xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน แค้นที่ต้องชำระ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


มูซาชิคิดอยู่อย่างเดียวคือ...จะต้องหาโอกาสเข้าใกล้เซกิชูไซเจ้าสำนักผู้เลื่องชื่อลือไกลและประดาบกันให้ได้
ความใฝ่ฝันอันสูงสุดของนักดาบหนุ่มผู้นี้คือการสยบปรมาจารย์วิชาดาบผู้เปรียบเสมือนมังกรเฒ่าเรืองฤทธิ์ ให้ต้องคุกเข่าอยู่ใต้คมดาบ เพิ่มดาวประดับดวงใหญ่ไว้บนมงกุฎผู้พิชิตแห่งตน

ให้เขาเล่าลือกันว่า---มูซาชิมาถึงและจากไปหลังทิ้งรอยอันควรจารึกไว้บนแผ่นดินนี้

มูซาชินั่งนิ่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ไม่ใครรู้เลยว่าไฟแห่งความทะเยอทะยานหาญกล้ากำลังปะทุและลุกโชนจนแทบจะกลายเป็นควันพลุ่งออกมาทุกขุมขน

นักรบผู้เป็นแขกในวงร่ำสุรานั่งนิ่ง ตะเกียงได้เชื้อลุกโชนขึ้นเป็นเปลวไฟดำสนิทเหมือนสีหมึก เสียงกบต้นฤดูร้องแว่วมากับสายลมเป็นครั้งคราว

โชดะกับเดบูจิยิ้มให้กันเมื่อได้ยินคำตอบ ของมูซาชิ

“...ความรู้สึกก็คือความรู้สึก อธิบายอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น แต่ถ้าท่านอยากรู้จริง ๆ ก็คงต้องแสดงให้ดูด้วยการประดาบกัน”

แม้จะพูดด้วยเสียงราบเรียบแต่ก็เป็นคำท้าทายที่ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านั้น โชดะกับเดบูจิผู้มีอายุมากกว่าอีกสองคนในกลุ่มศิษย์เอก จับเจตจำนงที่แฝงอยู่น้ำเสียงของมูซาชิได้ในฉับพลัน

และยิ้มที่ให้กันนั้นเหมือนจะแทนคำพูดที่ว่า...ไม่รู้อะไรแล้วอย่าพูดดีกว่าเจ้านักดาบอ่อนหัด

เมื่อได้ร่ำสุราก็ยิ่งคุยกันสนุก เริ่มด้วยเรื่องดาบสืบเนื่องไปถึงปรัชญาของนิกายเซ็น ตามมาด้วยข่าวลือจากแว่นแคว้นอื่น และที่ขาดไม่ได้ในวงสุราก็คือเรื่องสงครามที่เซกิงาฮาระ โชดะกับเดบูจิและมูราตะไปรบกันมาอย่างโชกโชนและมีเรื่องเล่าไม่รู้จบ เผอิญฝ่ายเจ้าภาพกับมูซาชิรบอยู่กองทัพฝ่ายตรงข้ามกัน จึงได้แต่นั่งฟังไม่อาจร่วมสนุกด้วยได้

เวลายิ่งผ่านไป มูซาชิก็ยิ่งสิ้นหวังที่จะได้พบกับเจ้าสำนัก

พลาดโอกาสที่จะได้พบเซกิชูไซเป็นครั้งที่สองแล้วหรือนี่

“เรากินข้าวกันเสียทีดีไหม”

เจ้าภาพคนหนึ่งชวนขึ้น คนรับใช้ได้ยินก็เข้ามาเก็บสุราออกไปและนำข้าวสาลีหุงกับน้ำแกงเข้ามาให้
ระหว่างกิน มูซาชิก็ยังไม่หยุดคิด

ทำยังไงดี ทำยังไงถึงจะได้กับเซกิชูไซ
นักดาบหนุ่มคิดแล้วคิดอีก ในที่สุด...
เมื่อขอพบอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ เห็นทีจะต้องใช้กลอุบายเสียแล้ว

อย่างแรกที่คิดได้ก็คือหาเรื่องให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธจะได้แสดงตัวออกมา แต่แล้วก็พบว่าการทำให้คนโกรธขณะที่ต้องสงวนท่าทีให้สงบเอาไว้นั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด

นักดาบหนุ่มลองถกเถียงด้วยคำพูดแรง ๆ บ้าง ทำกิริยาที่ดูล่วงเกินเสียมารยาทบ้าง แต่โชดะกับเดบูจิก็หัวเราะไม่ถือสาอะไร ไม่มีใครในวงสุราลุกขึ้นมาโกรธเกรี้ยวมีปากมีเสียงด้วย

มูซาชิร้อนรนกระวนกระวายขึ้นทุกที ในเมื่อถูกฝ่ายเจ้าภาพจับความรู้สึกได้จนทะลุปรุโปร่งอย่างนี้แล้ว จะให้กลับไปเฉย ๆ คงไม่ได้

พอดื่มชาหลังอาหารเสร็จและงานเลี้ยงเลิกรา ต่างคนต่างก็ผ่อนคลายอิริยาบถกันตามสบาย บ้างนั่งชันเข่า บ้างนั่งขัดสมาธิตามใจชอบ มีแต่มูซาชิที่นั่งพิงเสาอยู่ตามเดิมไม่พูดไม่จากับใคร จิตใจยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดิม...

ไม่ได้คิดว่าต้องชนะ อาจตายคาคมดาบก็ได้
แต่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ถ้าออกจากปราสาทนี้ไปโดยไม่ได้ประลองฝีมือกับเซกิชูไซ

“เอ๊ะ”

มูราตะอุทานเสียงดัง ลุกขึ้นไปที่ระเบียงและมองฝ่าความมืดออกไปข้างนอก

“เจ้าทาโรมันเห่า เสียงแปลกพิกล หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ทาโรคือชื่อของหมาดำตัวใหญ่ที่มีเรื่องกับโจทาโร

เสียงเห่าของมันดังโหยหวนมาจากทางรอบนอกของปราสาท สะท้อนก้องเข้าไปในป่ารอบด้านเหมือนไม่ใช่เสียงหมาธรรมดา


2

เสียงหมาเห่าหอนผิดปกติยังดังโหยหวนไม่หยุด

เดบูจิอดรนทนไม่ได้จึงบอกกับแขกของตนว่า

“เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ ข้าขอตัวไปดูก่อน เชิญพักผ่อนตามสบายนะท่านมูซาชิ”

พอเดบูจิลุก มูราตะกับคิมูระก็ลุกด้วย

“ขอโทษนะท่าน”

แล้วเดินตามกันออกไป

เสียงหมาเห่าถี่ขึ้นเหมือนเร่งให้เจ้าของรีบมาช่วยโดยด่วน

ยิ่งนักดาบชั้นครูสามคนหายออกไปจากห้องใหญ่ เสียงหมาเห่ายิ่งดูเหมือนจะชัดเจนและเร่งร้อนยิ่งขึ้นเป็นหลายเท่า แสงตะเกียงก็ดูวอมแวมเป็นหลืบเงาน่าหวาดระแวง

การที่หมาเฝ้าปราสาทเห่าอย่างผิดปกติเช่นนี้ เป็นสัญญาณแจ้งว่าได้เกิดเหตุมิดีมิร้ายขึ้นในปราสาท แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ในแว่นแคว้นต่าง ๆ กำลังอยู่ในความสงบสันติก็จริง แต่ก็ไม่มีใครนอนใจได้ว่าแว่นแคว้นใกล้เคียงจะก่อเหตุอะไรขึ้นเมื่อไร อาจมีใครที่ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงเข้ามาฝากเนื้อฝากตัวในปราสาท เพื่อหวังไต่เต้าขึ้นที่สูงก็เป็นได้ อีกทั้งพวกสายลับนินจาก็ยังชุกชุมไปทุกหย่อมหญ้า

“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

โชดะที่เหลือเป็นเจ้าภาพรับแขกอยู่คนเดียวพึมพำด้วยด้วยความกังวล มองเปลวไฟตะเกียงที่ริบหรี่เจียนจะดับ พลางเงี่ยหูฟังเสียงหมาเห่าที่เริ่มเบาลงตามลำดับ จนในที่สุดก็ร้อง...เอ๋ง...ขึ้นมาทีเดียวแล้วขาดเสียงเงียบหายไป

“โอ๊ะ” โชดะร้องและมองหน้ามูซาชิซึ่งร้องออกมาเบา ๆ และตบเข่าบอกว่า “ตาย”

“ทาโร ถูกฆ่า” ทั้งสองเข้าใจตรงกัน โชดะทนนิ่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป “เป็นไปได้ยังไง ไม่น่าเชื่อ”

ว่าแล้วก็ผลุดลุกขึ้นเดินนำมูซาชิออกไปที่หน้าเรือน

มูซาชินึกอะไรขึ้นมาได้จึงเรียกเอาไว้ และถามพนักงานประจำห้องด้านหน้าของชินอินโดว่า

“โจทาโร เด็กที่มากับข้าอยู่ในห้องพักที่นี่หรือเปล่า”

เจ้าหน้าที่เข้าไปหาแล้วออกมาบอกว่า

“ไม่อยู่แล้วขอรับ”

“เอ๊ะ” มูซาชิหน้าตื่นหันไปบอกโชดะว่า “ข้าชักสังหรณ์ใจเสียแล้ว ช่วยพาข้าไปยังที่เกิดเหตุหน่อยได้ไหม”

“ได้ซีท่าน” ว่าแล้วก็ออกวิ่งนำไปทางโรงฝึกวิชาดาบ ตรงไปที่คบไฟสี่ห้าคบที่เกาะกลุ่มกันอยู่ใกล้กับบริเวณที่นักดาบใช้เป็นที่ชุมนุมกัน พบกับมูราตะกับเดบูจิที่ล่วงหน้ามาก่อนกับคนงานในปราสาท คนเฝ้าประตู และพวกนักรบฝึกหัดที่มาพักแรมอยู่กำลังโจษขานกันเสียงขรม

“เฮ้ย”

มูซาชิอุทานเสียงดังด้วยความตกใจและใจหายวาบเมื่อมองลอดกลุ่มคนเข้าไปเห็น โจทาโรในสภาพโชกเลือดเหมือนปีศาจตัวน้อย ยืนอยู่กลางวงแสงคบไฟที่ส่องสว่าง...โจทาโรจริง ๆ ด้วย

โจทาโรยืนถือดาบไม้จรดปลายไว้กับพื้น หายใจหอบจนตัวโยน กัดฟันแน่น จ้องเขม็งสู้สายตาผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ หมาดำตัวใหญ่ที่ชื่อทาโรนอนตะแคงแยกเขี้ยวอยู่ข้าง ๆ ในสภาพยับเยินน่าเวทนา

“... ... ...”

ทุกคนเงียบและมองไปที่ร่างของทาโร

ดวงตาของมันเบิกโพลงสะท้อนแสงคบไฟ และเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากปากทุกคนจึงรู้ว่าขาดใจตายแล้ว

3

ทุกคนในที่นั้นยืนตะลึงกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดคนหนึ่งพึมพำขึ้นคล้ายครางด้วยความรันทดว่า

“โธ่เอ๋ย ทาโรที่รักของท่าน”

“เอ็ง ไอ้ตัวการ” ซามูไรคนหนึ่งตวาดลั่นพร้อมกับปราดเข้าไปที่โจทาโรซึ่งยังยืนนิ่งขึงอยู่

“เอ็งใช่ไหมที่ตีทาโรจนตาย”

ว่าแล้วก็กำหมัดชกเข้าที่แก้มหนุ่มน้อยเต็มแรงกะให้หน้าหงาย โจทาโรหลบทันแล้วยักไหล่ตะโกนใส่หน้าว่า

“เออ ข้านี่แหละ”

“ฆ่ามันทำไม”

“ฆ่าเพราะมีเหตุผล”

“เหตุผลอะไร”

“ก็ฆ่าล้างแค้นน่ะซี”

“ว่าไงนะ”

ไม่ใช่ซามูไรที่กำลังเอาเรื่องโจทาโรอยู่เท่านั้นที่นึกไม่ถึง คนอื่น ๆ ต่างทำหน้าเหลือเชื่อไปตาม ๆ กัน

“ล้างแค้นให้ใคร”

“ข้าล้างแค้นให้ตัวเอง เมื่อวานซืน ข้ามาทำธุระให้ครูของข้าที่นี่ แล้วไอ้หมาตัวนี้มันทั้งกัดทั้งข่วนหน้าข้าจนเป็นแผลไปทั่วตัวเห็นไหม คืนนี้ข้าจึงมาล้างแค้น เห็นมันนอนอยู่ใต้ถุนจึงเรียกมันออกมาสู้กันตัวต่อตัว ข้าแสดงตัวให้มันรู้ว่าเป็นใครแล้วจึงสู้ และข้าเป็นฝ่ายชนะ”

โจทาโรชี้แจงหน้าดำหน้าแดงยืนกรานว่าเป็นการต่อสู้อย่างเท่าเทียมกันไม่ได้ขี้ขลาดทำร้ายแต่ฝ่ายเดียว

แต่ปัญหาสำคัญที่เป็นมูลเหตุให้ซามูไรผู้นี้และทุกคนในที่นั้นกล่าวโทษโจทาโรอย่างรุนแรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าเด็กกับหมาจะต่อสู้กันยังไง แต่อยู่ที่ทาโรซึ่งถูกฆ่าตายนั้นเป็นหมาเฝ้าปราสาท ที่เจ้าของคือมูเนโนริซึ่งตอนนี้ไปประจำอยู่ที่เอโดะรักเอ็นดูเป็นที่สุด ทาโรเป็นหมาคิชูพันธุ์แท้ที่มีประวัติเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นทะเบียนไว้ว่าเป็นลูกของไรโกะแม่หมาสุดรักของ ผู้ครองแคว้นคิชู ซึ่งท่านเป็นคนมอบให้มูเนโนริกับมือ การที่ทาโรถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนกันอย่างละเอียด และคนที่จะต้องรับผิดชอบหนักที่สุดก็คือซามูไรสองคนที่มีหน้าที่เลี้ยงดูหมาแสนรักของลูกชายท่านเจ้าของปราสาทตัวนี้

และหนึ่งในสองคนนั้นก็คือซามูไรคนที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่กับโจทาโรอยู่ในขณะนี้

“หยุด”

ยังไม่ทันขาดคำซามูไรเจ้าโทสะก็ฟาดกำปั้นลงมาที่หัวโจทาโรด้วยความโกรธสุดขีด คราวนี้โจทาโรหลบไม่พ้นจึงถูกกำปั้นเข้าที่หูอย่างจัง หนุ่มน้อยยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมเอาไว้ ตาวาวด้วยความโกรธขึ้นสมองจนผมแทบจำตั้งชัน

“กล้าดียังไง”

“เอ็งตีหมาของนายข้าจนตาย ข้าก็จะตีเอ็งให้ตายเหมือนหมา”

“ข้าตีหมาตายเพื่อล้างแค้นที่มันมากัดข้าและมันก็หายกันไปแล้ว ท่านจะมาล้างแค้นให้หมาอีกทำไม ล้างแค้นแล้วล้างแค้นอีกมันจะดีหรือ เป็นผู้ใหญ่แล้วเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรือไง”

ทางด้านโจทาโร เจ้าหนุ่มน้อยคิดว่าตนได้สู้โดยมีความตายเป็นเดิมพัน สำหรับซามูไรการมีบาดแผลบนใบหน้าคือความอับอายอย่างที่สุด และไม่ว่าซามูไรคนเลี้ยงเจ้าหมาทาโรจะโกรธเกรี้ยวหรือกล่าวหาเพียงไร เจ้าหนุ่มน้อยก็ไม่หวั่นแต่กลับฮึดสู้

“ไม่ต้องพูดมาก เด็กไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ต้องรู้แล้วว่าคนกับหมาต่างกันยังไง คนที่ไหนจะมาแก้แค้นเอากับหมา ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่ จะจัดการให้ตายตามกันไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ซามูไรคนเลี้ยงหมาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขยุ้มคอเสื้อโจทาโรเอาไว้แน่นและกวาดตามองผู้คนโดยรอบเป็นครั้งแรกเพื่อขอความเห็นพ้อง และเป็นการแสดงตัวว่าตนจะเป็นคนลงมือตามหน้าที่ ผู้คนพยักหน้ารับเงียบ ๆ ศิษย์เอกสำนักดาบทั้งสี่ทำหน้าเครียดไม่พูดจาว่ากระไร

---มูซาชิก็ยืนมองอยู่เงียบ ๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น