xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ม้าแก่ที่ร้านน้ำชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
หลายวันแรกออกเดินทางสาวเจ้าเบิกบานแจ่มใส เดินขึ้นลงเขาทั้งวันไม่เหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย
โอซือกับโจทาโรมาถึงด่านตรวจคนเข้าแคว้นเมื่อยามดึก นอนพักแข้งขาแค่คืนเดียวก็ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่สายหมอกยังไม่จาง จากภูเขาฟูเดซูเตะจนผ่านละแวกยงเก็นจายะฟ้าจึงเริ่มสาง
รุ่งอรุณ แสงเงินแสงทองฉาบฉายที่ขอบฟ้า
“สวยจัง”
โอซือเหลียวมอง อุทานเสียงใสแล้วหยุดยืนมองความงามอลังการของขุนเขายามดวงอาทิตย์เคลื่อนพ้นขอบฟ้าด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ
ใบหน้าหวานซึ้งของสาวงามแดงระเรื่อเมื่อได้รับแสงจากสวรรค์ ต้นไม้ใบหญ้าและสรรพสิ่งมีชีวิตใหญ่น้อยที่เริ่มทะยอยตื่นขึ้นมามีชีวิตในวันใหม่ คงจะต้องภาคภูมิใจที่ได้ช่วยแต่งแต้มความงามในธรรมชาติให้สมบูรณ์
“ยังไม่มีใครขึ้นเขามาทางนี้เลยนะโอซือ เช้านี้เราสองคนออกเดินทางก่อนใครเพื่อน เยี่ยมไปเลย”
“เจ้านี่แปลก เรื่องแค่นี้ก็ต้องโอ้อวดด้วย ทางบนเขามันก็อยู่ของมันตรงนี้ ใครจะมาก่อนมาหลังไม่เห็นจะเกี่ยว”
“มาใช่นะ”
“งั้นถ้าเราออกเดินทางเร็วกว่าใคร ระยะทางมันจะสั้นลงรึ สิบโยชน์จะเหลือแค่เจ็ดโยชน์หรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าหมายถึงว่าเราออกเดินทางก่อนใคร ๆ อย่างนี้ มันปลอดโปร่งใจดี ไม่ต้องเดินตามก้นม้า หรือก้นพวกคนหามกระเช้าต่างหากล่ะ”
“ก็จริง แต่ไม่เห็นจะต้องภูมิอกภูมิใจขนาดนั้นเลยนี่ มันไม่แปลกไปหน่อยรึ”
“แต่โอซือ เวลาเดินไปบนทางที่ไม่มีคนอื่นเลยสักคนเนี่ย มันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอาณาจักรที่เป็นของเราคนเดียว จะไม่ให้ข้าหยิ่งผยองได้ไง”
“เข้าใจละ งั้นเจ้าก็ทำตัวเป็นจอมทัพขึ้นม้าสง่างามออกตรวจแว่นแคว้นตามสบาย ข้าจะเป็นทหารเลวเดินนำหน้าเบิกทางให้เอง”
โอซือว่าพลางเดินไปเก็บก้านไม้ไผ่จากข้างทางมาถือไว้แล้วโบกไปข้างหน้า สวมบทบาททหารเลวพร้อมกับร้องเล่นไปด้วยอย่างคึกคะนอง
“หมอบลง หมอบลงก้มหน้า ท่านจอมทัพกำลงจะผ่านมา จงก้มหน้าลง”
แต่แล้วก็ต้องชะงักร้องอุทานออกมาเบา ๆ ว่า ตายจริง เมื่อเหลือบไปเห็นคนร้านน้ำชาละแวกยงเก็นจายะซึ่งนึกว่ายังไม่เปิดร้าน เยี่ยมหน้าหน้าออกมาดู
โอซือหน้าแดงเรื่อ ออกวิ่งหนีไปด้วยความอาย โดยมีโจทาโรกวดตามไปติด ๆ
“โอซือ โอซือ วิ่งหนีจอมทัพไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นโดยเฆี่ยนหลังลายแน่”
“เลิกเล่นได้แล้ว บ้าหรือเปล่า”
“อ้าว ว่าข้าได้ไง ตัวเองน่ะแหละทำตลกอยู่คนดียว”
“ก็เจ้าเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่รึ ข้าก็แค่เล่นตามเท่านั้นเอง ดูซิ คนที่ร้านน้ำชายงเก็นจายะยังมองมาทางนี้อยู่เลย คงคิดว่าฉันเป็นคนบ้าแน่ ๆ”
“กลับไปที่นั่นกันเถอะ”
“อะไรนะ”
“ก็ข้าหิวนี่ หยุดพักกินข้าวปั้นที่พกมาสักครึ่งหนึ่งดีกว่านะ”
“อะไรกัน เพิ่งเดินมาได้ไม่เท่าไรเอง เดินทางกับโจทาโรนี่ ขืนตามใจวันหนึ่งคงต้องพักถึงห้าหน”
“ก็จริง แต่ข้าไม่ได้ขึ้นกระเช้าคนหาม ไม่ได้ขึ้นม้าให้เขาจูงเหมือนโอซือก็แล้วกัน”
“ที่ข้าทำอย่างนั้นเมื่อวานนี้ก็เพราะอยากไปพักแรมที่ด่านตรวจคนเข้าแคว้นต่างหาก อย่ามาทำพูดมากหน่อยเลย วันนี้ข้าเดินอย่างเดียวเลยก็ได้”
“วันนี้ถึงตาข้าขึ้นบ้าง”
“อะไรนะ เป็นเด็กเป็นเล็ก”
“ก็ข้าอยากขี่ม้ามั่งนี่ นะโอซือ ให้ข้าขี่บ้างนะ”
“วันนี้วันเดียวนะ”
“ได้เลย ข้าเห็นม้าเช่าตัวหนึ่งผูกอยู่ที่ร้านน้ำชา เดี๋ยวข้าไปเช่ามาเลยนะ”
“ไม่ได้ ยังเช่าไม่ได้”
“อ้าว ทำไมพูดกลับไปกลับมาอย่างนี้ล่ะ”
“ก็ยังไม่ทันเหนื่อยสักหน่อยจะขึ้นม้าทำไม ฟุ่มเฟือยไม่เข้าเรื่อง”
“พูดอย่างนี้ข้าคงไม่ได้ขี่ม้าตลอดชาติ เพราะคนอย่างข้าต่อให้เดินกี่ร้อยกี่พันโยชน์ก็ไม่เหนื่อย รอให้สายกว่านี้น่าจะอันตรายเพราะทางถนนจะพลุกพล่าน ให้ข้าตอนนี้เถอะ เหมาะที่สุดแล้ว”
โอซืออ่อนใจแต่ก็คิดว่าดีเหมือนกันเพราะอุตส่าห์ออกเดินทางแต่เช้าน่าจะไปได้ไกลโขอยู่ แต่ยังไม่ทันจะพยักหน้าอนุญาต เจ้าหนุ่มน้อยก็วิ่งปร๋อกลับไปต่อรองขอเช่าม้าที่ร้านน้ำชายงเก็นจายะเรียบร้อย


2
ยงเก็นจายะ
มีความหมายตามตัวอักษรคือสี่ร้านน้ำชา แต่ไม่ใช่ว่าตั้งเรียงรายกันสี่ร้านเหมือนร้านขายเสื้อผ้าเก่าในเมือง
ยงเก็นจายะเป็นชื่อเรียกละแวกที่มีร้านน้ำชาให้นั่งพักอยู่สี่แห่งบนทางผ่านบนภูเขาคือที่ฟูเดซูเตะ คุตสึกาเคะ และอีกสองแห่ง
“ลุง ลุง,,,ขอเช่าม้าหน่อย”
โจทาโรไปถึง ไม่เห็นใครจึงตะโกนเรียกดังลั่น
ร้านน้ำชาเพิ่งจะเปิด ตาลุงเจ้าของร้านยังงัวเงียอยู่ เยี่ยมหน้าออกมามองเมื่อได้ยินเจ้าหนุ่มน้อยส่งเสียงขรมถมเถ
“เกิดอะไรขึ้นรึถึงได้มาเอะอะหนวกหูตั้งแต่ไก่โห่อย่างนี้”
“ม้าน่ะลุง ขอเช่าม้าหน่อย เร็วเข้า ไปถึงมินางูจิ คิดเท่าไหร่ ถ้าไม่แพงนักจะไปถึงคูซัตสึเลยก็ได้”
“เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะนี่”
“ลูกพ่อลูกแม่ธรรมดาน่ะลุง”
“นึกว่าเป็นลูกอสูรฟ้าผ่า”
“ลุงต่างหากที่น่าจะเป็นอสูราผ่า”
“หนอยแน่ ทำมาปาก”
“ขอเช่าม้าหน่อย”
“อ๋อ เจ้าคิดว่านั่นเป็นม้าเช่าอย่างนั้นรึ ขอโทษนะขอรับ ม้าตัวนี้ไม่ได้มีไว้ให้พระเดชพระคุณเช่า”
ตาลุงทำสุ้มเสียงประชดให้เมื่อเห็นหนุ่มน้อยเท้าสะเอวเชิดหน้าเย่อหยิ่งราวกับเป็นเจ้าเป็นนาย
“ข้าก็แค่ขอเช่า เจ้าจงจัดให้ตามประสงค์ของข้าโดยเร็ว อย่าได้ชักช้า”
โจทาโรร่วมวงเล่นละครด้วย ตีหน้ายียวนสมบทบาททำเอาตาลุงเจ้าของร้านน้ำชาทั้งฉุนทั้งขัน
“เจ้านี่ วอนเสียแล้ว”
ตาลุงคว้าฟืนติดไฟท่อนหนึ่งออกมาจากเตาที่กำลังนึ่งซาลาเปาขว้างไปที่หนุ่มน้อยปากไว
โจทาโรเบี่ยงตัวหลบวืด ฟืนติดไฟจึงพลาดไปถูกขาเจ้าม้าแก่ที่ผูกอยู่ใต้ขายคา
เจ้าม้าแก่ที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่กับเจ้าคนจูงมาตั้งแต่เกิดจนขนคิ้วขาวโพลนชราภาพ ช่วยทุนแรงมนุษย์มาไม่ได้เว้นแต่ละวัน ทั้งขนข้าวขนเต้าเจี้ยวมิโซะขึ้นเขาลงห้วยอย่างไม่เกียจคร้าน สะดุ้งตกใจร้องลั่นเป็นครั้งแรกในไม่รู้กี่ปี กระโดดขึ้นเตะถีบผนังร้านน้ำชาด้วยกำลังแรงด้วยความลืมตัวลืมสังขาร
“ไอ้บ้า,,, “
ตาลุงร้องด่าไม่รู้ว่าคนหรือม้าและสบถยาวเหยียด กระโจนออกจากร้าน ไปปลดเชือกที่ผูกม้าออกจากหลัก ตบหลังลูบไหล่พลางปลอบใจพลางระหว่างจูงออกไปที่ต้นไม้ข้างเรือน
“ลุง ให้ข้าเช่าม้าเถิดนะ ขอร้อง”
“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ให้ข้าเช่าเถิด”
“ไม่ได้ ไม่มีคนจูง”
โอซือเห็นโจทาโรหายไปนานจึงเดินกลับมาตามและได้ยินเข้าพอดีจึงช่วยสำทับว่า...ขอให้เราเช่าม้าเถิด ไม่มีคนจูงก็ไม่เป็นไร เราจะจ่ายค่าเช่าม้าไว้ก่อน ส่วนม้านนั้นพอไปถึงมินากูจิก็จะฝากให้คนเดินทางที่จะกลับมาทางนี้หรือคนจูงม้าเอามาคืนให้,,,ตาลุงเจ้าของร้านน้ำชาพิศดูหน้าตาท่าทางของโอซือแล้วก็เชื่อใจจึงบอกว่า...เจ้าจะขี่มันไปจนถึงคูซัตสึก็ไม่ว่าอะไร แค่หาคนที่ไว้ใจได้แล้วฝากม้าคืนมาก็พอ...ว่าแล้วก็ส่งเชือกจูงม้าให้นางโดยดี
โจทาโรทำเสียงจึ๊จ๊ะ หรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“แค่นี้เอง นึกว่าอะไร ทำไมไม่บอกแต่แรกล่ะว่าต้องให้คนสวยมาขอถึงจะให้”
“โจทาโร...”
โอซือปรามเสียงเขียว
“พูดอย่างนั้นกับคุณลุงได้ยังไง เจ้าม้ายืนฟังอยู่นะ เดี๋ยวมันได้โมโหแล้วสะบัดร่วงลงกลางทางหรอก”
“ม้าแก่ปูนนี้ไม่มีแรงสะบัดข้าตกแน่นอน”
“ว่าแต่เจ้าน่ะขี่ม้าเป็นรึเปล่า”
”เป็นซี ถามได้ แต่จะขึ้นหลังมันได้ยังไงล่ะ”
“กอดก้นม้าอยู่อย่างนั้น จะขึ้นได้ไง”
“โธ่ อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย ช่วยอุ้มข้าขึ้นหลังม้าทีเถิด”
“ข้าชักจะอ่อนใจกับเจ้าเสียเสียแล้วซี”
โอซือบ่นพลางหิ้วปีกหนุ่มน้อยขึ้นนั่งบนหลังม้า
โจทาโรขึ้นไปนั่งกระหยิ่มยิ้มย่อง เชิดคอยืดหลังตรงเป็นสง่าราวกับอัศวินตัวน้อยอยู่บนหลังม้า
ชายตาลงมาบอกว่า
“โอซือเดินนำหน้าไปนะ”
“นั่งคนเดียวได้รึ ดูเอวอ่อนชอบกล”
“สบายมาก ไม่ต้องห่วง”
“งั้นก็ไปกันเถอะ โอ้เอ้มามากแล้ว”
กระชับเชือกจูงม้าในมือ ร่ำลาตาลุงเจ้าของร้านน้ำชาและม้าแก่ ก่อนหันหลังเดินดุ่มจากไป
แต่พอเดินมาได้ไม่ถึงร้อยก้าว ทั้งสองก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกพร้อมกับเสียงผีเท้าวิ่งกวด ดังฝ่าม่านหมอกเข้ามาใกล้

3
“ใครน่ะ”
“เขาเรียกเรารึ”
โอซือหยุดม้าแล้วหันไปเพ่งมอง ก็เห็นเงาคน ๆ หนึ่งที่กำลังวิ่งกวดตามใกล้เข้ามาชัดเจนขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเห็นวงหน้า รูปร่าง และพอจะกะอายุวัยได้
ถ้าเป็นตอนกลางคืน นางคงชวนโจทาโรวิ่งหนีไม่เหลียวหลัง ไม่รอให้ชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัว พกมีดด้ามยาวคู่กับอาวุธเคียวโซที่น่าเกรงขาม เข้ามาประชิดตัวได้ขนาดนี้
ชายผู้พกอาวุธเคียวโซ่วิ่งฝ่าม่านหมอกออกมาและโผนเข้าใส่คนทั้งสองด้วยความเร็วราวลมสลาตัน พอถึงตัวก็กระชากสายจูงม้าไปจากมือโอซืออย่างมาปรานีปราศรัย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นตะคอกโจทาโรเสียงกร้าว
“ลงมา”
ม้าแก่ตื่นตระหนกอีกยังไม่ทันหายอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่ก่อน ถอยหลังกรูดขาขวิดกันเสียงดังกุบ กับ ไม่เป็นจังหวะ โจทาโรขยุ้มแผงขนบนคอม้าแก่ไว้แน่น
“เฮ้ย เอ็งจะทำอะไร ม้านี่ข้าเช่าเขามา”
“เงียบ”
เจ้าคนพบอาวุธเคียวโซ่ตวาดเสียงเฉียบขาด
“นี่นาง”
“ทำไมรึ”
“ข้าชื่อชิชิโด ไบเก็น เป็นคนหมู่บ้านอูจิอิลึกเข้าไปจากโรงเตี้ยมที่ด้านนิดหนึ่ง บังเอิญมีอะไรนิดหน่อยทำให้ต้องออกจากบ้านมาตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง เพื่อตามหาคนชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิที่หนีมาทางนี้ คิดว่าตอนนี้คงจะไปไกลกว่าโรงเตี๊ยมที่มิซูกูจิแล้ว แต่ข้าจำเป็นต้องกวดไปให้ทันเจ้านั่นอย่างน้อยก็แถวแม่น้ำยาซูงาวะที่โคชูงูจิ...ขอม้าตัวนี้ข้าเถอะนะ”
ไบเก็นพูดรัวเร็วแทบไม่หายใจจนต้องหอบตัวโยน แม้อากาศจะหนาวจนน้ำค้างจับแข็งตามกิ่งไม้ราวออกดอกเป็นปุยฝ้ายขาวโพลนไปทั่ว แต่เหงื่อก็ยังซึมขึ้นมาเป็นมันเลื่อมอยู่ที่ต้นคอทำให้ดูเหมือนผิวของพวกจิ้งเหลน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนไปทั่วแสดงว่าเจ้าตัวกำลังเครียดจัด
โอซือยืนนิ่งขึง หน้าซีดขาวราวเลือดในกายถูกสูบลงดินจนหมดสิ้นไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นางขยับริมฝีปากซีดเกือบจะเป็นสีม่วงด้วยกำลังใจที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดอยากจะถามซ้ำให้แน่ใจ
“ม...มูซาชิรึ”
โจทาโรชิงถามขึ้นมาก่อน พยายามทำใจกล้าทั้งที่มือที่ยึดแผงขนที่คอม้าแก่ไว้มั่นและขาสั่นเทาด้วยความพรั่นพรึง
ใจของไบเก็นร้อนรนกระวนกระวายเกินกว่าจะสังเกตเห็นความตื่นตระหนกของตนทั้งสอง จึงได้แต่เร่งเร้าเพื่อให้ได้ดังใจตน
“เจ้าหนู ลงมาเดี๋ยวนี้ ลงมาเร็ว ขืนช้าอยู่เป็นได้โดนดี”
ไบเก็นขู่พลางฟาดสายจูงม้ากับอากาศดังควับ ๆ เพื่อข่มขวัญ แต่โจทาโรสั่นหัวดิกอย่างไม่เกรงกรัว
“ไม่”
“ไม่รึ”
“ม้าของข้า จะเอาม้าของข้าไปเที่ยวกวดตามใคร ๆ ไม่ได้”
“นี่ข้าพูดด้วยดี ๆ แล้วนะ เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงเดินทางมากับเด็ก แต่มาทำกำเริบกับข้าแบบนี้เห็นทีจะเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว”
“จริงไหมโอซือ”
โจทาโรส่งเสียงข้ามหัวไบเก็นไปถาม
“เราให้ม้าตัวนี้ไปไม่ได้ใช่ไหม ให้ไม่ได้นะ”
โอซืออยากชมโจทาโรเหลือเกินที่กล้าพูดออกไปเช่นนั้น ความจริงแล้วอย่าว่าแต่จะยอมให้ม้าไปเลย แม้แต่ตัวของเจ้าคนพกอาวุธเคียวโซ่ก็จะปล่อยให้ตามคน ๆ นั้นต่อไปไม่ได้
“จริง โจทาโร เราให้ไม่ได้ ท่านจะเร่งรีบเพียงไรฉันไม่รู้แต่เราก็มีธุระต้องรีบไปเหมือนกัน ไกลออกไปอีกนิดก็จะถึงสันเขาที่มีม้ากับกระเช้าหามให้เช่าอยู่มากมาย การมาแย่งพาหนะที่คนเขากำลังใช้กันอยู่นั้น คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ควรทำ เด็กคนนี้พูดถูกแล้ว”
“ข้าไม่ลง เป็นตายยังไงก็ไม่สละให้ม้านี้กับเจ้า
ทั้งสองรวมใจกันขัดขืน ยืนกรานไม่ยอมสละม้าให้กับไบเก็น


กำลังโหลดความคิดเห็น