xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 3 ไฟ ตอนนินจาแห่งหุบเขาอิงะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
หลานชายของท่านวาตานะเบะ...คนในละแวกนี้ใครก็ตามที่บังเอิญผ่านมาได้ยินเข้าจะต้องเหลียวมามอง และพยักหน้ากับตัวเองว่า ใช่แล้ว...หนุ่มหน้าคล้ามแดดในชุดกิโมโนย้อมเปลือกไม้ทั้งห้าสีน้ำตาลท่าทางองอาจผู้นี้ คือหลานชายของ วาทานาเบะ ฮันโซแห่งตระกูลนินจาที่สืบทอดวิทยายุทธ์จารกรรมสอดแนมมาแต่โบราณกาล เป็นที่เคารพยำเกรงอย่างสูงในบรรดาผู้คนทุกระดับในอาณาบริเวณหุบเขาอิงะและหมู่บ้านโคงะ
“พวกเจ้าไม่รู้หรอกรึ” หลานชายท่านวาตานาเบะยั้งฝีเท้าพร้อมกับเหลียวหน้ามาถาม
“รู้อะไร...”
ชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมทั้งสามวิ่งหน้าตื่นเข้ามาถามเป็นเสียงเดียวกัน
“ที่ปลายเนินโคจิซากะ มีชายคนหนึ่งท่วงท่าเป็นนักดาบชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ แต่งกายทะมัดทะแมงทำหน้าถมึงทึง ยืนจังก้าขวางทาง ชักดาบออกมากวัดแกว่งพร้อมฟัน พอใครผ่านมาก็เขม้นมองตาขวางสำรวจตรวจตราราวกับกำลังค้นหาตัวศัตรู”
หลานชายท่านวาตานาเบะบอกพลางชี้ลงไปที่เนินลาดชัน
“อะไรนะ มูซาชิงั้นรึ”
“ใช่ พอข้าเดินผ่านไป เจ้านักดาบก็ย่างสามขุมเข้ามาตะคอกถามว่าเป็นใครมาจากไหน ข้าจึงตอบไปว่าเป็นหลานของมาตานาเบะ ฮันโซแห่งอิงะ ชื่อสึเงะ ซันโนโจ เท่านั้นแหละมันก็หน้าเจื่อนและก้มหัวขอโทษทันที บอกว่าถ้าไม่ใช่สมุนของสึจิคาเซะ โคเฮละก็เชิญผ่านไปตามสบาย”
อดีตสมุนโจรป่ามองหน้ากันแล้วตั้งใจฟังต่อ
“ข้าจึงย้อนถามไปว่ามีอะไรรึ เจ้านักดาบก็ตอบว่าที่ตนมายืนขวางทางอยู่นี้ก็เพราะได้ยินคนเดินทางไปมาซุบซิบกันว่าสึจิคาเซะ โคเฮ ซามูไรพเนจรอดีตโจรป่าแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูกาวะ ที่ใช้ชื่อว่าชิชิโด ไบเก็นพาสมุนตามไล่ล่าข้ามาทางนี้ เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วจึงไม่คิดหนี แต่ขอปักหลักสู้จนวาระสุดท้าย จะต้องตายเพราะคมอาวุธของพวกโจรป่าก็ให้มันรู้ไป”
“จริงหรือท่านซันโนโจ”
“หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ข้าจะโกหกพวกเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมา และอีกอย่างนักดาบพเนจรอย่างมินาโมโตะ มูซาชิ จะมาทำอุบายอะไรกับข้าทั้งที่ไม่รู้ว่าข้าคือใคร”
อดีตสมุนโจรป่าหน้าซีด เห็นได้ชัดว่าชักจะใจเสียไปตาม ๆ กัน มองหน้ากันล่อกแล่กคล้ายหารือว่าจะทำยังไงกันดี
“ถ้าพวกเจ้ากำลังจะลงไปทางนี้ละก็ ระวังตัวให้ดีด้วยก็แล้วกัน”
ว่าแล้วซันโนโจก็ตั้งท่าจะออกเดินจากไปเดี๋ยวนั้น
“ท่านหลาน”
หนึ่งในกลุ่มอดีตโจรป่าร้องเรียกเสียงหลง
“อะไร”
“พวกข้าท่าจะแย่แน่ เจ้านักดาบคนนั้นมันเป็นคนมีฝีมือ แม้แต่ลูกพี่ข้าก็ยังออกปาก”
“ข้าก็ว่าไม่ใช่ย่อย ๆ ตอนที่เจ้านั่นกระชับดาบในมือดาบย่างสามขุมเข้ามาประจันหน้าที่ปลายเนิน ขนาดข้าเองยังเหงื่อ
แตกเลย”
“ทำยังไงดีล่ะ ลูกพี่รออยู่ที่แม่น้ำยาซูกาวะ บอกให้เราสามคนพานางนี่ไปที่นั่น”
“ข้าจะไปรู้เรอะ”“อย่าพูดอย่างนั้นซีท่านหลาน ช่วยเราด้วย”
“เรื่องอะไร ข้าไม่เอาด้วยหรอก ขืนยื่นมือเข้าไปยุ่งกับงานของพวกเจ้าแล้วท่านลุงรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
ข้าช่วยไม่ได้จริง ๆ แต่ถ้าจะให้แนะอุบายคงพอได้”
“แค่นั้นก็ขอบใจหลายแล้วละท่าน ช่วยแนะอุบายให้หน่อยเถิด”
“อย่างแรกเลย ข้าแนะนำให้เจ้าทำตัวให้เบา โดยทิ้งนางเชลยคนนี้เอาไว้ในพุ่มไม้แถวนี้ก่อน ตรงนั้นแน่ะ...เอาไป มัดไว้ที่โคนต้นไม้นั่น”
“ก็เข้าทีดี แล้วยังไงอีก”
“แล้วก็อย่าใช้ทางลงเนินนี้ แต่ใช้ทางในหุบเขานั่นถึงจะอ้อมหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าต้องล่วงหน้าไปแจ้งเรื่องนี้ให้ลูกพี่ของพวกเจ้าที่แม่น้ำยาซูกาวะรู้ด่วนเลย ต้องทำเวลาให้ได้มากที่สุดเอาไว้ก่อนเพื่อที่ลูกพี่ของเจ้าจะมาจัดการมันได้ทัน คือที่สำคัญต้องรีบไปแจ้งลูกพี่โดยเร็ว เข้าใจนะ”
“ก็น่าคิด”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะเจ้า ศัตรูบ้าคลั่งขึ้นทุกที ถึงขนาดประกาศสู้ตายอย่างนั้นแล้ว ถึงคราวประดาบกันจริง ๆ มันคงไม่ตายคนเดียวหรอก ไม่ใครก็ใครในพวกเจ้าคงได้ตามมันไปด้วยแน่”
คราวนี้อดีตโจรป่าทั้งสามก็ตกลงใจทำตามอุบายของซันโนโจ ช่วยกันดึงตัวโอซือเข้าไปในพุ่มไม้แล้วมัดเอาไว้กับโคนต้นไม้ที่ซันโนโจชี้ให้ แล้วพากับกลับออกมา แต่คนหนึ่งคิดอะไรขึ้นมาได้จึงย้อนกลับไปเอาเชือดมัดปากนางเอาไว้แล้วเดินปัดไม้ปัดมือออกมาพยักพเยิดกับเพื่อนว่า
“เท่านี้ก็เรียบร้อย”
แล้วพากันบุกพงไม้หายลงไปที่หุบเขา
โจทาโรที่ซุกตัวซ่อนอยู่ในพุ่มไม้อาศัยสีใบไม้กิ่งไม้แห้งพรางตานิ่งสังเกตเหตุการณ์อยู่นั้น ค่อย ๆ ยื่นหน้าออกมากวาดสายตาไปรอบ ๆ
2

หนุ่มน้อยโจทาโรไม่เห็นใครสักคน ทั้งอดีตสมุนโจรป่า ซันโนโจหลานชายท่านวาตานาเบะ และไม่มีแม้แต่นักเดินทางผ่านไปมา
“โอซือ”
โจทาโรกระโจนพรวด ๆ หลบหลีกพุ่มไม้ที่ขึ้นอยู่หนาทึบตรงไปแก้เชือกที่มัดโอซืออยู่กับโคนต้นไม้นั้นโดยเร็ว แล้วดึงมือพาออกไปที่กลางเนินลาดชัน
“หนีกันเถอะโอซือ”
“โจทาโร” โอซืออุทานและเบิกตาโต
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“ช่างเถอะ อย่ามัวถามอยู่เลย เร็วเข้า”
“ด...เดี๋ยวก่อน”
โอซือขืนข้อมือเอาไว้ แล้วยกมือขึ้นจัดเรือนผมดำขลับที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่ ปัดเศษหญ้าและใบไม้ที่เกาะติดกิโมโนพร้อมกับขยับปมผ้าคาดเอวให้กระชับด้วยท่วงท่าที่เกือบอ้อยอิ่ง จนหนุ่มน้อยอ่อนใจทำเสียงจึ๊กจั๊กในปาก
“ใช่เวลาเสริมสวยไม๊เนี่ย ผมเผ้าเอาไว้ก่อน มานี่เร็ว”
“แต่...คนที่เขาเดินขึ้นเนินมาบอกว่าพบกับท่านมูซาชิที่เชิงเนินนี้”
“มินาล่ะ”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่”
โอซือจริงจังจนน่าขัน
“ฉันก็แค่สบายใจที่รู้ว่าถ้าได้พบและอยู่ใกล้ ๆ ท่านมูซาชิจริง ๆ ก็จะได้ไม่ต้องกลัวใครอีก และไอ้อันธพาลพวกนั้นมันก็หายหัวกันไปหมดแล้วด้วย”
“แต่ข้าไม่ค่อยเชื่อนะว่าคนที่ได้พวกสมุนโจรเรียกว่าท่านหลาน จะพบกับครูของข้าที่เชิงเนินจริงอย่างที่บอก”
“ว่าแต่ คนที่เจรจาอยู่กับสมุนโจรป่าเมื่อกี้ หายไปไหนแล้วล่ะ”
โอซือกับโจทาโรเหลียวมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“คนอะไร แปลกแท้”
หนุ่มน้อยบ่นอุบอิบ ขณะที่โอซือระลึกถึงบุญคุณหลานชายท่านวาตานาเบะที่ชื่อซันโนโจช่วยให้ตนกับโอซือรอดพ้นจากคมเขี้ยวเสือสามตัวมาได้ ใจนางยังนึกไกลออกไปถึงกับว่าถ้าพบมูซาชิที่เชิงเนินจริงก็ไม่รู้ว่าจะขอบใจอย่างไรจึงสมกับความดีงาม
“รีบไปกันเถอะ”
“เสริมสวยพอแล้วเหรอ”
“เอาใหญ่แล้วโจทาโร ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเย้ากันเล่นนะ”
“ก็เห็นดีใจจนออกนอกหน้า”
“ตัวเองก็เหมือนกัน”
“ใช่ ดีใจซี ดีใจ ข้าดีใจก็บอกว่าดีใจไม่สงวนท่าที ปิด ๆ บัง ๆ เหมือนโอซือ ร้องดัง ๆ เลยดีไหม...ข้าดีใจมากเลย”
ว่าแล้วก็ร้องดีใจพลางกระโดดโลดเต้นยกมือยกไม้เป็นจังหวะ
“แต่โอซือ ถ้าลงไปถึงเชิงเนินแล้วไม่เจอครู ต้องหมดสนุกแน่ งั้นข้าล่วงหน้าไปดูก่อนนะโอซือจะได้ไม่ดีใจเก้อ”
ว่าแล้วก็วิ่งปรื๋อลงเนินไปโดยไม่รอฟังคำตอบ
โอซือเดินลงเนินโคจิซากิที่ลาดชันตามหลังไป แต่ใจนางโลดลิ่วลงไปถึงปลายเนินก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเร่งเท้าให้เร็วตาม
ดูสารรูปเสียบ้าง
โอซือมองลงไปที่เท้าเปลือยเปล่าทั้งสอง เลือดซิบ ๆ ซึมออกมาบ่งบอกว่าฝ่าเท้าคงจะแตกยับ ชายกิโมโนเปรอะเปื้อนดินโคลน ใบไม้ใบหญ้าติดนุงนัง นางก้มลงปัดและหยิบใบไม้ใบหนึ่งติดมือขึ้นมาถือไว้เล่น ๆ ไม่ทันไรตัวหนอนน่าเกลียดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้ก็คืบออกมาไต่บนหลังมือ
โอซือเกิดและเติบโตมากับป่าเขาแท้ ๆ แต่กลัวหนอน พอเห็นเข้าก็ร้องกรี๊ดและสะบัดมือเร่า ๆ จนหนอนหน้าเกลียดกระเด็นไปทางหนึ่ง
“โอซือ เร็ว ๆ เข้า อย่ามัวแต่เดินชมนกชมไม้อยู่เลย”
โจทาโรร้องเรียกขึ้นมาจากปลายเนิน
เสียงคึกคะนองขนาดนั้น สงสัยว่าจะพบตัวมูซาชิเข้าให้แล้ว ใจของโอซือลิงโลดอยู่ในอกสุดที่จะระงับไว้ได้
“และแล้ว ก็ได้พบกันสักที”
ความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าวันหนึ่งจะต้องได้พบกับมูซาชินั้น เป็นสิ่งเดียวที่จรรโลงใจให้โอซือสู้ชีวิตตลอดมา และเมื่อมาถึงวันนี้นางรู้สึกภาคภูมิในความจริงใจของตนยิ่งนัก
โอซือรู้ดีว่านั่นคือความปิติของตนแต่ฝ่ายเดียวไม่รู้ว่ามูซาชิจะเปิดใจให้หลอมรวมกับนางสักเพียงใด
อีกใจหนึ่งเจ็บแปลบขึ้นมาในความปิติเมื่อคิดขึ้นมาว่า...หากเขาไม่ใยดี
3
เนินโคจิซากะอันลาดชันนั้นแม้ดินตรงที่อับแสงยังเป็นน้ำแข็งอยู่ แต่พอลงมาสุดเนินถึงร้านน้ำชาของหมู่บ้านโรงเตี๊ยม ซึ่งหันหน้าออกสู่ผืนนาที่แผ่กว้างออกไปจนถึงเชิงเขา อากาศก็อุ่นจัดจนแมลงวันแทบจะฟักตัวออกมาบินว่อนแม้จะยังอยู่ในฤดูหนาว โจทาโรยืนคอยโอซืออยู่หน้าร้านที่วางขายสินค้านานาชนิดสำหรับนักเดินทางตั้งแต่รองเท้าฟางไปจนถึงขนมขบเคี้ยว
“มูซาชิล่ะ”
โอซือเอ่ยถามเป็นคำแรก ขณะจ้องมองหน้านักเดินทางที่เดินไปมาพลุกพล่านอยู่หน้าร้านน้ำชาทีละคน
“ไม่เห็นนะ” โจทาโรบอกหน้าตาเฉย “ทำไมไม่รู้”
“อะไรนะ” โอซือไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้”
“ก็ไม่มีนี่ หาเท่าไรก็ไม่เห็น ข้าถามคนที่ร้านน้ำชา เขาก็บอกว่าไม่เคยเห็นซามูไรรูปร่างหน้าตาอย่างครูผ่านมาสักคน ข้าว่าต้องเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่างแล้วละ”
โจทาโรดูเฉย ๆ ไม่ทำท่าว่าผิดหวังด้วยซ้ำ ขณะที่โอซือใจหาย
นางเองรู้ตัวว่าหลงดีใจมากมายเพราะคิดเองเออเองอยู่คนเดียว แต่ก็อดขวางท่าทางของโจทาโรไม่ได้
เด็กอะไรไม่รู้
โอซือค้อนขวับ และถามว่า
“หาทางโน้นทางนี้ ทั่วหมดแล้วหรือยัง”
“หาหมดแล้ว”
“หลังเสาบอกทางตรงโน้น และหลังร้านน้ำชานี่ล่ะ”
“ไม่มี บอกแล้วไงว่าหาหมดแล้ว”
พอโจทาโรขึ้นเสียงแสดงว่าชักจะรำคาญที่ถูกเซ้าซี้ โอซือก็เบือนหน้าไปทางหนึ่ง
“โอซือ ร้องไห้เหรอ”
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“อะไรกัน ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากอย่างนี้ล่ะ ข้านึกว่าโอซือจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลมากกว่านี้ แต่นี่อะไร เหมือนเด็กทารกไม่มีผิด เราไม่แน่ใจกันมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึว่า ซามูไรคนนั้นพูดจริงหรือว่าโกหก แต่นี่แสดงว่าปักใจเชื่ออยู่คนเดียว และพอไม่เห็นท่าน มูซาชิก็มาทำงอแง ตลกจัง”
แทนที่จะปลอบสักคำ โจทาโรกลับหัวเราะชอบใจ
โอซืออยากจะนั่งแปะลงบนพื้นตรงนั้นเอง แสงสว่างแห่งความหวังที่ฉาบฉายอยู่บนทุกสิ่งดับวับลงทันใด ใจวูบดิ่งลงไปในห้วงลึกเช่นเดิม...ไม่ใช่สิ ห้วงลึกที่ใจนางวูบดิ่งลงไปครั้งนี้ เป็นห้วงแห่งความสูญสลายที่ลึกล้ำและมืดดำอย่างที่ไม่เคยผจญมาก่อน
พอเห็นโจทาโรหัวเราะเห็นฟันดำเปื้อนมิโซะหวาน โอซือก็ยิ่งขวางหูขวางตา อารมณ์เสียจนอยากจะเดินร้องไห้ออกไปให้พ้นหน้า ไม่รู้ว่าจนเดินทางมากับเด็กเหลือขอคนนี้มาได้ยังไงเป็นนาน ถ้าทิ้งได้ก็อยากจะทิ้ง ไม่เอาอีกแล้ว
มาคิดดูอีกที จะไปโมโหโจทาโรก็ไม่ถูก เพราะถึงจะออกตามหามูซาชิเหมือนกันแต่จุดมุ่งหมายของเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้คือการตามหาครูผู้มีพระคุณ ในขณะที่โอซือตามหามูซาชิผู้เป็นชีวิตทั้งชีวิตของนาง การคลาดกันอย่างวันนี้โจทาโรก็แค่ผิดหวังแต่ก็ไม่ยืดเยื้อ เดี๋ยวเดียวก็กลับคึกคักได้อีก ขณะที่โอซือหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ในวันต่อ ๆ ไป
สำหรับโจทาโรเป็นเด็กที่กำลังรุ่นหนุ่มสมบูรณ์ไปด้วยพลังทั้งกายและใจนั้น การไม่ได้พบกับมูซาชิที่ร้านน้ำชาปลายเนินทำให้ผิดหวังก็จริง แต่ก็ตัดใจได้ในทันทีนั้นว่าไม่เป็นไร สักวันหนึ่งจะต้องได้เจอแน่ แต่จะให้โอซือมองโลกในแง่ดีขนาดนั้นได้ยังไง
โชคชะตาจะไม่บันดาลให้ฉันได้พบและพูดจากับมูซาชิอีกแล้วชั่วชีวิตนี้อย่างนั้นหรือ
ยิ่งคิดใจของโอซือก็ยิ่งเอนเอียงไปทางด้านร้าย
 คนที่รักและหวังรักตอบนั้นมักจะรักความเดียวดายมาก แม้โอซือจะไม่ถึงกับอย่างนั้นแต่นางก็เกิดมาเป็นลูกกำพร้าและอยู่กับความเดียวดายมาตลอด และดูเหมือนว่าจะไวต่อความรู้สึกของผู้อื่นมากกว่าใคร ๆ
โอซือสะบัดหน้าให้โจทาโรแสดงให้เห็นว่าโกรธ แล้วเดินดุ่ม ๆ หนีไปอีกทางโดยไม่พูดไม่จา
“โอซือ”
เสียงใครคนหนึ่งเรียกอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่เสียงของโจทาโร
ใครคนหนึ่งที่เดินแหวกพงหญ้าแห้งออกมาจากหลังหลักบอกทาง ดาบใหญ่และเล็กที่เอวชุ่มเลือด


กำลังโหลดความคิดเห็น