นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“โอซือ”
เสียงทุ้มห้าวแต่นุ่มนวลนักเรียกซ้ำ พร้อมกับย่างก้าวย่ำใบไม้ใบหญ้าเข้ามาใกล้ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
โอซือกับโจทาโรเหลียวขวับไปมองทางต้นเสียงพร้อมกันแล้วก็ต้องเบิกตาโต เมื่อเห็นสึเงะ ซันโนโจ หนุ่มหน้าคล้ามแดดในชุดกิโมโนย้อมเปลือกไม้ทั้งห้าสีน้ำตาล ยืนยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ข้างทางตรงนั้น
จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร เพราะจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากข้างทางเปลี่ยวทั้งที่เมื่อครู่ก่อนเห็นเดินดุ่ม ๆ ขึ้นเนินลาดชันไปทางโน้นแล้ว ทั้งยังเรียกโอซือด้วยสุ้มเสียงสนิทชิดเชื้อราวกับคุ้นเคยกันมานานช่างแปลกแท้
โจทาโรถลันออกไปกั้นโอซือไว้ ทำหน้าทมึงถึงตวาดเสียงเกรี้ยว
“น้าโกหก”
“ทำไมรึ”
“ก็น้าบอกว่าท่านมูซาชิยืนถือดาบตั้งรับศัตรูอยู่ที่ปลายเนิน เราก็รีบพากันลงมาหวังว่าจะได้พบหน้ากัน แต่ที่ไหนได้ไม่เห็นท่านมูซาชิแม้แต่เงา อย่างนี้ไม่เรียกว่าโกหกหรือน้า”
ยิ่งพูดเจ้าหนุ่มน้อยก็ยิ่งโกรธจนหน้าแดงไปหมด
“เด็กบ้า”
ซันโนโจตวาดเสียงขุ่น
“ก็ไม่ใช่เพราะโกหกหรอกหรือที่ช่วยให้โอซือที่มากับเจ้ารอดเงื้อมมือโจรป่าสามคนนั่นมาได้ เอ็งมันก็แค่ไอ้เด็กอ่อนหัดอุบายตื้น ๆ แค่นี้ไม่เห็นจะต้องมาทวงถามให้ชี้แจง จริง ๆ แล้วเจ้าต้องขอบใจข้ามากกว่า แต่นี่ยังไม่เห็นเอ่ยออกมาสักคำ ไม่มีใครสั่งสอนหรือยังไง”
“อะไรนะ น้ากำลังบอกว่านั่นเป็นกลลวงให้ไอ้โจรป่าสามคนนั่นติดกับงั้นเหรอ”
“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว”
“ปัดโธ่ แต่ก็น่าจะบอกเราก่อน”
โจทาโรค้อนตาขวางก่อนหันไปพยักเพยิดกับโอซือด้วยท่าทีเป็นต่อ
“ข้าบอกแล้วเห็นไหมล่ะโอซือ หลงเชื่ออยู่ได้”
โอซือเห็นโจทาโรตีหน้าเครียดต่อว่าต่อขานชายแปลกหน้าฉอด ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายแล้วขยับปากจะห้ามปราม แต่ก็ไม่ทันกับที่ฝ่ายนั้นหลุดปากออกมาว่า ไม่มีใครสั่งสอนหรือยังไง นางจึงทรุดตัวลงคุกเข่าค้อมศีรษะลงต่ำพร้อมเอ่ยคำขอบคุณซ้ำหลายครั้งที่ช่วยนางไว้ด้วยความหวังดี
เท่านั้นเองซันโนโจก็หายขุ่นเคือง ยิ้มด้วยความพอใจและบอกว่า
“ซามูไรพเนจรที่ประพฤติตนเป็นโจรป่าพวกนั้น แม้เดี๋ยวนี้จะเชื่องลงมากแล้วแต่ก็ยังหยาบช้าน่ากลัว ใครก็ตามที่ตกเป็นเหยื่อให้มันไล่ล่าก็ยากที่จะหนีรอดออกไปจากภูเขาแถบนี้ที่มันตั้งตัวเป็นเจ้าป่า แต่เท่าที่ได้ฟังคำพรรณนาของเจ้าหนุ่มน้อยตัวดี ข้าก็พอจะแน่ใจว่ามิยาโมโตะ มูซาชิที่พวกเจ้ากำลังตามหาอยู่นี้ ไม่ใช่คนประมาทและมีสติปัญญาเกินกว่าจะพาตัวเข้าไปติดกับดักของไอ้โจรป่าชั้นสวะ”
“ทางที่จะไปบรรจบกับเส้นทางโอมิ ยังมีอีกหลายทางหรือท่าน”
“มีสิ”
ซันโนโจตอบโอซือพร้อมกับกวาดตามองเทือกเขาที่หิมะบนยอดสะท้อนแสงแดดสดใสยามเที่ยงเป็นประกายวิบวับอยู่ไกล ๆ
“จากตรงนี้ถ้าเดินลงไปที่หุบเขาอิงะก็จะพบทางที่ตัดมาจากอูเอโนะ แต่ถ้าไปทางหุบเขาอาโนะก็จะพบทางที่ตัดมาจากคุวานะกับยกกะอิจิ เท่าที่รู้น่าจะมีทางเดินป่าและทางลัดอยู่อีกสองสามทาง ข้าคิดว่าคนอย่างมิยาโมโตะ มูซาชิคงจะไหวตัวเร็วพอที่จะเปลี่ยนเส้นทางหลีกเลี่ยงอันตรายไปพ้นจากถิ่นนี้แล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ฉันก็เบาใจ”
“คนที่กำลังเสี่ยงอยู่กับอันตรายน่าจะเป็นเจ้าทั้งสองมากกว่า ข้าอุตส่าห์ช่วยให้พ้นมือฝูงหมาป่ามาได้อย่างเฉียดฉิว แทนที่จะรีบ หนีไปให้พ้น แต่กลับมาเดินลอยชายอยู่บนทางของพวกมันเหมือนไม่เกรงกลัวอะไรเลย ขืนเอื่อยเฉื่อยอยู่อย่างนี้เดี๋ยวมันก็ได้ย้อนกลับมาจับตัวไปให้ลูกพี่มันที่แม่น้ำยาซูกาวะหรอก ข้ามีทางลับที่ไม่มีใครรู้ ทางออกจะวิบากสักหน่อยแต่ก็ตามมาเถิดรับรองว่ารอดแน่”
ซันโนโจพาโอซือกับโจทาโรบุกป่าไปตามทางลับที่ตนรู้คนเดียว ผ่านด้านบนของหมู่บ้านโคงะไปออกที่ทางเดินบนสันเขามากาโดะซึ่งตัดลงไปยังเซโตะในเขตโอซุ และชี้ทางให้ก่อนกลับไป
“มาถึงตรงนี้ก็สบายใจได้แล้ว รีบหาที่พักแรมก่อนค่ำมืด แล้วก็ระวังตัวให้ดี ๆ ก็แล้วกัน”
โอซือค้อมศีรษะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“โอซือ เรากำลังจะจากกันแล้วนะ”
ซันโนโจเอ่ยขึ้นเป็นนัยคล้ายอยากจะบอกอะไรสักอย่าง ดวงตาที่จ้องมองโอซือมีแววเศร้านิด ๆ พอให้รู้สึกได้
“ระหว่างทางที่เดินมาด้วยกัน ข้าได้แต่คิดว่าเดี๋ยวเจ้าก็คงถาม เดี๋ยวก็คงถาม แต่แล้วเจ้าก็ไม่ได้ถาม”
“อะไรรึ”
โอซือเลิกคิ้ว
“ชื่อและสกุลของข้า”
“แต่ฉันรู้ชื่อและสกุลของท่านแล้วที่เนินโคจิ”
“เจ้าจำได้รึ”
“สึเงะ ซันโนโจ หลานชายของท่านวาตานาเบะ ฮันโซ”
“ขอบใจที่จำได้ ที่พูดนี่ไม่ใช่ทวงบุญคุณนะ แค่หวังว่าเจ้าจะจำชื่อข้าไว้ตลอดไปเท่านั้นเอง”
“เราจะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่าน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น โอซือ ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ว่าซันโนโจยังเป็นชายโสด ถ้าฮันโซผู้เป็นลุงไม่ใช่คนเคร่งครัดมากนักข้าก็อยากจะพาเจ้ากลับไปด้วย ...แต่ช่างเถิด ตรงนั้นมีร้านเล็ก ๆ รับจ้างแบกคานหามอยู่ บอกชื่อข้าได้เลยเจ้าของร้านรู้จักกันดี...ข้าขอตัวนะ ลาก่อน”
2
แม้จะรู้ซึ้งถึงความหวังดี แม้จะรู้ว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่ยังไง ๆ ก็ทำใจให้ปลื้มกับความหวังดีและน้ำใจอันดีนั้นไม่ได้ ยิ่งแสดงความใจดีเท่าไรก็ยิ่งอยากหนีไปให้พ้น ๆ
คนที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยเกิดความรู้สึกเช่นนั้นมีอยู่ไม่น้อย
และสึเงะ ซันโนโจก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้โอซือรู้สึกเช่นนั้น
คนอะไร ไม่รู้จักประมาณตน
ภาพพจน์ที่ดีมาแต่ต้นแตกละเอียดด้วยคำพูดด้วยความคะนองปากเพียงประโยคสั้น ๆ รวมกับสายตาที่แอบเผยความรู้สึกจากใจ การจากลาที่ทำท่าจะซาบซึ้งกลับทำให้โอซือโล่งใจที่รอดพ้นจากกรงเล็บหมาป่าแสนกลมาได้ อยากจะเรียกคืนคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากใจจริงนั้นกลับมาเสียให้หมด
แม้แต่โจทาโรที่เข้ากับคนง่ายก็ยังขัดเคืองทำตาขวาง เจ้าหนุ่มน้อยรอจนซันโนโจคล้อยหลังลับสันเขาไป จึงโพลงขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
“แย่มาก “
โอซือเองแม้จะเป็นหนี้บุญคุณที่ซันโนโจช่วยให้รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ไม่ควรว่าร้ายลับหลังก็ยังเผลอตัวพยักหน้า
“จริงด้วย...คิดยังไงถึงได้บอกให้ข้าจำเอาไว้ว่าตัวยังเป็นชายโสด”
ว่าแล้วก็ค้อนไปทางเหลื่อมเงาสันเขา
“คงอยากบอกเป็นนัยว่าวันหนึ่งข้าจะตามไปขอโอซือมาเป็นเมียแน่นอน”
“บ้าชัด ๆ ไม่มีทาง”
หลังจากแยกทางกับซันโนโจที่สันเขา โอซือกับโจทาโรก็เดินทางต่อไปด้วยความปลอดภัยไม่มีผู้ประสงค์ร้ายติดตามมาคุกคามรังควาน ความทุกข์ใจของนางผู้ตามหาชายในดวงใจมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ แม้จะเดินทางมาถึงริมทะเลสาบโอมิ ข้ามสะพานคาราบาชิที่เซโตะ จนมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่โอซากะก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของมูซาชิ ความหวังที่จะได้พบกันนั้นนับวันจะริบหรี่ลงทุกที
อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปี คนเกียวโตตั้งต้นไผ่แซมด้วยต้นสนและสิ่งมงคลไว้สองข้างประตูเรือนเตรียมรับปีใหม่กันแล้ว
เมื่อได้ชมสิ่งที่ชาวเมืองประดับประดาต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ จิตใจของโอซือก็ปลอดโปร่งขึ้นเลิกหมกมุ่นอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าด้วยความหวัง
เช้าวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งที่สะพานโกโจบาชิ
ถ้าเช้านั้นไม่มา ก็เช้าวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ จนถึงเช้าวันที่เจ็ด นานาคูซะ...ซึ่งเป็นวันที่ชาวบ้านกินข้าวต้มใส่ผักทั้งเจ็ดกันตามประเพณี
มูซาชิต้องมาแน่นอน โจทาโรบอกโอซือเช่นนั้น
เพียงแต่เขาไม่ได้มาที่นั่นเพื่อรอพบนางเท่านั้นเอง
คิดแล้วเศร้า อกใจอ้างว้างและว้าเหว่
แต่ไม่ว่ามูซาชิจะมาที่นี่ทำไม นางก็จะไปรอคอยด้วยความหวังแทบจะล้นใจ
เอ๊ะ หรือว่า
เงาดำวูบเข้ามาบดบังความหวังของโอซือจนหน้ามืดต้องหยุดยืนตั้งสติ
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
ที่แท้ มูซาชิมาก็นัดพบกับฮนอิเด็น มาตาฮาจิเช้าวันใดวันหนึ่งตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่จนถึงวันที่เจ็ดนั่นเอง
โจทาโรบอกว่าการนัดพบครั้งนี้ไปถึงหูของอาเกมิแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามาตาฮาจิซึ่งเป็นคู่นัดจะรู้แล้วหรือยัง
มาตาฮาจิอย่ารู้เลย ขอให้มูซาชิมาคนเดียวเถิด
โอซืออดภาวนาอยู่ในใจไม่ได้
ระหว่างที่เดินคิดอะไร ๆ วกวนอยู่นั้น แม่สาวงามและเจ้าหนุ่มน้อยก็เดินผ่านเคอาเงะเข้าไปในย่านซันโจงูจิ ที่กำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของสำหรับฉลองปีใหม่
โอซือมองฝูงคนรอบ ๆ ตัว ใจหนึ่งหวาดระแวงว่ามาตาฮาจิจะเดินปะปนอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็ลิงโลดเผื่อว่าจะได้เห็นมูซาชิ แต่ที่กลัวจนขนลุกขนพองก็คือแม่เฒ่าโอซูงิ คิดขึ้นมาแล้วเสียวสันหลังวาบไม่กล้าเหลียวไปมองข้างหลัง
โจทาโรไม่มีเรื่องกังวลใจจึงตื่นตาตื่นใจ สนุกสนานเต็มที่กับแสงสีของเมืองใหญ่ที่จากไปนาน
“หาที่พักกันรึยังล่ะโอซือ”
“เดี๋ยวก็ได้มั๊ง”
“ดี ๆ ยังวันอยู่ อย่าเพิ่งเข้าที่พักเลยเสียดายเวลา เดินเที่ยวกันให้สนุกก่อนดีกว่า ตรงโน้นเหมือนมีตลาดนัด ไปกันเถอะโอซือ”
“ยังไปไม่ได้ เรามีธุระสำคัญที่ต้องทำก่อนไม่ใช่รึ”
“ธุระ...ธุระอะไร”
“โจทาโร เจ้านี่แย่จริง ๆ ลืมของที่เจ้าสะพายหลังมาตั้งแต่ออกจากอิเซะได้ยังไง”
“อ๋อ นี่น่ะรึ จำได้สิ”
“เราต้องเอาของสำคัญที่ท่านอารากิดะฝากมา ไปส่งให้ที่เรือนท่านคาราซูมารุ มิตสึฮิโระเสียก่อน ตัวจึงจะเบาและไปเที่ยวดูอะไร ๆ ได้”
“งั้นคืนนี้เราคงได้พักที่นั่น”
“ไม่ละมัง”
โอซือมองไปทางแม่น้ำคาโมะ และอดหัวเราะไม่ได้
“คฤหาสน์ของท่านขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ไหน จะให้ตัวเห็บขะมุกขะมอมอย่างโจทาโรเข้าไปพัก”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“โอซือ”
เสียงทุ้มห้าวแต่นุ่มนวลนักเรียกซ้ำ พร้อมกับย่างก้าวย่ำใบไม้ใบหญ้าเข้ามาใกล้ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
โอซือกับโจทาโรเหลียวขวับไปมองทางต้นเสียงพร้อมกันแล้วก็ต้องเบิกตาโต เมื่อเห็นสึเงะ ซันโนโจ หนุ่มหน้าคล้ามแดดในชุดกิโมโนย้อมเปลือกไม้ทั้งห้าสีน้ำตาล ยืนยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ข้างทางตรงนั้น
จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร เพราะจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากข้างทางเปลี่ยวทั้งที่เมื่อครู่ก่อนเห็นเดินดุ่ม ๆ ขึ้นเนินลาดชันไปทางโน้นแล้ว ทั้งยังเรียกโอซือด้วยสุ้มเสียงสนิทชิดเชื้อราวกับคุ้นเคยกันมานานช่างแปลกแท้
โจทาโรถลันออกไปกั้นโอซือไว้ ทำหน้าทมึงถึงตวาดเสียงเกรี้ยว
“น้าโกหก”
“ทำไมรึ”
“ก็น้าบอกว่าท่านมูซาชิยืนถือดาบตั้งรับศัตรูอยู่ที่ปลายเนิน เราก็รีบพากันลงมาหวังว่าจะได้พบหน้ากัน แต่ที่ไหนได้ไม่เห็นท่านมูซาชิแม้แต่เงา อย่างนี้ไม่เรียกว่าโกหกหรือน้า”
ยิ่งพูดเจ้าหนุ่มน้อยก็ยิ่งโกรธจนหน้าแดงไปหมด
“เด็กบ้า”
ซันโนโจตวาดเสียงขุ่น
“ก็ไม่ใช่เพราะโกหกหรอกหรือที่ช่วยให้โอซือที่มากับเจ้ารอดเงื้อมมือโจรป่าสามคนนั่นมาได้ เอ็งมันก็แค่ไอ้เด็กอ่อนหัดอุบายตื้น ๆ แค่นี้ไม่เห็นจะต้องมาทวงถามให้ชี้แจง จริง ๆ แล้วเจ้าต้องขอบใจข้ามากกว่า แต่นี่ยังไม่เห็นเอ่ยออกมาสักคำ ไม่มีใครสั่งสอนหรือยังไง”
“อะไรนะ น้ากำลังบอกว่านั่นเป็นกลลวงให้ไอ้โจรป่าสามคนนั่นติดกับงั้นเหรอ”
“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว”
“ปัดโธ่ แต่ก็น่าจะบอกเราก่อน”
โจทาโรค้อนตาขวางก่อนหันไปพยักเพยิดกับโอซือด้วยท่าทีเป็นต่อ
“ข้าบอกแล้วเห็นไหมล่ะโอซือ หลงเชื่ออยู่ได้”
โอซือเห็นโจทาโรตีหน้าเครียดต่อว่าต่อขานชายแปลกหน้าฉอด ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายแล้วขยับปากจะห้ามปราม แต่ก็ไม่ทันกับที่ฝ่ายนั้นหลุดปากออกมาว่า ไม่มีใครสั่งสอนหรือยังไง นางจึงทรุดตัวลงคุกเข่าค้อมศีรษะลงต่ำพร้อมเอ่ยคำขอบคุณซ้ำหลายครั้งที่ช่วยนางไว้ด้วยความหวังดี
เท่านั้นเองซันโนโจก็หายขุ่นเคือง ยิ้มด้วยความพอใจและบอกว่า
“ซามูไรพเนจรที่ประพฤติตนเป็นโจรป่าพวกนั้น แม้เดี๋ยวนี้จะเชื่องลงมากแล้วแต่ก็ยังหยาบช้าน่ากลัว ใครก็ตามที่ตกเป็นเหยื่อให้มันไล่ล่าก็ยากที่จะหนีรอดออกไปจากภูเขาแถบนี้ที่มันตั้งตัวเป็นเจ้าป่า แต่เท่าที่ได้ฟังคำพรรณนาของเจ้าหนุ่มน้อยตัวดี ข้าก็พอจะแน่ใจว่ามิยาโมโตะ มูซาชิที่พวกเจ้ากำลังตามหาอยู่นี้ ไม่ใช่คนประมาทและมีสติปัญญาเกินกว่าจะพาตัวเข้าไปติดกับดักของไอ้โจรป่าชั้นสวะ”
“ทางที่จะไปบรรจบกับเส้นทางโอมิ ยังมีอีกหลายทางหรือท่าน”
“มีสิ”
ซันโนโจตอบโอซือพร้อมกับกวาดตามองเทือกเขาที่หิมะบนยอดสะท้อนแสงแดดสดใสยามเที่ยงเป็นประกายวิบวับอยู่ไกล ๆ
“จากตรงนี้ถ้าเดินลงไปที่หุบเขาอิงะก็จะพบทางที่ตัดมาจากอูเอโนะ แต่ถ้าไปทางหุบเขาอาโนะก็จะพบทางที่ตัดมาจากคุวานะกับยกกะอิจิ เท่าที่รู้น่าจะมีทางเดินป่าและทางลัดอยู่อีกสองสามทาง ข้าคิดว่าคนอย่างมิยาโมโตะ มูซาชิคงจะไหวตัวเร็วพอที่จะเปลี่ยนเส้นทางหลีกเลี่ยงอันตรายไปพ้นจากถิ่นนี้แล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ฉันก็เบาใจ”
“คนที่กำลังเสี่ยงอยู่กับอันตรายน่าจะเป็นเจ้าทั้งสองมากกว่า ข้าอุตส่าห์ช่วยให้พ้นมือฝูงหมาป่ามาได้อย่างเฉียดฉิว แทนที่จะรีบ หนีไปให้พ้น แต่กลับมาเดินลอยชายอยู่บนทางของพวกมันเหมือนไม่เกรงกลัวอะไรเลย ขืนเอื่อยเฉื่อยอยู่อย่างนี้เดี๋ยวมันก็ได้ย้อนกลับมาจับตัวไปให้ลูกพี่มันที่แม่น้ำยาซูกาวะหรอก ข้ามีทางลับที่ไม่มีใครรู้ ทางออกจะวิบากสักหน่อยแต่ก็ตามมาเถิดรับรองว่ารอดแน่”
ซันโนโจพาโอซือกับโจทาโรบุกป่าไปตามทางลับที่ตนรู้คนเดียว ผ่านด้านบนของหมู่บ้านโคงะไปออกที่ทางเดินบนสันเขามากาโดะซึ่งตัดลงไปยังเซโตะในเขตโอซุ และชี้ทางให้ก่อนกลับไป
“มาถึงตรงนี้ก็สบายใจได้แล้ว รีบหาที่พักแรมก่อนค่ำมืด แล้วก็ระวังตัวให้ดี ๆ ก็แล้วกัน”
โอซือค้อมศีรษะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“โอซือ เรากำลังจะจากกันแล้วนะ”
ซันโนโจเอ่ยขึ้นเป็นนัยคล้ายอยากจะบอกอะไรสักอย่าง ดวงตาที่จ้องมองโอซือมีแววเศร้านิด ๆ พอให้รู้สึกได้
“ระหว่างทางที่เดินมาด้วยกัน ข้าได้แต่คิดว่าเดี๋ยวเจ้าก็คงถาม เดี๋ยวก็คงถาม แต่แล้วเจ้าก็ไม่ได้ถาม”
“อะไรรึ”
โอซือเลิกคิ้ว
“ชื่อและสกุลของข้า”
“แต่ฉันรู้ชื่อและสกุลของท่านแล้วที่เนินโคจิ”
“เจ้าจำได้รึ”
“สึเงะ ซันโนโจ หลานชายของท่านวาตานาเบะ ฮันโซ”
“ขอบใจที่จำได้ ที่พูดนี่ไม่ใช่ทวงบุญคุณนะ แค่หวังว่าเจ้าจะจำชื่อข้าไว้ตลอดไปเท่านั้นเอง”
“เราจะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่าน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น โอซือ ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ว่าซันโนโจยังเป็นชายโสด ถ้าฮันโซผู้เป็นลุงไม่ใช่คนเคร่งครัดมากนักข้าก็อยากจะพาเจ้ากลับไปด้วย ...แต่ช่างเถิด ตรงนั้นมีร้านเล็ก ๆ รับจ้างแบกคานหามอยู่ บอกชื่อข้าได้เลยเจ้าของร้านรู้จักกันดี...ข้าขอตัวนะ ลาก่อน”
2
แม้จะรู้ซึ้งถึงความหวังดี แม้จะรู้ว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่ยังไง ๆ ก็ทำใจให้ปลื้มกับความหวังดีและน้ำใจอันดีนั้นไม่ได้ ยิ่งแสดงความใจดีเท่าไรก็ยิ่งอยากหนีไปให้พ้น ๆ
คนที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยเกิดความรู้สึกเช่นนั้นมีอยู่ไม่น้อย
และสึเงะ ซันโนโจก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้โอซือรู้สึกเช่นนั้น
คนอะไร ไม่รู้จักประมาณตน
ภาพพจน์ที่ดีมาแต่ต้นแตกละเอียดด้วยคำพูดด้วยความคะนองปากเพียงประโยคสั้น ๆ รวมกับสายตาที่แอบเผยความรู้สึกจากใจ การจากลาที่ทำท่าจะซาบซึ้งกลับทำให้โอซือโล่งใจที่รอดพ้นจากกรงเล็บหมาป่าแสนกลมาได้ อยากจะเรียกคืนคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากใจจริงนั้นกลับมาเสียให้หมด
แม้แต่โจทาโรที่เข้ากับคนง่ายก็ยังขัดเคืองทำตาขวาง เจ้าหนุ่มน้อยรอจนซันโนโจคล้อยหลังลับสันเขาไป จึงโพลงขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
“แย่มาก “
โอซือเองแม้จะเป็นหนี้บุญคุณที่ซันโนโจช่วยให้รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ไม่ควรว่าร้ายลับหลังก็ยังเผลอตัวพยักหน้า
“จริงด้วย...คิดยังไงถึงได้บอกให้ข้าจำเอาไว้ว่าตัวยังเป็นชายโสด”
ว่าแล้วก็ค้อนไปทางเหลื่อมเงาสันเขา
“คงอยากบอกเป็นนัยว่าวันหนึ่งข้าจะตามไปขอโอซือมาเป็นเมียแน่นอน”
“บ้าชัด ๆ ไม่มีทาง”
หลังจากแยกทางกับซันโนโจที่สันเขา โอซือกับโจทาโรก็เดินทางต่อไปด้วยความปลอดภัยไม่มีผู้ประสงค์ร้ายติดตามมาคุกคามรังควาน ความทุกข์ใจของนางผู้ตามหาชายในดวงใจมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ แม้จะเดินทางมาถึงริมทะเลสาบโอมิ ข้ามสะพานคาราบาชิที่เซโตะ จนมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่โอซากะก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของมูซาชิ ความหวังที่จะได้พบกันนั้นนับวันจะริบหรี่ลงทุกที
อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปี คนเกียวโตตั้งต้นไผ่แซมด้วยต้นสนและสิ่งมงคลไว้สองข้างประตูเรือนเตรียมรับปีใหม่กันแล้ว
เมื่อได้ชมสิ่งที่ชาวเมืองประดับประดาต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ จิตใจของโอซือก็ปลอดโปร่งขึ้นเลิกหมกมุ่นอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าด้วยความหวัง
เช้าวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งที่สะพานโกโจบาชิ
ถ้าเช้านั้นไม่มา ก็เช้าวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ จนถึงเช้าวันที่เจ็ด นานาคูซะ...ซึ่งเป็นวันที่ชาวบ้านกินข้าวต้มใส่ผักทั้งเจ็ดกันตามประเพณี
มูซาชิต้องมาแน่นอน โจทาโรบอกโอซือเช่นนั้น
เพียงแต่เขาไม่ได้มาที่นั่นเพื่อรอพบนางเท่านั้นเอง
คิดแล้วเศร้า อกใจอ้างว้างและว้าเหว่
แต่ไม่ว่ามูซาชิจะมาที่นี่ทำไม นางก็จะไปรอคอยด้วยความหวังแทบจะล้นใจ
เอ๊ะ หรือว่า
เงาดำวูบเข้ามาบดบังความหวังของโอซือจนหน้ามืดต้องหยุดยืนตั้งสติ
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
ที่แท้ มูซาชิมาก็นัดพบกับฮนอิเด็น มาตาฮาจิเช้าวันใดวันหนึ่งตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่จนถึงวันที่เจ็ดนั่นเอง
โจทาโรบอกว่าการนัดพบครั้งนี้ไปถึงหูของอาเกมิแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามาตาฮาจิซึ่งเป็นคู่นัดจะรู้แล้วหรือยัง
มาตาฮาจิอย่ารู้เลย ขอให้มูซาชิมาคนเดียวเถิด
โอซืออดภาวนาอยู่ในใจไม่ได้
ระหว่างที่เดินคิดอะไร ๆ วกวนอยู่นั้น แม่สาวงามและเจ้าหนุ่มน้อยก็เดินผ่านเคอาเงะเข้าไปในย่านซันโจงูจิ ที่กำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของสำหรับฉลองปีใหม่
โอซือมองฝูงคนรอบ ๆ ตัว ใจหนึ่งหวาดระแวงว่ามาตาฮาจิจะเดินปะปนอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็ลิงโลดเผื่อว่าจะได้เห็นมูซาชิ แต่ที่กลัวจนขนลุกขนพองก็คือแม่เฒ่าโอซูงิ คิดขึ้นมาแล้วเสียวสันหลังวาบไม่กล้าเหลียวไปมองข้างหลัง
โจทาโรไม่มีเรื่องกังวลใจจึงตื่นตาตื่นใจ สนุกสนานเต็มที่กับแสงสีของเมืองใหญ่ที่จากไปนาน
“หาที่พักกันรึยังล่ะโอซือ”
“เดี๋ยวก็ได้มั๊ง”
“ดี ๆ ยังวันอยู่ อย่าเพิ่งเข้าที่พักเลยเสียดายเวลา เดินเที่ยวกันให้สนุกก่อนดีกว่า ตรงโน้นเหมือนมีตลาดนัด ไปกันเถอะโอซือ”
“ยังไปไม่ได้ เรามีธุระสำคัญที่ต้องทำก่อนไม่ใช่รึ”
“ธุระ...ธุระอะไร”
“โจทาโร เจ้านี่แย่จริง ๆ ลืมของที่เจ้าสะพายหลังมาตั้งแต่ออกจากอิเซะได้ยังไง”
“อ๋อ นี่น่ะรึ จำได้สิ”
“เราต้องเอาของสำคัญที่ท่านอารากิดะฝากมา ไปส่งให้ที่เรือนท่านคาราซูมารุ มิตสึฮิโระเสียก่อน ตัวจึงจะเบาและไปเที่ยวดูอะไร ๆ ได้”
“งั้นคืนนี้เราคงได้พักที่นั่น”
“ไม่ละมัง”
โอซือมองไปทางแม่น้ำคาโมะ และอดหัวเราะไม่ได้
“คฤหาสน์ของท่านขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ไหน จะให้ตัวเห็บขะมุกขะมอมอย่างโจทาโรเข้าไปพัก”