นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
โอซือกับโจทาโรร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมสู้กับผู้ประสงค์ร้ายราวลืมตนว่าเป็นเพียงเด็กและผู้หญิง ทำเอาลูกผู้ชายอย่างไบเก็นหวั่นใจหากว่าจะต้องต่อกรกับผู้อ่อนแอ ใจหนึ่งก็ฉงนว่าทำไมถึงได้แข็งข้อกันนัก
“ไม่ให้ม้าข้าใช่ไหม ไม่ลงมาแน่นะ”
“แน่อยู่แล้ว ไม่ต้องมาถาม”
โจทาโรยืดอกเชิดหน้าตอบ มือยึดสายบังเหียนไว้มั่นวางท่าราวกับนักรบตัวโต ๆ จึงไม่แปลกที่นักสู้เคียวโซ่จะลืมตัวไปว่าศัตรูนั้นคนละรุ่น เลือดอดีตโจรป่าร้อนจนลุกโชน กักฟันกรอดคำรามออกมาได้คำเดียวว่า “ไอ้สารเลว” แล้วกางกรงเล็บตั้งท่าราวกับจะกระโจนขึ้นไปขยุ้มโจทาโรโยนลงมาจากหลังม้าแก่เหมือนตัวเห็บ
แต่ที่ทำได้จริง ๆ คือคว้าข้อเท้าข้างหนึ่งของเจ้าหนุ่มปากร้ายกระชากสุดแรง
โจทาโรตกใจที่ถูกศัตรูร่างใหญ่กว่าตนหลายเท่าจู่โจมทันควันจนลืมชักดาบไม้ด้ามยาวที่เอว อารามจวนตัวเจ้าหนุ่มน้อยทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก่นด่า และถ่มน้ำลายใส่หน้าไบเก็นไม่หยุด
โอซืออกสั่นขวัญแขวน ขณะความเป็นจริงตรงหน้ากำลังพิสูจน์ว่าในช่วงชีวิตหนึ่งนั้นความเดือดร้อนจะผุดขึ้นมาคุกคามเอาเมื่อไหร่ก็ได้ ดูสิ...ชีวิตที่สดชื่นเบิกบานอยู่กับอรุณเบิกฟ้าเมื่อไม่กี่อึดใจมานี้ กลับมืดดำลงโดยพลันราวหมู่เมฆหอบห่าฝนมาบดบังผืนฟ้า
ปากคอขมไปหมด โอซือไม่อยากยุ่งกับการพิพาทกันของชายต่างวัยทั้งสอง เพราะไม่อยากบาดเจ็บและไม่อยากตายแต่ก็ไม่มีใจที่จะยอมความด้วยการขอโทษและส่งสายบังเหียนม้าแก่ให้
ชายร่างใหญ่หน้าตาท่าทางอำมหิตผู้นี้ กำลังไล่ตามมูซาชิที่เพิ่งเดินผ่านเส้นทางสายนี้ไปก่อนหน้าไม่นานด้วยจิตพิฆาต มูซาชิจะต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงหากปล่อยให้ชายผู้นี้ตามไปทัน ดังนั้นสิ่งที่นางจะทำได้ในตอนนี้คือถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเพื่อที่ชายในดวงใจของนางจะได้พ้นอันตราย แม้ว่าการถ่วงเวลาจะทำให้ระยะทางระหว่างมูซาชิกับนางที่ใกล้เข้ามามากแล้วจนถึงเมื่อรุ่งสางวันนี้ จะต้องไกลออกไป...ไกลออกไปทุกที ก็ต้องจำยอม
โอซือเม้มริมฝีปากแดงเรื่อด้วยเลือดสาวบริสุทธิ์ด้วยความมุ่งมั่น...
ข้าจะยอมสละม้าตัวนี้ให้เจ้าตามมูซาชิไปทันถึงตัวไม่ได้เด็ดขาด
ใจคิดและปากสาวเจ้าก็ตามใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
โอซือปราดเข้าไปผลักอกไบเก็นสุดแรง จนอดตกใจกับความกล้าบ้าบิ่นของตัวเองไม่ได้ ไบเก็นกำลังปัดป้ายน้ำลายของเจ้าเด็กจอมป่วนเป็นพัลวันยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นไปอีกเมื่อโดนหญิงร่างอ้อนแอ้นที่คิดว่าไร้พิษสงผลักเอาแรง ๆ
และในอึดใจต่อมานั้นเอง ไบเก็นก็ประจักษ์กับความกล้าหาญชาญชัยของหญิงใจเด็ดร่างอ้อนแอ้นผู้นี้ เมื่อมือบอบบางที่ผลักแผงอกล่ำสั่นนั้นฉกไปที่ด้ามมีดสั้นที่เอวอดีตโจรป่าทันใด
“เฮ้ย”
ไบเก็นร้องลั่นพร้อมกับตะปบลงไปที่มือขาวนวล แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะตรงที่มือของจอมเคียวโซ่กำเอาไว้เต็มแรงนั้นไม่ใช่มือขาวนวลที่นุ่มนิ่ม แต่เป็นใบมีดขาววับของมีดสั้นที่ถูกชักออกจากฝักมาได้ครึ่ง ๆ
“จ๊าก...”
นิ้วนางกับนิ้วก้อยมือขวาของไบเก็นกระเด็นไปตกบนพื้นพร้อมกับเลือดไหลโชกในทันใดนั้นเอง
ชายร่างทะมึนร้องลั่นยกมืออีกข้างขึ้นกุมนิ้วที่เหลือพร้อมกับผละออกมาทันที ซึ่งเท่ากับว่าช่วยให้โอซือชักมีดสั้นโชกเลือดของเจ้าของเล่มนั้นออกไปกำไว้ในมือ และรีบซ่อนไว้ข้างหลังทันทีกันถูกแย่งคืน
ชิชิโด ไบเก็นผู้บรรลุความเป็นเจ้ายุทธจักรเคียวโซเสียหน้าป่นปี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคืนก่อน ไม่คาดฝันว่าจากนั้นไม่ทันไรจะต้องมาเสียหน้าป่นปี้ยิ่งไปกว่า การปรามาสว่าศัตรูอ่อนแอกว่านั่นเองคือต้นเหตุสำคัญ
ไบเก็นก่นด่าความงี่เงาของตนเองและกำลังจะตั้งหลักขึ้นมาใหม่นั้นเอง โอซือซึ่งตอนนี้เลือดเข้าตาไม่กลัวอะไรอีกแล้วก็เงื้อง่ามีดในมือถาโถมเข้ามาด้วยท่วงท่าของเสือสาว ถึงจะเรียกว่ามีดสั้นแต่มันก็คือดาบดี ๆ นี่เอง ยาวเป็นศอกใบมีดหนาหนักเอาการแม้ผู้ชายก็ยังกวัดแกว่งไม่ได้คล่องมือ จึงเป็นธรรมดาที่มือของโอซือจะไม่สั่นเมื่อพุ่งตัวเข้ามาฟาดฟัน และร่างอ้อนแอ้นก็ซวนเซแทบจะล้มด้วยแรงแกว่งไกวดาบในมือของตนเอง
พอกะว่าได้ระยะประชิดตัว โอซือก็หลับหูหลับตาฟันดาบในมือลงไปสุดแรง
รู้สึกได้ว่าคมดาบกระทบกับของแข็งแรงจนแขนสะเทือนและเลือดกระเซ็นมาโดนแก้ม
โอซือลืมตาขึ้นทันที
อนิจจาเอ๋ย...เหยื่อคมดาบของนางกลับกลายสะโพกม้าแก่ที่โจทาโรเกาะแผงขนคอเอาไว้แน่นตัวนั้นเอง
2
เจ้าม้าแก่มีนิสัยขี้ตื่นอยู่แล้ว แม้แผลไม่ลึกเพราะแค่ถูกคมดาบเฉี่ยว แต่ก็แผดเสียงร้องลั่นราวกับจะเป็นจะตาย พร้อมกับเตะถีบทำพยศเหมือนม้าหนุ่มจนเลือดกระจาย
ไบเก็นก็ร้องลั่นไม่เป็นภาษาเหมือนกัน อดีตโจรป่าเบี่ยงตัวและขว้าข้อมือโอซือเอาไว้หวังจะปิดให้มีดร่วงจากมือ ได้จังหวะกับที่เจ้ามาแก่ผงกหัวผงกหางทำพยศเข้ามาพอดี ทั้งสองจึงโดนมันดีดกระเด็นไปกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่ทางหนึ่ง ส่วนเจ้าม้าแก่นั้นก็ยืดตัวตั้งท่ายืนตรงอย่างผู้ชนะ ชูคอขึ้นทำเสียงครืดคราดในจมูก แล้วออกวิ่งฉิวไปราวลูกธนูแล่นแหวกอากาศ
“เฮ้ย ๆ อะไรวะ”
ไปเก็นลุกขึ้นยืนตะลึงมองตามฝุ่นที่ไล่หลังม้าห่างออกไป และพอได้สติก็ออกวิ่งตามด้วยอารมณ์โกรธสุดขีด แต่ไปไม่ได้เท่าไรก็ต้องหยุดแล้วหันขวับมาทางโอซือ เบิกตาโพลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อ้าว”
แม่เสือสาวไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
อดีตโจรป่าบันดาลโทสะจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมาราวกับจะระเบิด และพอมองไปพบมีดสั้นถูกทิ้งอยู่ที่โคนต้นสนข้างทางก็กระโจนเข้าไปเก็บมากระชับไว้แน่นในมือ และพอชะโงกมองผ่านหมู่ไม้เข้าไปก็เห็นหลังคาบ้านชาวนาอยู่บนหน้าผาที่ไม่สูงชันนัก จึงคิดว่าโอซือที่ถูกม้าดีดเมื่อกี้คงจะกลิ้งตกลงไปที่นั่น
เมื่อมาถึงขึ้นนี้แล้วไบเก็นชักแน่ใจแล้วว่านางคนนี้ต้องมีอะไร ๆ กับมูซาชิที่ตนกำลังกวดตาม และคิดว่าคงจะปล่อยนางไปคงไม่ได้แม้ใจกำลังร้อนเร่ากับการไล่ล่า
คิดได้ดังนั้นชายร่างใหญ่จึงวิ่งลงเนินไปที่บ้านชาวนาหลังนั้น
“อยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้”
ร้องเรียกปนคำรามด้วยเสียงของคนโกรธจัด ขณะก้าวพรวด ๆ ไปรอบบ้าน
“หายไปไหน นางตัวดี”
แม่เฒ่าชาวนานั่งหลังโกงปั่นฝ้าย มองไบเก็นที่ชะโงกเข้ามาดูในบ้านบ้าง ปิดเปิดโรงเก็บของบ้างเหมือนคนบ้าคลั่ง อย่างหวาด ๆ อยู่คนเดียว
“อยู่นี่เอง”
ในที่สุดไบเก็นพบโอซือ
โอซือถูกม้าดีดกลิ้งลงไปจากเนินตรงนั้น และพอตั้งหลักได้ก็รีบหนีไปทางหน้าผาที่ลำธารก้นหุบเขาซึ่งยังมีหิมะเหลืออยู่
“หนีข้าไม่พ้นหรอกนางตัวดี”
โอซือหันขวับไปมองเมื่อได้ยินเสียงคำรามกราดเกรี้ยว จึงพบชายร่างใหญ่วิ่งใกล้เข้ามาเร็วกว่าดินที่ร่วงกราวลงมาด้วยความแรงเร็วของฝีเท้าเสียอีก
มือขวาของจอมยุทธ์เคียวโซ่เงื้อง่ามีดสั้นคมวาวขาววับก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายใจว่าจะเข่นฆ่า คิดว่าถ้านางมีอะไรกับ มูซาชิจริงก็จะใช้เป็นตัวล่อให้เข้ามาติดกับ และอาจเค้นถามด้วยก็ได้ว่ามูซาชิกำลังมุ่งหน้าไปไหน
“นางตัวดี”
มือข้างว่างดาบที่ไบเก็นยื่นไปจนสุดเอื้อมแตะถึงเรือนผมดำงามของโอซือ นางย่อตัวหลบวิ่งเข้าไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง อารามลุกลี้ลุกลนเท้าจึงก้าวพลาดแทบจะร่วงลงไปจากหน้าผา ดีที่คว้าโคนต้นไม้เอาไว้ทันตัวจึงห้อยและแกว่งอยู่เหมือนลูกตุ้ม กรวดดินร่วงกราวมาบนใบหน้าและที่หน้าอก เหนือขึ้นไปคือดวงตาโตที่เบิกโพลงแทบถลนของชายร่างใหญ่กำยำและมีดดาบคมขาววับที่เงื้อง่า
“ฮะ ฮ้า หนีรึ หนีไม่รอดแล้วละเจ้า ดูข้างล่างนั่นสิ หุบเหวลึกออกอย่างนั้น ขืนตกลงไปต้องเหลือแต่ศพแน่นอน”
โอซือมองตามลงไปเห็นธารน้ำใสสะท้อนสีท้องฟ้าไหลรินผ่านหิมะที่ทับถมอยู่และยังละลายไม่ทันหมด หน้าผานั้นจะว่าสูงก็ไม่ได้สูงมากมายนัก คิดว่าน่าจะรอดหากปล่อยมือให้ร่างลอยลิ่วลงไปที่สายน้ำ จึงปล่อยให้ร่างแกว่งไกวอยู่ในอากาศอย่างนั้นเพื่อคอยโอกาสเหมาะ
ความตายมาถึงเร็วกว่าความรู้สึกกลัวเสียอีก
มูซาชิอยู่ไหน...อยู่ไหนไม่สำคัญ แต่โอซือเห็นภาพของชายในดวงใจชัดเจนอยู่ในห้วงคิด แจ่มจรัสราวดวงจันทร์ที่เยี่ยมหน้าออกมาให้เชยชม ยามหมู่เมฆฝนมืดทะมึนเผลอผละจากกันเป็นครั้งคราว
“ลูกพี่...ลูกพี่”
เสียงกู่ตะโกนของคนหลายคนก้องสะท้อนไปในหุบเขา
ไบเก็นชะงักและเหลียวไปมอง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือกับโจทาโรร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมสู้กับผู้ประสงค์ร้ายราวลืมตนว่าเป็นเพียงเด็กและผู้หญิง ทำเอาลูกผู้ชายอย่างไบเก็นหวั่นใจหากว่าจะต้องต่อกรกับผู้อ่อนแอ ใจหนึ่งก็ฉงนว่าทำไมถึงได้แข็งข้อกันนัก
“ไม่ให้ม้าข้าใช่ไหม ไม่ลงมาแน่นะ”
“แน่อยู่แล้ว ไม่ต้องมาถาม”
โจทาโรยืดอกเชิดหน้าตอบ มือยึดสายบังเหียนไว้มั่นวางท่าราวกับนักรบตัวโต ๆ จึงไม่แปลกที่นักสู้เคียวโซ่จะลืมตัวไปว่าศัตรูนั้นคนละรุ่น เลือดอดีตโจรป่าร้อนจนลุกโชน กักฟันกรอดคำรามออกมาได้คำเดียวว่า “ไอ้สารเลว” แล้วกางกรงเล็บตั้งท่าราวกับจะกระโจนขึ้นไปขยุ้มโจทาโรโยนลงมาจากหลังม้าแก่เหมือนตัวเห็บ
แต่ที่ทำได้จริง ๆ คือคว้าข้อเท้าข้างหนึ่งของเจ้าหนุ่มปากร้ายกระชากสุดแรง
โจทาโรตกใจที่ถูกศัตรูร่างใหญ่กว่าตนหลายเท่าจู่โจมทันควันจนลืมชักดาบไม้ด้ามยาวที่เอว อารามจวนตัวเจ้าหนุ่มน้อยทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก่นด่า และถ่มน้ำลายใส่หน้าไบเก็นไม่หยุด
โอซืออกสั่นขวัญแขวน ขณะความเป็นจริงตรงหน้ากำลังพิสูจน์ว่าในช่วงชีวิตหนึ่งนั้นความเดือดร้อนจะผุดขึ้นมาคุกคามเอาเมื่อไหร่ก็ได้ ดูสิ...ชีวิตที่สดชื่นเบิกบานอยู่กับอรุณเบิกฟ้าเมื่อไม่กี่อึดใจมานี้ กลับมืดดำลงโดยพลันราวหมู่เมฆหอบห่าฝนมาบดบังผืนฟ้า
ปากคอขมไปหมด โอซือไม่อยากยุ่งกับการพิพาทกันของชายต่างวัยทั้งสอง เพราะไม่อยากบาดเจ็บและไม่อยากตายแต่ก็ไม่มีใจที่จะยอมความด้วยการขอโทษและส่งสายบังเหียนม้าแก่ให้
ชายร่างใหญ่หน้าตาท่าทางอำมหิตผู้นี้ กำลังไล่ตามมูซาชิที่เพิ่งเดินผ่านเส้นทางสายนี้ไปก่อนหน้าไม่นานด้วยจิตพิฆาต มูซาชิจะต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงหากปล่อยให้ชายผู้นี้ตามไปทัน ดังนั้นสิ่งที่นางจะทำได้ในตอนนี้คือถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเพื่อที่ชายในดวงใจของนางจะได้พ้นอันตราย แม้ว่าการถ่วงเวลาจะทำให้ระยะทางระหว่างมูซาชิกับนางที่ใกล้เข้ามามากแล้วจนถึงเมื่อรุ่งสางวันนี้ จะต้องไกลออกไป...ไกลออกไปทุกที ก็ต้องจำยอม
โอซือเม้มริมฝีปากแดงเรื่อด้วยเลือดสาวบริสุทธิ์ด้วยความมุ่งมั่น...
ข้าจะยอมสละม้าตัวนี้ให้เจ้าตามมูซาชิไปทันถึงตัวไม่ได้เด็ดขาด
ใจคิดและปากสาวเจ้าก็ตามใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
โอซือปราดเข้าไปผลักอกไบเก็นสุดแรง จนอดตกใจกับความกล้าบ้าบิ่นของตัวเองไม่ได้ ไบเก็นกำลังปัดป้ายน้ำลายของเจ้าเด็กจอมป่วนเป็นพัลวันยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นไปอีกเมื่อโดนหญิงร่างอ้อนแอ้นที่คิดว่าไร้พิษสงผลักเอาแรง ๆ
และในอึดใจต่อมานั้นเอง ไบเก็นก็ประจักษ์กับความกล้าหาญชาญชัยของหญิงใจเด็ดร่างอ้อนแอ้นผู้นี้ เมื่อมือบอบบางที่ผลักแผงอกล่ำสั่นนั้นฉกไปที่ด้ามมีดสั้นที่เอวอดีตโจรป่าทันใด
“เฮ้ย”
ไบเก็นร้องลั่นพร้อมกับตะปบลงไปที่มือขาวนวล แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะตรงที่มือของจอมเคียวโซ่กำเอาไว้เต็มแรงนั้นไม่ใช่มือขาวนวลที่นุ่มนิ่ม แต่เป็นใบมีดขาววับของมีดสั้นที่ถูกชักออกจากฝักมาได้ครึ่ง ๆ
“จ๊าก...”
นิ้วนางกับนิ้วก้อยมือขวาของไบเก็นกระเด็นไปตกบนพื้นพร้อมกับเลือดไหลโชกในทันใดนั้นเอง
ชายร่างทะมึนร้องลั่นยกมืออีกข้างขึ้นกุมนิ้วที่เหลือพร้อมกับผละออกมาทันที ซึ่งเท่ากับว่าช่วยให้โอซือชักมีดสั้นโชกเลือดของเจ้าของเล่มนั้นออกไปกำไว้ในมือ และรีบซ่อนไว้ข้างหลังทันทีกันถูกแย่งคืน
ชิชิโด ไบเก็นผู้บรรลุความเป็นเจ้ายุทธจักรเคียวโซเสียหน้าป่นปี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคืนก่อน ไม่คาดฝันว่าจากนั้นไม่ทันไรจะต้องมาเสียหน้าป่นปี้ยิ่งไปกว่า การปรามาสว่าศัตรูอ่อนแอกว่านั่นเองคือต้นเหตุสำคัญ
ไบเก็นก่นด่าความงี่เงาของตนเองและกำลังจะตั้งหลักขึ้นมาใหม่นั้นเอง โอซือซึ่งตอนนี้เลือดเข้าตาไม่กลัวอะไรอีกแล้วก็เงื้อง่ามีดในมือถาโถมเข้ามาด้วยท่วงท่าของเสือสาว ถึงจะเรียกว่ามีดสั้นแต่มันก็คือดาบดี ๆ นี่เอง ยาวเป็นศอกใบมีดหนาหนักเอาการแม้ผู้ชายก็ยังกวัดแกว่งไม่ได้คล่องมือ จึงเป็นธรรมดาที่มือของโอซือจะไม่สั่นเมื่อพุ่งตัวเข้ามาฟาดฟัน และร่างอ้อนแอ้นก็ซวนเซแทบจะล้มด้วยแรงแกว่งไกวดาบในมือของตนเอง
พอกะว่าได้ระยะประชิดตัว โอซือก็หลับหูหลับตาฟันดาบในมือลงไปสุดแรง
รู้สึกได้ว่าคมดาบกระทบกับของแข็งแรงจนแขนสะเทือนและเลือดกระเซ็นมาโดนแก้ม
โอซือลืมตาขึ้นทันที
อนิจจาเอ๋ย...เหยื่อคมดาบของนางกลับกลายสะโพกม้าแก่ที่โจทาโรเกาะแผงขนคอเอาไว้แน่นตัวนั้นเอง
2
เจ้าม้าแก่มีนิสัยขี้ตื่นอยู่แล้ว แม้แผลไม่ลึกเพราะแค่ถูกคมดาบเฉี่ยว แต่ก็แผดเสียงร้องลั่นราวกับจะเป็นจะตาย พร้อมกับเตะถีบทำพยศเหมือนม้าหนุ่มจนเลือดกระจาย
ไบเก็นก็ร้องลั่นไม่เป็นภาษาเหมือนกัน อดีตโจรป่าเบี่ยงตัวและขว้าข้อมือโอซือเอาไว้หวังจะปิดให้มีดร่วงจากมือ ได้จังหวะกับที่เจ้ามาแก่ผงกหัวผงกหางทำพยศเข้ามาพอดี ทั้งสองจึงโดนมันดีดกระเด็นไปกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่ทางหนึ่ง ส่วนเจ้าม้าแก่นั้นก็ยืดตัวตั้งท่ายืนตรงอย่างผู้ชนะ ชูคอขึ้นทำเสียงครืดคราดในจมูก แล้วออกวิ่งฉิวไปราวลูกธนูแล่นแหวกอากาศ
“เฮ้ย ๆ อะไรวะ”
ไปเก็นลุกขึ้นยืนตะลึงมองตามฝุ่นที่ไล่หลังม้าห่างออกไป และพอได้สติก็ออกวิ่งตามด้วยอารมณ์โกรธสุดขีด แต่ไปไม่ได้เท่าไรก็ต้องหยุดแล้วหันขวับมาทางโอซือ เบิกตาโพลงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อ้าว”
แม่เสือสาวไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
อดีตโจรป่าบันดาลโทสะจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมาราวกับจะระเบิด และพอมองไปพบมีดสั้นถูกทิ้งอยู่ที่โคนต้นสนข้างทางก็กระโจนเข้าไปเก็บมากระชับไว้แน่นในมือ และพอชะโงกมองผ่านหมู่ไม้เข้าไปก็เห็นหลังคาบ้านชาวนาอยู่บนหน้าผาที่ไม่สูงชันนัก จึงคิดว่าโอซือที่ถูกม้าดีดเมื่อกี้คงจะกลิ้งตกลงไปที่นั่น
เมื่อมาถึงขึ้นนี้แล้วไบเก็นชักแน่ใจแล้วว่านางคนนี้ต้องมีอะไร ๆ กับมูซาชิที่ตนกำลังกวดตาม และคิดว่าคงจะปล่อยนางไปคงไม่ได้แม้ใจกำลังร้อนเร่ากับการไล่ล่า
คิดได้ดังนั้นชายร่างใหญ่จึงวิ่งลงเนินไปที่บ้านชาวนาหลังนั้น
“อยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้”
ร้องเรียกปนคำรามด้วยเสียงของคนโกรธจัด ขณะก้าวพรวด ๆ ไปรอบบ้าน
“หายไปไหน นางตัวดี”
แม่เฒ่าชาวนานั่งหลังโกงปั่นฝ้าย มองไบเก็นที่ชะโงกเข้ามาดูในบ้านบ้าง ปิดเปิดโรงเก็บของบ้างเหมือนคนบ้าคลั่ง อย่างหวาด ๆ อยู่คนเดียว
“อยู่นี่เอง”
ในที่สุดไบเก็นพบโอซือ
โอซือถูกม้าดีดกลิ้งลงไปจากเนินตรงนั้น และพอตั้งหลักได้ก็รีบหนีไปทางหน้าผาที่ลำธารก้นหุบเขาซึ่งยังมีหิมะเหลืออยู่
“หนีข้าไม่พ้นหรอกนางตัวดี”
โอซือหันขวับไปมองเมื่อได้ยินเสียงคำรามกราดเกรี้ยว จึงพบชายร่างใหญ่วิ่งใกล้เข้ามาเร็วกว่าดินที่ร่วงกราวลงมาด้วยความแรงเร็วของฝีเท้าเสียอีก
มือขวาของจอมยุทธ์เคียวโซ่เงื้อง่ามีดสั้นคมวาวขาววับก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายใจว่าจะเข่นฆ่า คิดว่าถ้านางมีอะไรกับ มูซาชิจริงก็จะใช้เป็นตัวล่อให้เข้ามาติดกับ และอาจเค้นถามด้วยก็ได้ว่ามูซาชิกำลังมุ่งหน้าไปไหน
“นางตัวดี”
มือข้างว่างดาบที่ไบเก็นยื่นไปจนสุดเอื้อมแตะถึงเรือนผมดำงามของโอซือ นางย่อตัวหลบวิ่งเข้าไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง อารามลุกลี้ลุกลนเท้าจึงก้าวพลาดแทบจะร่วงลงไปจากหน้าผา ดีที่คว้าโคนต้นไม้เอาไว้ทันตัวจึงห้อยและแกว่งอยู่เหมือนลูกตุ้ม กรวดดินร่วงกราวมาบนใบหน้าและที่หน้าอก เหนือขึ้นไปคือดวงตาโตที่เบิกโพลงแทบถลนของชายร่างใหญ่กำยำและมีดดาบคมขาววับที่เงื้อง่า
“ฮะ ฮ้า หนีรึ หนีไม่รอดแล้วละเจ้า ดูข้างล่างนั่นสิ หุบเหวลึกออกอย่างนั้น ขืนตกลงไปต้องเหลือแต่ศพแน่นอน”
โอซือมองตามลงไปเห็นธารน้ำใสสะท้อนสีท้องฟ้าไหลรินผ่านหิมะที่ทับถมอยู่และยังละลายไม่ทันหมด หน้าผานั้นจะว่าสูงก็ไม่ได้สูงมากมายนัก คิดว่าน่าจะรอดหากปล่อยมือให้ร่างลอยลิ่วลงไปที่สายน้ำ จึงปล่อยให้ร่างแกว่งไกวอยู่ในอากาศอย่างนั้นเพื่อคอยโอกาสเหมาะ
ความตายมาถึงเร็วกว่าความรู้สึกกลัวเสียอีก
มูซาชิอยู่ไหน...อยู่ไหนไม่สำคัญ แต่โอซือเห็นภาพของชายในดวงใจชัดเจนอยู่ในห้วงคิด แจ่มจรัสราวดวงจันทร์ที่เยี่ยมหน้าออกมาให้เชยชม ยามหมู่เมฆฝนมืดทะมึนเผลอผละจากกันเป็นครั้งคราว
“ลูกพี่...ลูกพี่”
เสียงกู่ตะโกนของคนหลายคนก้องสะท้อนไปในหุบเขา
ไบเก็นชะงักและเหลียวไปมอง