นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ยินดีที่ได้รู้จักท่านมูซาชิแห่งมิยาโมโตะ”
พระร่างสูงผิวขาวหมดจด เดินวางท่าสง่างามเข้ามาใกล้ และหยุดโค้งคำนับอย่างดงามตามประเพณี
ทำเอานักดาบหนุ่มที่ยังนิ่งขึงอยู่ในอารมณ์ที่เพิ่งจะตวัดดาบสังหารศัตรูคนสุดท้าย สะดุ้งกลับมาเป็นตัวของตัวเองและรีบลดปลายดาบอาบเลือดลงต่ำ
“ข้าคืออินชุนแห่งสำนักทวนโฮโซอิน”
“ท่านนี่เอง เจ้าสำนักทวนผู้เกรียงไกร”
“เมื่อวันก่อน ท่านอุตส่าห์เยือนถึงสำนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อยู่ก็เลยคลาดกัน ข้า ในฐานะผู้เป็นครูรู้สึกอับอายนักที่ศิษย์ชื่ออากอนต้อนรับท่านด้วยท่านด้วยกิริยาอันมิบังควร”
“... ... ...”
นี่จะมาไม้ไหนกันอีกล่ะ
มูซาชิอยากจะเอาน้ำล้างหูแล้วขอฟังใหม่อีกครั้ง แต่ก็ได้แต่นิ่งฟังอยู่เป็นครู่ เพื่อเรียบเรียงความสับสนในสมอง และหาคำถ้อยคำที่เหมาะสมมาตอบรับคำทักทายของอีกฝ่ายด้วยความสุภาพเสมอกัน
ความคิดสับสนที่ว่านั้นก็คือ ทำไมขบวนนักทวนสำนักโฮโซอินที่น่าจะพุ่งคมทวนมายังตน จึงกลับหันไปสังหารหมู่กลุ่มซามูไรไร้นายที่ไม่ได้ทันระวังตัวเพราะเชื่อว่าเป็นพวกเดียวกัน
มูซาชิไม่เข้าใจและจนบัดนี้ก็ยังงงงันด้วยความไม่เชื่อว่าตนรอดชีวิตมาได้อย่างไร
“มาตรงนี้ มาล้างคราบเลือดออกให้หมด และนั่งพักเสียหน่อยก่อน”
อินชุนเดินนำนักดาบหนุ่มที่ยังไม่หายงงงัน ไปที่กองไฟที่สุมเอาไว้
โจทะโรเดินตามไปติด ๆ
ตรงนั้นพระนักทวนนั่งบ้างยืนบ้าง สาละวนอยู่กับการใช้ผ้าสาลูนาราที่ฉีกออกจากม้วนซึ่งเตรียมมาด้วย เช็ดคราบเลือดซามูไรไร้นายออกจากคมทวนของตน เมื่อมูซาชิกับอินชุนเดินตามกันมานั่งเคียงกันหน้ากองไฟก็ไม่มีใครทำท่าประหลาดใจสงสัยเลยสักนิด ซ้ำเมื่อเสร็จธุระแล้วยังมานั่งล้อมวงคุยด้วย
“ดูนั่น”
พระนักทวนคนหนึ่งในกลุ่มชี้ไปที่ลานกว้าง
“อีกาได้กลิ่นเลือด ส่งเสียงบอกกันว่าตรงนี้มีศพมากมาย เดี๋ยวก็ได้แห่กันมาเต็มทุ่ง”
“แต่ยังไม่เห็นลงมากันเลยนะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวซี พอพวกเราคล้อยหลังละก็ เป็นต้องลงมารุมแย่งทึ้งศพกันแน่
พระนักทวนคุยกันเองอย่างสนุก
มูซาชิดูลาดเลาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าถ้าไม่ถามขึ้นเองก็คงจะไม่มีใครพูดขึ้นให้หายสงสัย จึงหันไปทางอินชุนและกล่าวขึ้นว่า
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อต่อสู้กับพวกท่านโดยคิดว่าเป็นศัตรู และทำใจไว้แล้วว่าหากข้าตายพวกท่านก็จะต้องไม่รอดกลับไปแม้แต่คนเดียว แต่พอเริ่มต่อสู้กันจริง ๆ ท่านกลับมาเข้าข้างข้า หันคมทวนเข้าใส่เหล่าซามูไรไร้นายและฆ่าหมู่ไม่มีใครรอดชีวิตไปได้ ข้าสงสัยยิ่งนัก คิดเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ จึงใคร่ถามท่านให้หายแคลงใจ”
อินชุนหัวเราะชอบใจ
“ไม่นะ เราไม่ได้เข้าข้างเจ้า แต่ภารกิจที่เราต้องออกแรงออกกำลังกันมากหน่อยในวันนี้ คือการทำความสะอาดนาราครั้งใหญ่”
“หมายความว่ายังไง”
อินชุนไม่ตอบแต่ชี้มือไปไกลทางฟากโน้น
“เรื่องนี้ข้าว่าคอยให้ท่านอาจารย์นิกคันที่รู้จักท่านดีเป็นคนอธิบายให้ฟังดีกว่า เห็นกลุ่มคนอยู่ลิบ ๆ ประมาณเมล็ดถั่วที่ชายทุ่งนั่นไหม นั่นจะต้องเป็นขบวนท่านนิกคันแน่
2
ขณะเดียวกัน ไกลออกไปที่ชายทุ่ง คนจูงม้าเดินจูงม้าพลางคุยกันไปกับพระนิกคัน
“หลวงตาเดินเร็วจัง”
“เจ้าเดินช้าเองต่างหาก”
“เดินเร็วกว่าม้าอีก”
“เป็นธรรมดา”
พระนิกคันนั้นแม้จะหลังโกงและเดินเหินคล่องแคล่วว่องไวนัก เขาเตรียมม้ามาให้นั่งก็ไม่เอา ชวนคนจูงม้าเดินคุยกันไปขบวนของพระนิกคันที่มีเจ้าหน้าที่ห้าคนบนหลังม้าร่วมมาด้วย มุ่งหน้าไปทางควันไฟที่ก่อขึ้นเป็นเครื่องหมายข้างหนองน้ำเชิงเนินฮันเนียซากะ
ส่วนทางด้านนี้พอขบวนใกล้เข้ามาจนเห็นได้ว่าใครเป็นใครก็กระซิบบอกกันว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์มาแล้ว”
และลุกขึ้นตั้งแถวต้อนรับ ราวกับกำลังทำพิธีสำคัญของวัด
“เก็บกวาดเรียบร้อยไหม”
พระนิกคันเอ่ยขึ้นกับเหล่าพระนักทวนเป็นคำแรก
“เรียบร้อยตามที่ท่านอาจารย์สั่งขอรับ”
อินชุนรายงานอย่างเป็นพิธีการ แล้วหันไปทางเจ้าหน้าที่บนหลังม้า
“ขอบคุณทุกท่านที่กรุณามาตรวจสอบ”
เจ้าหน้าที่กระโดดลงจากหลังม้า คนที่เป็นหัวหน้าโบกไม้โบกมือบอกว่า
“ขอบคุณพวกข้าทำไมกัน ท่านต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ควรได้รับคำขอบคุณยิ่งนัก ไหนขอดูทีรึ”
ว่าแล้วก็กวาดสายตาไปยังศพซามูไรไร้นายที่นอนตายเกยก่ายกันอยู่สิบกว่าคนตรงนั้น และจดบันทึกหยุกหยิกพอเป็นพิธี
“ศพพวกนี้ทางเราจะส่งคนมาจัดการเอง เชิญท่านกลับได้ตามสบายไม่ต้องห่วง”
ชี้แจงเสร็จเจ้าหน้าที่ทั้งห้าพากันขึ้นมาควบกลับไปทางชายทุ่งตามเดิม
“พวกเจ้าก็กลับกันได้แล้ว”
พอสิ้นเสียงสั่งของพระนิกคัน พระนักทวนก็ก้มศีรษะทำความเคารพและออกเดินตามกันกลับสำนัก ส่วนอินชุนเองก็ก้มศีรษะให้พระนิกคันกับมูซาชิและเดินตามขบวนไปเงียบ ๆ
พอเห็นคนไปกันเกือบหมด
อีกาที่ดูต้นทางอยู่ก็ส่งเสียงเรียกพรรคพวกดัง กา กา กา รับกันไปทอด ๆ
ไม่นานกาฝูงใหญ่ก็ถาโถมลงมาที่กองศพแย่งชิงเหยื่อกันเป็นพัลวัน ตัวไหนแย่งไปได้ก็ตีปีกและจิกทึ้งพลางส่งเสียงประสานกันขรมถมเถ
“หนวกหูชะมัดเลย”
พระนิกคันบ่นพลางเดินมาที่มูซาชิ และทักอย่างคุ้นเคย
“ขอโทษนะ วันนั้นอาตมาอาจพูดอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”
“มิได้ขอรับ วันนั้น...”
มูซาชิลนลานรีบคุกเข่าลงกับพื้นดิน จรดมือและก้มศีรษะต่ำ
“ลุกขึ้นเถิด มาคำนับอะไรกันกลางทุ่งกลางนาอย่างนี้”
“ขอรับ”
มูซาชิลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
“เป็นไง ได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้บ้างไหม”
“ข้ายังไม่เข้าใจแผนการของท่าน ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังด้วยเถิด”
“ก็ได้ ความจริงมีอยู่ว่า---“
ว่าแล้วพระนิกคันก็เล่าว่า
“พวกเจ้าหน้าที่ที่กลับกันไปนั้น เป็นลูกน้องของ นางายาซุ ที่มารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบเรียบ ร้อยของนาราเมื่อไม่นานมานี้ โอกูโบะเพิ่งมาใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับประชาชนพลเมืองและท้องถิ่น พวกซามูไรไร้นายนิสัยชั่วก็เลยป่วนเมือง ก่อคดีไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งปลิ้นปล้อนหลอกลวงผู้คนที่สัญจรไปมา เลวขึ้นไปอีกหน่อยก็โจรกรรมปล้นฆ่า เล่นพนันโกงกันทะเลาะวิวาทเดือดร้อนชาวบ้านร้านถิ่น ฉุดคร่าลูกสาวบ้านนั้นนางเมียบ้านนี้ บุกบ้านแม่ม่ายขโมยทรัพย์สินเงินทองและทำร้าย เจ้าหน้าที่ต้องออกปราบปรามกันไม่มีว่างเว้นแต่ก็ไม่สงบลงได้ ความจริงเจ้าหน้าที่ก็รู้อยู่ว่ามีหัวโจกอยู่ราวสิบสี่สิบห้าคน อย่างยามาโซเอะ ดันปาจิ กับยาซูกาวะ ยาซูเบ”
“อ้อ”
“อาตมาได้ยินมาว่าเจ้าดันปาจิกับยาซูกาวะโกรธแค้นที่เจ้าไม่ยอมทำตามแผนชั่วที่มันมาชักชวนให้ร่วมมือ แต่ก็ไม่กล้าสู้เพราะรู้ฝีมือเจ้าดี จึงวางแผนขอยืมมือสำนักโฮโฮอินแก้แค้นแทน และเอาแผนนี้คบคิดกันกับพวกพ้อง และตกลงกันเขียนคำว่าร้ายโฮโซอินลงชื่อมิยาโมโตะไปติดทั่วเมือง ด้วยความมั่นใจว่าข่าวนี้จะต้องมาถึงหูอาตมา---พวกมันคงคิดว่าอาตมาตาบอดละมัง”
ได้ยินคำนี้แล้วนักดาบหนุ่มยิ้มออกมาในดวงตา
“อาตมาตรึกตรองดูแล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะกวาดล้างนาราให้สะอาดเสียที อินชุนเห็นด้วยและวางแผนจัดการอย่างที่เห็น ตอนนี้จึงมีความสุขกันทุกฝ่าย ทั้งพระนักทวนสำนักเรา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และฝูงกา ฮะ ฮะ ฮะ”
3
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า---
ตอนนี้จึงความสุขกันทุกฝ่าย ทั้งพระนักทวนสำนักเรา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ฝูงกา กับอีกคนหนึ่ง
และคนนั้นก็คือโจทาโร ที่นั่งฟังหลวงตานิกคันอยู่ข้าง ๆ ครูของตน
โจทะโรสิ้นความสงสัยในตัวมูซาชิและไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป จิตใจของเด็กน้อยจึงเริงร่า ลุกขึ้นวิ่งกางแขนหมุนตัวไปราวนกน้อยกระพือปีกบิน พลางร้องเพลงเสียงใส
กวาดบ้าน กวาดเมือง ล้างบางครั้งใหญ่
พอพระนิกคันกับมูซาชิหันไปมอง ก็เห็นโจทาโรใส่หน้ากากโนอันนั้น ชักดาบไม้จากเอวออกมาร่ายรำและชี้ไปที่กองศพ กราดไปที่ฝูงกาเป็นจังหวะ
กาเอ๋ยกา
ล้างบางครั้งใหญ่ไม่ได้มีแต่ที่นารา
เวลาจำเป็นเขาก็ต้องล้างบางกันทั้งนั้นแหละกา
ธรรมดาของธรรมชาติ
ล้างสิ่งไม่ดีเก่าเต็มทีออกไปเพื่อสิ่งใหม่ ๆ จะได้เกิดขึ้นมา
ดั่งตาไม้ดอกตูมที่เบ่งบานเมื่อฤดูกาลใหม่มา
ใบไม้ร่วงเผาทิ้ง
เผาไร่นาที่ไร้ผลและพลิกดิน
บางครั้งเราต้องการหิมะตกหนัก
บางครั้งเราก็ต้องล้างบาง
นะ...กา เจ้าจะได้กินเลี้ยงครั้งใหญ่
กินแกงใส่ลูกตามนุษย์
ดื่มเหล้าสาเกแดงข้น
อย่ากินดื่มให้เมามายมากไป จะบินตกได้นะเจ้ากา
“เจ้าหนูมานี่ซิ”
พระนิกคันร้องเรียก
“ขอรับ” โจทาโรหยุดร้องรำและหันมามอง
“หยุดเต้นแร้งเต้นกาได้แล้ว เก็บก้อนหินมาให้อาตมาหน่อยเถอะ”
“ก้อนหินอย่างนี้หรือขอรับ”
“ใช่ เอามาอีกแยะ ๆ”
“ได้ขอรับ ได้”
พระนิกคันหยิบก้อนหินที่โจทาโรเก็บมาให้ขึ้นมาเขียนคำสวดมนต์
นันเมียว โฮเร็น เงเคียว
ลงบนก้อนหินทุกก้อนส่งให้โจทาโรและบอกว่า
“เจ้าจงเอาก้อนหินเหล่านี้ไปโปรยให้แก่ศพทั้งหลายด้วยเถิด”
โจทาโรรับก้อนหินที่จารึกบทสวดเอาไปโปรยที่กองศพทั่วสี่ทิศ
ระหว่างนั้นพระนิกคันนั่งลงพนมมือสวด นันเมียว โฮเร็น เงเคียว อุทิศให้แก่ผู้ตาย
“เอาละ เสร็จธุระแล้ว อาตมาจะกลับนารา ส่วนเจ้ากับเด็กน้อยก็ออกเดินทางกันได้แล้ว”
พระนิกคันพูดจบก็ลุกขึ้นออกเดินตัวปลิวราวกับลมพัดไปทางนารา โดยที่นักดาบหนุ่มไม่ทันจะกล่าวคำอำลาหรือนัดหมายว่าจะพบกันอีกได้เมื่อไร---มูซาชิมองจ้องตามหลังพระนิกคันไป และอยู่ ๆ ก็ออกวิ่งกวดไปสุดฝีเท้า
“ท่านตาขอรับ ท่านลืมอะไรอย่างหนึ่ง” มูซาชิพูดพลางตบมือลงไปที่ดาบ
“อาตมาลืมอะไรรึ” หลวงตานิกคันชะงักเท้า
“ท่านยังไม่ได้สอนวิชาอะไรให้แก่ข้าเลย ครั้งนี้ข้ามีโอกาสวิเศษนักที่ได้พบกับท่านิกคัน และไม่รู้ว่าจะได้พบอีกครั้งเมื่อไร ขอท่านได้โปรดสอนวิชาให้ข้าด้วยเถิด”
พระนิกคันอ้าปากที่ไม่มีฟันหัวเราะเสียงแหบ
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ สิ่งที่อาตมาจะสอนเจ้าได้มีอยู่คำเดียวคือเจ้าแกร่งกล้าเกินไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าเจ้าทะนงในความแกร่งกล้าของตนอยู่ตลอดเช่นนี้ เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามสิบ ดูอย่างวันนี้เจ้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จงเอาวันนี้เป็นบทเรียน และคิดให้ดีว่าเจ้าจะนำพาชีวิตของตนไปข้างหน้าอย่างไร”
“... ... ...”
“สิ่งที่เจ้าทำวันนี้ไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่น่าชมเชย อาตมาไม่อยากตำหนิมากนักเพราะเจ้ายังอายุน้อยนัก แต่อยากบอกว่าการคิดว่าความแกร่งกล้าคือหัวใจของศาสตร์แห่งนักรบนั้น เป็นการคิดที่ผิดอย่างมหันต์ แต่ก็นั่นแหละ อาตมาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเทศนาถึงแก่นแท้ของวิชานักรบ---ใช่ เจ้าควรหาโอกาสที่จะได้เรียนรู้ถึงแนวทางการดำเนินชีวิตของนักรบอย่างท่านยากิว เซกิชูไส ท่านโคอิซุมิแห่งอิเซะผู้ที่อาตมานับถือเป็นอาจารย์ และยึดเอาวิถีชีวิตของทั้งสองท่านนั้นเป็นแบบอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าใจ”
“... ... ...”
มูซาชิก้มหน้าก้มตาฟัง และเมื่อเงยหน้าขึ้นดูในทันที่รู้สึกว่าเสียงขาดหายไป พระนิกคันก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้วและมองไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ยินดีที่ได้รู้จักท่านมูซาชิแห่งมิยาโมโตะ”
พระร่างสูงผิวขาวหมดจด เดินวางท่าสง่างามเข้ามาใกล้ และหยุดโค้งคำนับอย่างดงามตามประเพณี
ทำเอานักดาบหนุ่มที่ยังนิ่งขึงอยู่ในอารมณ์ที่เพิ่งจะตวัดดาบสังหารศัตรูคนสุดท้าย สะดุ้งกลับมาเป็นตัวของตัวเองและรีบลดปลายดาบอาบเลือดลงต่ำ
“ข้าคืออินชุนแห่งสำนักทวนโฮโซอิน”
“ท่านนี่เอง เจ้าสำนักทวนผู้เกรียงไกร”
“เมื่อวันก่อน ท่านอุตส่าห์เยือนถึงสำนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อยู่ก็เลยคลาดกัน ข้า ในฐานะผู้เป็นครูรู้สึกอับอายนักที่ศิษย์ชื่ออากอนต้อนรับท่านด้วยท่านด้วยกิริยาอันมิบังควร”
“... ... ...”
นี่จะมาไม้ไหนกันอีกล่ะ
มูซาชิอยากจะเอาน้ำล้างหูแล้วขอฟังใหม่อีกครั้ง แต่ก็ได้แต่นิ่งฟังอยู่เป็นครู่ เพื่อเรียบเรียงความสับสนในสมอง และหาคำถ้อยคำที่เหมาะสมมาตอบรับคำทักทายของอีกฝ่ายด้วยความสุภาพเสมอกัน
ความคิดสับสนที่ว่านั้นก็คือ ทำไมขบวนนักทวนสำนักโฮโซอินที่น่าจะพุ่งคมทวนมายังตน จึงกลับหันไปสังหารหมู่กลุ่มซามูไรไร้นายที่ไม่ได้ทันระวังตัวเพราะเชื่อว่าเป็นพวกเดียวกัน
มูซาชิไม่เข้าใจและจนบัดนี้ก็ยังงงงันด้วยความไม่เชื่อว่าตนรอดชีวิตมาได้อย่างไร
“มาตรงนี้ มาล้างคราบเลือดออกให้หมด และนั่งพักเสียหน่อยก่อน”
อินชุนเดินนำนักดาบหนุ่มที่ยังไม่หายงงงัน ไปที่กองไฟที่สุมเอาไว้
โจทะโรเดินตามไปติด ๆ
ตรงนั้นพระนักทวนนั่งบ้างยืนบ้าง สาละวนอยู่กับการใช้ผ้าสาลูนาราที่ฉีกออกจากม้วนซึ่งเตรียมมาด้วย เช็ดคราบเลือดซามูไรไร้นายออกจากคมทวนของตน เมื่อมูซาชิกับอินชุนเดินตามกันมานั่งเคียงกันหน้ากองไฟก็ไม่มีใครทำท่าประหลาดใจสงสัยเลยสักนิด ซ้ำเมื่อเสร็จธุระแล้วยังมานั่งล้อมวงคุยด้วย
“ดูนั่น”
พระนักทวนคนหนึ่งในกลุ่มชี้ไปที่ลานกว้าง
“อีกาได้กลิ่นเลือด ส่งเสียงบอกกันว่าตรงนี้มีศพมากมาย เดี๋ยวก็ได้แห่กันมาเต็มทุ่ง”
“แต่ยังไม่เห็นลงมากันเลยนะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวซี พอพวกเราคล้อยหลังละก็ เป็นต้องลงมารุมแย่งทึ้งศพกันแน่
พระนักทวนคุยกันเองอย่างสนุก
มูซาชิดูลาดเลาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าถ้าไม่ถามขึ้นเองก็คงจะไม่มีใครพูดขึ้นให้หายสงสัย จึงหันไปทางอินชุนและกล่าวขึ้นว่า
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อต่อสู้กับพวกท่านโดยคิดว่าเป็นศัตรู และทำใจไว้แล้วว่าหากข้าตายพวกท่านก็จะต้องไม่รอดกลับไปแม้แต่คนเดียว แต่พอเริ่มต่อสู้กันจริง ๆ ท่านกลับมาเข้าข้างข้า หันคมทวนเข้าใส่เหล่าซามูไรไร้นายและฆ่าหมู่ไม่มีใครรอดชีวิตไปได้ ข้าสงสัยยิ่งนัก คิดเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ จึงใคร่ถามท่านให้หายแคลงใจ”
อินชุนหัวเราะชอบใจ
“ไม่นะ เราไม่ได้เข้าข้างเจ้า แต่ภารกิจที่เราต้องออกแรงออกกำลังกันมากหน่อยในวันนี้ คือการทำความสะอาดนาราครั้งใหญ่”
“หมายความว่ายังไง”
อินชุนไม่ตอบแต่ชี้มือไปไกลทางฟากโน้น
“เรื่องนี้ข้าว่าคอยให้ท่านอาจารย์นิกคันที่รู้จักท่านดีเป็นคนอธิบายให้ฟังดีกว่า เห็นกลุ่มคนอยู่ลิบ ๆ ประมาณเมล็ดถั่วที่ชายทุ่งนั่นไหม นั่นจะต้องเป็นขบวนท่านนิกคันแน่
2
ขณะเดียวกัน ไกลออกไปที่ชายทุ่ง คนจูงม้าเดินจูงม้าพลางคุยกันไปกับพระนิกคัน
“หลวงตาเดินเร็วจัง”
“เจ้าเดินช้าเองต่างหาก”
“เดินเร็วกว่าม้าอีก”
“เป็นธรรมดา”
พระนิกคันนั้นแม้จะหลังโกงและเดินเหินคล่องแคล่วว่องไวนัก เขาเตรียมม้ามาให้นั่งก็ไม่เอา ชวนคนจูงม้าเดินคุยกันไปขบวนของพระนิกคันที่มีเจ้าหน้าที่ห้าคนบนหลังม้าร่วมมาด้วย มุ่งหน้าไปทางควันไฟที่ก่อขึ้นเป็นเครื่องหมายข้างหนองน้ำเชิงเนินฮันเนียซากะ
ส่วนทางด้านนี้พอขบวนใกล้เข้ามาจนเห็นได้ว่าใครเป็นใครก็กระซิบบอกกันว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์มาแล้ว”
และลุกขึ้นตั้งแถวต้อนรับ ราวกับกำลังทำพิธีสำคัญของวัด
“เก็บกวาดเรียบร้อยไหม”
พระนิกคันเอ่ยขึ้นกับเหล่าพระนักทวนเป็นคำแรก
“เรียบร้อยตามที่ท่านอาจารย์สั่งขอรับ”
อินชุนรายงานอย่างเป็นพิธีการ แล้วหันไปทางเจ้าหน้าที่บนหลังม้า
“ขอบคุณทุกท่านที่กรุณามาตรวจสอบ”
เจ้าหน้าที่กระโดดลงจากหลังม้า คนที่เป็นหัวหน้าโบกไม้โบกมือบอกว่า
“ขอบคุณพวกข้าทำไมกัน ท่านต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ควรได้รับคำขอบคุณยิ่งนัก ไหนขอดูทีรึ”
ว่าแล้วก็กวาดสายตาไปยังศพซามูไรไร้นายที่นอนตายเกยก่ายกันอยู่สิบกว่าคนตรงนั้น และจดบันทึกหยุกหยิกพอเป็นพิธี
“ศพพวกนี้ทางเราจะส่งคนมาจัดการเอง เชิญท่านกลับได้ตามสบายไม่ต้องห่วง”
ชี้แจงเสร็จเจ้าหน้าที่ทั้งห้าพากันขึ้นมาควบกลับไปทางชายทุ่งตามเดิม
“พวกเจ้าก็กลับกันได้แล้ว”
พอสิ้นเสียงสั่งของพระนิกคัน พระนักทวนก็ก้มศีรษะทำความเคารพและออกเดินตามกันกลับสำนัก ส่วนอินชุนเองก็ก้มศีรษะให้พระนิกคันกับมูซาชิและเดินตามขบวนไปเงียบ ๆ
พอเห็นคนไปกันเกือบหมด
อีกาที่ดูต้นทางอยู่ก็ส่งเสียงเรียกพรรคพวกดัง กา กา กา รับกันไปทอด ๆ
ไม่นานกาฝูงใหญ่ก็ถาโถมลงมาที่กองศพแย่งชิงเหยื่อกันเป็นพัลวัน ตัวไหนแย่งไปได้ก็ตีปีกและจิกทึ้งพลางส่งเสียงประสานกันขรมถมเถ
“หนวกหูชะมัดเลย”
พระนิกคันบ่นพลางเดินมาที่มูซาชิ และทักอย่างคุ้นเคย
“ขอโทษนะ วันนั้นอาตมาอาจพูดอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”
“มิได้ขอรับ วันนั้น...”
มูซาชิลนลานรีบคุกเข่าลงกับพื้นดิน จรดมือและก้มศีรษะต่ำ
“ลุกขึ้นเถิด มาคำนับอะไรกันกลางทุ่งกลางนาอย่างนี้”
“ขอรับ”
มูซาชิลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
“เป็นไง ได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้บ้างไหม”
“ข้ายังไม่เข้าใจแผนการของท่าน ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังด้วยเถิด”
“ก็ได้ ความจริงมีอยู่ว่า---“
ว่าแล้วพระนิกคันก็เล่าว่า
“พวกเจ้าหน้าที่ที่กลับกันไปนั้น เป็นลูกน้องของ นางายาซุ ที่มารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบเรียบ ร้อยของนาราเมื่อไม่นานมานี้ โอกูโบะเพิ่งมาใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับประชาชนพลเมืองและท้องถิ่น พวกซามูไรไร้นายนิสัยชั่วก็เลยป่วนเมือง ก่อคดีไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งปลิ้นปล้อนหลอกลวงผู้คนที่สัญจรไปมา เลวขึ้นไปอีกหน่อยก็โจรกรรมปล้นฆ่า เล่นพนันโกงกันทะเลาะวิวาทเดือดร้อนชาวบ้านร้านถิ่น ฉุดคร่าลูกสาวบ้านนั้นนางเมียบ้านนี้ บุกบ้านแม่ม่ายขโมยทรัพย์สินเงินทองและทำร้าย เจ้าหน้าที่ต้องออกปราบปรามกันไม่มีว่างเว้นแต่ก็ไม่สงบลงได้ ความจริงเจ้าหน้าที่ก็รู้อยู่ว่ามีหัวโจกอยู่ราวสิบสี่สิบห้าคน อย่างยามาโซเอะ ดันปาจิ กับยาซูกาวะ ยาซูเบ”
“อ้อ”
“อาตมาได้ยินมาว่าเจ้าดันปาจิกับยาซูกาวะโกรธแค้นที่เจ้าไม่ยอมทำตามแผนชั่วที่มันมาชักชวนให้ร่วมมือ แต่ก็ไม่กล้าสู้เพราะรู้ฝีมือเจ้าดี จึงวางแผนขอยืมมือสำนักโฮโฮอินแก้แค้นแทน และเอาแผนนี้คบคิดกันกับพวกพ้อง และตกลงกันเขียนคำว่าร้ายโฮโซอินลงชื่อมิยาโมโตะไปติดทั่วเมือง ด้วยความมั่นใจว่าข่าวนี้จะต้องมาถึงหูอาตมา---พวกมันคงคิดว่าอาตมาตาบอดละมัง”
ได้ยินคำนี้แล้วนักดาบหนุ่มยิ้มออกมาในดวงตา
“อาตมาตรึกตรองดูแล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะกวาดล้างนาราให้สะอาดเสียที อินชุนเห็นด้วยและวางแผนจัดการอย่างที่เห็น ตอนนี้จึงมีความสุขกันทุกฝ่าย ทั้งพระนักทวนสำนักเรา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และฝูงกา ฮะ ฮะ ฮะ”
3
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า---
ตอนนี้จึงความสุขกันทุกฝ่าย ทั้งพระนักทวนสำนักเรา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ฝูงกา กับอีกคนหนึ่ง
และคนนั้นก็คือโจทาโร ที่นั่งฟังหลวงตานิกคันอยู่ข้าง ๆ ครูของตน
โจทะโรสิ้นความสงสัยในตัวมูซาชิและไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป จิตใจของเด็กน้อยจึงเริงร่า ลุกขึ้นวิ่งกางแขนหมุนตัวไปราวนกน้อยกระพือปีกบิน พลางร้องเพลงเสียงใส
กวาดบ้าน กวาดเมือง ล้างบางครั้งใหญ่
พอพระนิกคันกับมูซาชิหันไปมอง ก็เห็นโจทาโรใส่หน้ากากโนอันนั้น ชักดาบไม้จากเอวออกมาร่ายรำและชี้ไปที่กองศพ กราดไปที่ฝูงกาเป็นจังหวะ
กาเอ๋ยกา
ล้างบางครั้งใหญ่ไม่ได้มีแต่ที่นารา
เวลาจำเป็นเขาก็ต้องล้างบางกันทั้งนั้นแหละกา
ธรรมดาของธรรมชาติ
ล้างสิ่งไม่ดีเก่าเต็มทีออกไปเพื่อสิ่งใหม่ ๆ จะได้เกิดขึ้นมา
ดั่งตาไม้ดอกตูมที่เบ่งบานเมื่อฤดูกาลใหม่มา
ใบไม้ร่วงเผาทิ้ง
เผาไร่นาที่ไร้ผลและพลิกดิน
บางครั้งเราต้องการหิมะตกหนัก
บางครั้งเราก็ต้องล้างบาง
นะ...กา เจ้าจะได้กินเลี้ยงครั้งใหญ่
กินแกงใส่ลูกตามนุษย์
ดื่มเหล้าสาเกแดงข้น
อย่ากินดื่มให้เมามายมากไป จะบินตกได้นะเจ้ากา
“เจ้าหนูมานี่ซิ”
พระนิกคันร้องเรียก
“ขอรับ” โจทาโรหยุดร้องรำและหันมามอง
“หยุดเต้นแร้งเต้นกาได้แล้ว เก็บก้อนหินมาให้อาตมาหน่อยเถอะ”
“ก้อนหินอย่างนี้หรือขอรับ”
“ใช่ เอามาอีกแยะ ๆ”
“ได้ขอรับ ได้”
พระนิกคันหยิบก้อนหินที่โจทาโรเก็บมาให้ขึ้นมาเขียนคำสวดมนต์
นันเมียว โฮเร็น เงเคียว
ลงบนก้อนหินทุกก้อนส่งให้โจทาโรและบอกว่า
“เจ้าจงเอาก้อนหินเหล่านี้ไปโปรยให้แก่ศพทั้งหลายด้วยเถิด”
โจทาโรรับก้อนหินที่จารึกบทสวดเอาไปโปรยที่กองศพทั่วสี่ทิศ
ระหว่างนั้นพระนิกคันนั่งลงพนมมือสวด นันเมียว โฮเร็น เงเคียว อุทิศให้แก่ผู้ตาย
“เอาละ เสร็จธุระแล้ว อาตมาจะกลับนารา ส่วนเจ้ากับเด็กน้อยก็ออกเดินทางกันได้แล้ว”
พระนิกคันพูดจบก็ลุกขึ้นออกเดินตัวปลิวราวกับลมพัดไปทางนารา โดยที่นักดาบหนุ่มไม่ทันจะกล่าวคำอำลาหรือนัดหมายว่าจะพบกันอีกได้เมื่อไร---มูซาชิมองจ้องตามหลังพระนิกคันไป และอยู่ ๆ ก็ออกวิ่งกวดไปสุดฝีเท้า
“ท่านตาขอรับ ท่านลืมอะไรอย่างหนึ่ง” มูซาชิพูดพลางตบมือลงไปที่ดาบ
“อาตมาลืมอะไรรึ” หลวงตานิกคันชะงักเท้า
“ท่านยังไม่ได้สอนวิชาอะไรให้แก่ข้าเลย ครั้งนี้ข้ามีโอกาสวิเศษนักที่ได้พบกับท่านิกคัน และไม่รู้ว่าจะได้พบอีกครั้งเมื่อไร ขอท่านได้โปรดสอนวิชาให้ข้าด้วยเถิด”
พระนิกคันอ้าปากที่ไม่มีฟันหัวเราะเสียงแหบ
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ สิ่งที่อาตมาจะสอนเจ้าได้มีอยู่คำเดียวคือเจ้าแกร่งกล้าเกินไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าเจ้าทะนงในความแกร่งกล้าของตนอยู่ตลอดเช่นนี้ เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามสิบ ดูอย่างวันนี้เจ้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จงเอาวันนี้เป็นบทเรียน และคิดให้ดีว่าเจ้าจะนำพาชีวิตของตนไปข้างหน้าอย่างไร”
“... ... ...”
“สิ่งที่เจ้าทำวันนี้ไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่น่าชมเชย อาตมาไม่อยากตำหนิมากนักเพราะเจ้ายังอายุน้อยนัก แต่อยากบอกว่าการคิดว่าความแกร่งกล้าคือหัวใจของศาสตร์แห่งนักรบนั้น เป็นการคิดที่ผิดอย่างมหันต์ แต่ก็นั่นแหละ อาตมาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเทศนาถึงแก่นแท้ของวิชานักรบ---ใช่ เจ้าควรหาโอกาสที่จะได้เรียนรู้ถึงแนวทางการดำเนินชีวิตของนักรบอย่างท่านยากิว เซกิชูไส ท่านโคอิซุมิแห่งอิเซะผู้ที่อาตมานับถือเป็นอาจารย์ และยึดเอาวิถีชีวิตของทั้งสองท่านนั้นเป็นแบบอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าใจ”
“... ... ...”
มูซาชิก้มหน้าก้มตาฟัง และเมื่อเงยหน้าขึ้นดูในทันที่รู้สึกว่าเสียงขาดหายไป พระนิกคันก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้วและมองไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงา