xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ตอน ชิชิโด ไบเค็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
คนคือสิ่งที่หาได้ยากแม้โลกนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนและนับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่การจะได้พบกับคนที่เป็นคนแท้ ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก
มิยาโมโต มูซาชิรู้สึกรันทดอยู่ในส่วนลึกระหว่างเดินทางผ่านโลกและชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้
คราใดที่ความคิดนี้สะท้านขึ้นมาในใจ เจ้าหนุ่มนักดาบจะคิดถึงพระทากูอัน...ผู้เป็นคนแท้...ขึ้นมาทุกครั้ง
ดีใจนัก อย่างน้อยข้าก็โชคดีที่ได้พบคนแท้ซึ่งหาได้ยากนัก และข้าจะต้องไม่ปล่อยให้โอกาสอันทรงคุณค่านั้นหมดสิ้นไปอย่างเปล่าประโยชน์
และคราใดที่คิดถึงพระทากูอัน แม้จนในขณะนี้มูซาชิจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวข้อมือที่ข้อมือทั้งสองและความเจ็บปวดนั้นจะซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย น่าแปลกที่ความเจ็บปวดทรมานกายครั้งที่โดนมัดแขวนลงมาจากกิ่งต้นสนพันปีที่วัดชิปโปจิ ยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
คอยดูเถิด วันหนึ่งข้าจะจับหลวงพี่ทากูอันมัดแขวนลงมาจากกิ่งต้นสนพันปี และจะเป็นฝ่ายยืนเทศนาให้บรรลุสัจจธรรม
มูซาชิคิดเช่นนั้นเสมอทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ใช่เพราะความเคียดแค้นชิงชัง หรือคิดที่จะแก้แค้นเอาคืน แต่เป็นความรู้สึกท้าทายอยู่ลึก ๆ ในใจว่า วิถีแห่งดาบจะนำตนให้สูงขึ้นเหนือพระทากูอันผู้ดำเนินอยู่บนวิถีแห่งเซ็นได้หรือไม่ และถ้าได้จะเหนือขึ้นไปในระดับใด นับเป็นแรงบันดาลใจที่ประเสริฐยิ่งนักสำหรับนักดาบหนุ่มผู้นี้
เอาเถิด...ไม่ถึงกับต้องบรรลุถึงเป้าหมายในอุดมการณ์ก็ได้ เอาเป็นว่าระหว่างที่ก้าวหน้าไปในยุทธจักรและมีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นไปจนวันหนึ่งเผอิญอยู่ในฐานะที่ต้องจับตัวหลวงพี่ทากูอันมาแขวนกับกิ่งต้นสนพันปี แล้วแหงนหน้าขึ้นไปเทศนาสั่งสอน เจ้าหนุ่มอยากรู้นักว่าพระทากูอันจะพูดว่ายังไง
คงจะหัวร่อร่าและตะโกนลงมาละมังว่า ดีจริง...อาตมาสบายมาก
ไม่หรอก คนอย่างหลวงพี่ไม่พูดอะไรตรงไปตรงมาอย่างนั้น แต่จะหัวเราะขบขันและบอกว่า
มูซาชิ เจ้าเป็นใหญ่เป็นโตก็จริง แต่ยังโง่เงาไม่เป็นประสาตามเคย
เอาเถิด...จะด่าว่าบ้าบออะไรออกมาก็ไม่สำคัญเพราะเจ้าหนุ่มรู้ดีว่าหลวงพี่คิดอะไรกับตน และการแสดงให้เห็นแม้เพียงครั้งเดียวว่าตนเหนือกว่า ไม่ว่าจะในลักษณะใดก็ตามนั้น คือความกตัญญูที่ตนมีต่อคน ๆ นี้
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความเพ้อฝันของหนุ่มนักดาบพเนจร ที่กำลังก้าวเข้าสู่วิถีหนึ่งที่เลือกแล้วและเพิ่งเริ่มตระหนักถึงความยากลำบากบนหนทางอันยาวไกล ซึ่งอาจต้องใช้เวลายาวนานหรืออาจจวบจนสิ้นนิรันดรกว่าจะบรรลุถึงความเป็นคนแท้ ทั้งยังไม่มีอะไรให้มั่นใจได้เลยว่าเมื่อถึงจุดนั้นแล้วตนจะเทียบเท่ากับหลวงพี่ทากูอันหรือไม่ อย่างนี้หรือจะบังอาจคิดตีเสมอ...และแล้วภาพฝันของเจ้าหนุ่มก็สลายไปในความเวิ้งว้าง
มูซาชินึกไปถึงเซกิชูไซปรมาจารย์แห่งวิถีดาบผู้เกรียงไกรแห่งหุบเขายากิว แม้จะไม่ได้มีโอกาสพบต่อหน้า แต่แค่เฉียดผ่านเข้าไปเท่านั้น บารมีของท่านผู้เฒ่าที่แผ่อยู่ทั่วอาณาบริเวณก็ทำให้ตนท้อแท้และเศร้าใจกับความเป็นหนุ่มอ่อนโลก เป็นเด็กที่ยังถือดาบเป็นของเล่น ตระหนักถึงความต่ำต้อยของตนในยุทธจักรอันยิ่งใหญ่ ไม่มีหน้าที่จะมาพูดถึงวิถีแห่งดาบหรือวิทยายุทธ์ใด ๆ โลกที่มีแต่คนที่ดูไร้ค่านั้นขยายกว้างออกไปอย่างน่ากลัว
ทว่า ความคิดนั้นไม่ได้บั่นทอนกำลังใจของเจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้ลงแม้แต่น้อย มูซาชิบอกตนเองว่า
ยังเร็วไปที่จะด่วนคิดหาเหตุหาผลให้กับชีวิตและดาบ สิ่งสำคัญในเวลานี้ไม่ใช่พูดแต่ทำและทำจริง
คราใดที่รู้สึกสับสนกับโลกและชีวิต มูซาชิจะเข้าไปหมกตัวอยู่คนเดียวบนภูเขา ใช้ชีวิตอยู่กับป่าและหนองบึง สภาพที่เห็นเมื่อออกมาสู่โลกอีกครั้งเล่าเรื่องราวชีวิตในป่าของเจ้าหนุ่มได้ดีกว่าคำพูดใด ๆ
---ใบหน้าเรียวยาวแก้มตอบเหมือนกวางหนุ่ม ตามตัวเต็มไปด้วยรอยแผลขีดข่วนบ้างฟกช้ำบ้าง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงขาดน้ำมันให้เกาะติดเป็นรูปทรงเพราะถูกน้ำตกชะล้างออกไปหมดสิ้น เนื้อตัวแม้จะมอมแมมเพราะนอนกับดินกินกับทรายแต่ฟันเท่านั้นที่ดูขาวและแข็งแรงอย่างประหลาด---
ครั้งนี้ มูซาชิกลับสู่โลกภายนอกด้วยใจที่ลุกโชนด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่มุ่งไปหาคู่ประลองฝีมือดาบตามสัญญา
เมื่อผ่านมาที่คูวานะระหว่างทางไปเกียวโต มูซาชิได้ยินว่ามีนักต่อสู้ผู้ชำนาญการใช้อาวุธเคียวโซ่อยู่ที่นี่ และเมื่อดูเวลาแล้วเห็นว่ายังมีเวลาอีกสิบกว่าวันกว่าจะขึ้นปีใหม่ จึงเช่าม้าขึ้นเขามาด้วยความตั้งใจที่จะแวะพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ชิชิโด ไบเค็นผู้มีชื่อเลื่องลือกันไปไกลผู้นี้ จะเป็นคนแท้ที่หาได้ยากจริง หรือว่าเป็นเพียงคนที่อยู่ในโลกนี้ไปวัน ๆ เหมือนตัวหนอนที่ชอนไชรวงข้าว


2
มูซาชิมาถึงที่หมายในป่าลึกบนภูเขาเมื่อดึกมากแล้ว
เจ้าหนุ่มขอบอกขอบใจคนจูงม้าที่ช่วยพามา จ่ายค่าจ้างและบอกให้กลับไปได้ แต่คนจูงม้าบอกว่าดึกป่านนี้แล้วจะให้เดินฝ่าความหนาวลงเขากลับไปคงไม่ไหว ต้องขอนอนอยู่ใต้ชายคาบ้านที่ท่านลูกค้ามุ่งหน้ามาหา พอรุ่งเช้าจึงจะไปคอยหาผู้โดยสารที่ลงมาจากไหล่เขาซูซูกะพากลับไปข้างล่าง
มูซาชิฟังแล้วเห็นใจ เพราะบริเวณนี้เป็นหุบเขาที่มีภูเขาสูง อย่างอิงะ ซูซูกะ และอาโนะ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเจอแต่ภูเขาที่ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะ
“งั้นก็ไปด้วยกัน”
“ไปที่บ้านของชิชิโด ไบเค็นหรือขอรับ”
“ใช่”
“ไปเดินหากันเลยขอรับ”
ชิชิโด ไบเค็นเป็นชาวนาช่างตีเหล็กในหมู่บ้าน ถ้าเป็นตอนกลางวันก็คงหาบ้านที่อยู่ได้ทันที แต่ตอนดึกอย่างเวลานี้บ้านทุกหลังปิดไฟมืดคงจะนอนกันหมดแล้ว
ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้นเองมูซาชิกับคนจูงม้าแว่วเสียง ก๊อก ก๊อก ดังอยู่ข้างหน้า จึงเดินไปทางนั้นและเห็นแสงไฟหริบหรี่แสดงว่ายังมีคนตื่นอยู่ ทั้งสองรู้ได้จากกองเหล็กเก่า ๆ ที่วางสุมกันเป็นพะเนินอยู่ใต้ชายคาหน้าบ้าน และคราบเขม่าดำปี๋ที่จับอยู่ทั่วไปว่าที่นั่นต้องใช่บ้านของชาวนาช่างตีเหล็กชื่อชิชิโด ไบเค็นแน่
“ขอโทษขอรับ”
คนจูงม้าร้องทักพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปในห้องกว้างที่พื้นเป็นดินอัดแน่นแบบห้องโถงทางเข้าบ้านชนบททั่วไป ไฟในเตาคุโพลงอยู่แต่ไม่มีใครตีเหล็ก
“ไฟในเตายังลุกอยู่เลย อุ่นดีจัง ขอโทษนะขอรับที่มารบกวน”
“อะไรหรือ”
ผู้หญิงซึ่งคงเป็นนางเมียเจ้าของบ้านนั่งใช้ค้อนไม้ทุบผ้าให้เรียบหันหลังให้ประตู ส่งเสียงทักตอบ
แต่พอเหลียวหลังมาเห็นคนที่พรวดพราดเข้ามาผิงไฟหน้าตาเฉยเป็นชายแปลกหน้า นางก็ชะงักมือที่กำลังทุบผ้าอยู่ ขมวดคิ้วถามเสียงเขียว
“ใครน่ะ เจ้าเป็นใครมาจากไหน”
“ใจเย็น ๆ ขอรับกำลังจะบอกเดี๋ยวนี้ ข้าเป็นคนจูงม้าที่คาวานะเพิ่งพาท่านลูกค้ามาถึงหมู่บ้านเมื่อกี้นี้เอง ท่านเดินทางไกลมาหาท่านเจ้าของบ้านนี้ขอรับ”
“อะไรนะ
นางเมียชาวนาช่างตีเหล็กหน้าตางดงามไม่เบาอายุราวสามสิบถามเสียงเขียว เงยหน้าขึ้นหรี่ตามองมูซาชิตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ท่าทีของนางแสดงให้เห็นว่าคงมีนักดาบฝึกหัดพเนจรมากหน้าหลายตาผ่านมาสร้างความยุ่งยากให้แก่คนในหมู่บ้านบ่อย ๆ จนเป็นที่เอือมระอา
“ปิดประตูด้วย ลมเย็นจะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวลูกน้อยของข้าก็เป็นหวัดกันพอดี”
นางเมียตวาด มูซาชิก้มศีรษะแล้วเลื่อนประตูปิดอย่างว่าง่าย ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนท่อนไม้ที่ตัดมาทำเป็นม้านั่งข้างเตาไฟตีเหล็ก และกวาดตามองไปรอบ ๆ ตั้งแต่บริเวณที่ตั้งเตาตีเหล็กที่ดำไปด้วยเขม่าไฟ ขึ้นไปบนเรือนที่ปูพื้นด้วยเสื่อกกไม่กว้างนัก
นั่นไง...สายตาของเจ้าหนุ่มนักดาบไปสะดุดอยู่ที่ฝาห้องด้านหนึ่ง
อาวุธที่ประกอบด้วยเคียวกับสายโซ่ที่มีตุ้มเหล็กถ่วงน้ำหนักที่ปลายข้างหนึ่ง เรียกว่า “เคียวโซ่” แขวนอยู่ราว 10 ชุด
เคียวโซ่
มูซาชิร้องด้วยความตื่นเต้นอยู่ในใจ ดวงตาเป็นประกายวาววับขึ้นทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่ตั้งใจมาดูให้ประจักษ์กับสายตา สำหรับนักดาบผู้นี้ การได้พบกับอาวุธและวิทยายุทธ์ของผู้ชำนาญการใช้ เป็นบทเรียนหนึ่งของการฝึกวิชาดาบ
นางเมียวางค้อนที่ใช้ทุบผ้าลงแล้วก้าวขึ้นไปบนเรือนหาย คิดว่าจะไปต้มน้ำชงชามารับแขก แต่ที่แท้ก็เข้าไปนอนห่มผ้านวมให้นมลูกอยู่บนฟูกที่ปูอยู่ในห้องตรงนั้นเอง
“นี่แน่ะพ่อซามูไรหนุ่ม คิดจะมาประลองฝีมือกับผัวข้าละสิ เสียใจด้วยนะที่จะไม่ได้หลั่งเลือดเซ่นคมเคียวโซ่ตามที่ได้ตั้งใจมา เพราะตอนนี้ผัวข้าไม่อยู่”
ว่าแล้วก็หัวเราะเยาะเสียงแหลม

3
มูซาชิอดเคืองไม่ได้ ที่มันเหมือนกับว่าอุตส่าห์ดั้นด้นขึ้นเขาลงห้วยมาเพื่อให้นางเมียชาวนาช่างวตีเหล็กหัวเราะเยาะ
ขึ้นชื่อว่าเมีย ไม่ว่าบ้านไหนเรือนไรต่างสำคัญผิดกันคิดว่าผัวตัวเป็นคนสำคัญกันทั้งนั้น แต่คงไม่มีใครที่จะน่ากลัวเท่านางเมียคนนี้ ที่หลงใหลได้ปลื้มคิดว่าผัวตนเก่งกล้าสามารถที่สุดในปฐพี
มูซาชิไม่คิดที่จะประคารมด้วย
“อ้อ ไม่อยู่หรอกรึ น่าเสียดาย ไปถึงไหนกันล่ะ”
“ไปบ้านท่านอารากิดะ”
“ท่านอารากิดะน่ะใครรึ”
“อะไรกัน มาถึงอิเซะแล้วบอกได้ยังไงว่าไม่รู้จักท่านอารากิดะ”
นางเมียหัวเราะเยาะอีก
ทารกดูดนมจนอิ่มแล้วทำท่าจะหลับ นางจึงเริ่มร้องเพลงกล่อมเด็กของท้องถิ่น ราวกับลืมว่ามีผู้มาเยือนอยู่ห้องดิน
หลับเสียเถิดลูกน้อย ยามหลับเจ้าน่ารักนักหนา
ยามตื่นเจ้าช่างซนจนระอา แม่ต้องมาร้องไห้ไปด้วยกัน
ช่วยไม่ได้...ไม่ได้พบก็ช่าง ไม่มีอะไรต้องกังวลเพราะตั้งใจมาเองไม่ได้มาตามคำขอของใคร
มูซาชิไม่คิดอะไรมาก อย่างน้อยก็ได้เห็นเตาตีเหล็กกับเคียวโซ่ของจริง และอาจได้ข้อเท็จจริงอะไรกลับไปบ้างถ้าทำใจให้คุยกับนางเมียดี ๆ
“เคียวโซ่ที่แขวนอยู่ตรงนั้น เป็นของท่านไบเค็นรึ”
มูซาชิคิดว่าการได้เห็นและจับต้องอาวุธเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาซึ่งจะมีประโยชน์ในวันข้างหน้า จึงลองเอ่ยปากขอจับเคียวโซ่ นางเมียกำลังเคลิ้ม ๆ ไปกับลูกที่หลับไประหว่างฟังเพลงกล่อม พยักหน้านิด ๆ
“หยิบมาดูได้นะ”
มูซาชิย้ำถามให้แน่ใจก่อนยื่นมือไปปลดเคี่ยวโซ่ชุดหนึ่งลงมาจากตาขอที่ติดอยู่กับผนังห้อง และพิจารณาดูอย่างละเอียด
“เคียวโซ่ที่ตอนนี้นิยมใช้กัน ของจริงเป็นอย่างนี้นี่เอง”
อาวุธในมือมูซาชิเป็นท่อนยาวพอเหน็บเอวได้ ปลายด้ามด้านหนึ่งติดวงแหวนสำหรับคล้องสายโซ่ที่ปลายมีตุ้มเหล็กถ่วงน้ำหนักติดอยู่ ขนาดที่ทำให้กะโหลกคนแตกได้ถ้าถูกเหวี่ยงเข้าใส่ด้วยกำลังแรง
“อ้อ ตัวเคียวง้างออกมาจากตรงนี้เอง”
ด้านข้างของท่อนโลหะถูกเซาะเป็นร่อง มองลงไปเห็นสันเคียวโลหะสะท้อนแสงเป็นเงาวับ และเมื่อใช้เล็บดึงออกมาก็ได้เห็นตัวเคียวคมกริบที่จะฟันทีเดียวคอคนขาดกระเด็น
“อืม...ใช้อย่างนี้ละมัง”
มูซาชิจับด้ามเดียวด้วยมือซ้าย มือขวาจับลูกตุ้มเหล็กของสายโซ่เอาไว้ ยืนตั้งท่าคิดวาดภาพว่ามีคู่ต่อสู้ยืนอยู่ตรงนั้น
นางเมียผงกหัวจากหมอน จ้องเขม็งมาที่มูซาชิในทันใด
“จับอย่างนั้นได้ยังไง ไม่เข้าท่า”
นางเมียเก็บเต้านมเข้าที่พลางเดินลงมาที่ห้องดิน
“จับเคียวโซ่ท่านี้ เป็นต้องโดนคนถือดาบฟันยับก่อนแน่ จะสู่ด้วยเคียวโซ่ต้องตั้งท่าอย่างนี้”
นางเมียกระชากเคียวโซ่ไปจากมือมูซาชิและตั้งท่าจับเคียวโซ่เตรียมสู้ให้ดู
“โอ๊ะ”
มูซาชิร้องออกมาดัง ๆ แล้วเบิกตาโตจ้องมองไปอย่างไม่รู้ตัว
นางเมียชาวนาช่างตีเหล็กแม่ลูกอ่อนที่นอนให้นมลูกน้อยที่ดูแล้วไม่ผิดอะไรกับกับแม่วัวนมคัด กลายเป็นคนละคนทันทีที่จับเคียวโซ่ตั้งท่าเตรียมสู้
ร่างที่เห็นเด่นสง่าอยู่ตรงหน้านั้น งดงามได้สัดส่วนกับอาวุธในมือราวกับเทพธิดาแห่งสงคราม
ตัวอักษรที่สลักไว้ด้านบนใกล้สันเคียวที่วาววับเป็นสีออกประกายเงิน อ่านได้ว่า “สำนักชิชิโด ยาเองากิ”


กำลังโหลดความคิดเห็น