลงไปนอนอ้าปากพะงาบ ๆ กลอกตาส่ายหัวไปมาอยู่บนพื้น จะว่าไม่เจ็บก็คงไม่ใช่ น่าจะเพราะถูกจู่โจมซ้ำกะทันหันจนไม่มีเวลาเจ็บมากกว่า
พระวณิพกกระชับขลุ่ยชากูฮาจิ อาวุธสยบซามูไรเถื่อนพลางก้าวออกมาจากมุมมืด
“โธ่เอ๋ย ทำเก่ง ที่แท้ก็ไม่เอาไหน เจอแค่ขลุ่ยเข้าสองทีก็กลิ้งไม่เป็นท่า”
ใช่...ฟาดแค่สองที ที่ตำแหน่งที่ฟาดลงไปเป็นส่วนสำคัญของสมอง ถึงจะฟื้นคืนสติขึ้นมาแต่ปัญญาจะไม่มีวันกลับมาปกติตามเดิม พระวณิพกมองลงไปที่เจ้าซามูไรเถื่อน ชั่งใจว่าจะเมตตากว่าไหมถ้าช่วยให้จบชีวิตเสียเพียงนี้
อาเกมิจ้องหน้าพระวณิพกผู้ช่วยชีวิตนางด้วยสายตาว่างเปล่า
นอกจากขลุ่ยชากูฮาจิ ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระวณิพกแล้ว ชายวัยราวห้าสิบใส่เสื้อผ้ามอมแมมและหนวดเหนือริมฝีปากที่เหมือนหนวดข้าวโพด แถมเหน็บดาบด้วยคนนี้น่าจะเป็นซามูไรพเนจรหรือขอทานมากกว่า
“ไม่เป็นไรแล้ว”
อาโอกิ ทันซาเอมอน อดีตซามูไรหนวดปลาดุก หันไปหัวเราะเห็นฟันหน้าซี่โตกับอาเกมิ
“สบายใจได้แล้ว นางหนู”
อาเกมิเพิ่งหายตกใจ
“ขอบใจท่านมากที่ช่วยหนูเอาไว้”
ว่าพลางรีบจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยอยู่ให้เข้าที่เข้าทาง แล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่ยังหวาดระแวง
“เจ้ามาจากไหน”
“บ้านรึ บ้าน คือบ้านข้า...”
อาเกมิยอกมือทั้งคู่ขึ้นปิดหน้าร้องไห้กระซิก
“ร้องไห้ทำไม”
พระวณิพกถามแต่สาวน้อยก็ไม่อาจบอกความจริงทั้งหมดได้ จึงร้องไห้พลางเล่าเรื่องโกหกบ้างจริงบ้างไปตามเรื่องว่า แม่เอาตัวนางมาขายแลกที่ซูมิโยชิ แต่นางหนีมาได้และพอผ่านมาทางนี้ก็ถูกซามูไรอันธพาลฉุดมาจะข่มขืนก็พอดีหลวงพ่อมาช่วยไว้ได้
“เป็นตายยังไงหนูก็ไม่กลับบ้าน ทนอยู่มานานเต็มทีแล้วและไม่ขอทนอีกต่อไป หนูอายนะ แต่ก็จะเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ตอนเด็ก ๆ หนูเคยไปขโมยของจากศพของซามูไรที่ตายในสนามรบมาขาย
เซจูโรก็ว่าเกลียดชังมากแล้ว และอากากาเบะ ยาโซมะก็ทั้งเกลียดและขยะแขยง แต่อาเกมิก็ยังเกลียดไม่เท่าโอโคแม่บุญธรรมของนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดจนเข้ากระดูกดำ ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะระบายความเกลียดออกมาได้ นอกจากปิดหน้าร้องไห้หนักขึ้นอีก


กำลังโหลดความคิดเห็น