นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เสียงกู่ก้องร้องบอกกันมาแล้วเงียบกริบลงฉับพลัน
แม้ไม่ได้นัดกัน แต่ก็ด้วยความเกรงขามที่จับใจทุกคนไม่มีเว้น
ร่างของมูซาชิถือดาบด้วยมือข้างเดียวจรดปลายต่ำเรี่ยพื้นดิน ย่างก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าของพญาอินทรีย์ที่พร้อมกางกรงเล็บโผนขึ้นโฉบขยุ้ม เงาทะมึนเคลื่อนตัวราวเมฆดำที่อุ้มคมหอกดาบไว้เต็มอ้อม พร้อมทะลักทะลายลงมาปักเสียบหัวใจศัตรูทั่วหน้าราวฝนห่าใหญ่
“... ... ...”
ณ วินาทีแห่งมรณะ ไม่มีความเงียบใดจะสะเทือนขวัญไปกว่านี้อีกแล้ว
สีหน้าของมูซาชิซีดขาว...หรือว่าพญามัจจุราชจะขอยืมเป็นที่สิงสู่ในครู่ยามนี้
ใครจะเป็นคนเริ่มก่อน
ดวงตามัจจุราชวาววาบขึ้นเหมือนถาม
ความอุ่นใจที่ว่ามีพวกมาก ซามูไรไร้นายและเหล่านักทวนแห่งสำนักโฮโซอินแม้จะเกรงขามกับท่วงท่าของนักดาบหนุ่มที่บุกเดี่ยว แต่ก็ไม่มีใครหน้าซีดเท่า ทั้งยังมีคนแอบปรามาสอยู่ในใจว่า มันก็แค่วางมาด จริง ๆ แล้วจะสักเท่าไรเชียว
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสักคนกล้าสบสายตามัจจุราชจอมสังหาร หลบกันวูบวาบเมื่อกวาดมาทางตน เพราะการสบตาคือเท่ากับเป็นการตอบรับคำท้า
ทันใดนั้นเอง พระนักทวนสำนักโฮโซอินคนปลายสุดของแถวก็ให้สัญญาณ
นักทวนในชุดดำสิบกว่าคนก็กรูเข้ามาล้อมมูซาชิทางด้านขวาโดยไม่แตกแถว
“มูซาชิ” พระนักทวนคนให้สัญญาณเรียกชื่อนักดาบหนุ่มเสียงก้องกังวาน
“ได้ยินมาว่าเจ้าบุกเข้ามาที่สำนักระหว่างที่ข้า...อินชุนไม่อยู่ด้วยความทะนงในฝีมือ คร่าชีวิตอากนนักทวนระดับครูของเราคนหนึ่งไม่พอ ยังลบหลู่สำนักทวนอันสูงเกียรติด้วยการเขียนคำว่าร้ายเราด้วยถ้อยคำต่ำช้าไปติดประกาศทั่วเมือง ไม่มีอะไรจะเลวทรามต่ำช้าไปกว่านี้อีกแล้ว เจ้าจะว่ายังไง”
“ไม่จริง” ตอบเสียงดังชัดทุกคำ “ท่านเองก็เป็นพระ น่าจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา ไม่ใช่เชื่อด้วยการเห็นด้วยตาและการได้ยินด้วยหูเท่านั้น”
คำพูดของมูซาชิไม่ผิดอะไรกับน้ำมันที่ราดลงไปบนฟืนที่กำลังคุ
“หนอยแน่ะ”
พอสิ้นเสียงสบถของอินชุน พระนักทวนก็ส่งเสียงประท้วงเซ็งแซ่
“อย่าไปต่อปากต่อคำกับมันให้เสียเวลา”
ฝูงซามูไรไร้นายที่กระเหี้ยนกระหือรือ ยกพวกวิ่งชูดาบดาหน้าเข้ามาขนาบทางด้านซ้าย ร้องสำทับ
“ไม่ต้องพูดกันให้มากความ”
มูซาชิมองออกเหมือนอ่านหนังสือง่าย ๆ เล่มหนึ่งว่า ฝูงซามูไรที่ดาหน้าเข้ามามีแต่คนปากดีได้แต่พูด นอกจากจะไร้นายแล้วยังไร้ฝีมือ จึงร้องท้าออกไปว่า
“ก็ได้ ไม่ต้องมาถามมาตอบกัน---ใครก็ได้เข้ามาเลย”
ซามูไรไร้นายถอยกรูดกันเป็นแถวด้วยความหวั่นเกรงว่าจะเผลอสบตามัจจุราชคู่นั้นเข้า เหลืออยู่สองสามคนที่ใจกล้าตั้งท่าเตรียมสู้และยกดาบในมือขึ้น
“ข้านี่แหละวะ”
แต่อนิจจา ยังไม่ทันที่คนหนึ่งจะยกดาบขึ้นมาได้ถึงครึ่ง
มูซาชิก็ถีบตัวลอยเข้าใส่ด้วยท่าของไก่ชน และพอสิ้นเสียงคล้ายเปิดจุกไหเหล้าสาเก เลือดแดงฉานก็กระฉูดพุ่งขึ้นไปจากร่างนั้น...เมื่อชีวิตหนึ่งปะทะกับอีกชีวิตหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงร้องกรีดแหลมสยองขวัญ ไม่ใช่เสียงของนักรบผู้ปราชัยแต่เป็นเสียงของสัตว์ป่าก่อนสิ้นใจโดยแท้
มูซาชิตวัดดาบฟาดฟันซ้ายขวา แรงสั่นสะเทือนอย่างแรงที่รู้สึกได้จากดาบบ่งบอกว่าได้ฟันลงไปถึงกระดูกของคู่ต่อสู้ ทุกจังหวะที่ฟาดฟันลงไป เลือดจะกระฉูดขึ้นสะท้อนแสงกับดวงตะวันเป็นสายรุ้ง เลือดปะปนออกมากับสมองที่กระจายเมื่อถูกคมดาบฟันลงกลางกระหม่อม มือ นิ้ว กระเด็นว่อน แขนถูกฟันทีเกียวขาดเหมือนหัวชายเท้าหลุดลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้า
2
ฝ่ายซามูไรไร้นายร่วมขบวนมากับพระสำนักทวนโดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าแค่มาดูคนดวลกันสนุก ๆ
ก็ให้พระท่านสู้ไป ส่วนเราเป็นคนดู
จึงเข้าทางยุทธศาสตร์ของมูซาชิ นักดาบหนุ่มบุกทะลวงซามูไรอ่อนหัดกลุ่มนี้เป็นการซ้อมเอาแรงไว้ก่อนถึงศึกหนัก ซามูไรไร้นายที่แต่แรกยังมีขวัญกำลังใจดีไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะวางใจว่ามีพระนักทวนฝีมือดีเป็นทัพใหญ่หนุนหลังอยู่ แต่พอเห็นพวกพ้องตกเป็นเหยื่อสังเวยคมดาบของมูซาชิสองคนก็แล้ว ห้าคน และหกคนก็แล้ว แต่นักทวนสำนักโฮโซอินก็ยังยืนเรียงแถวเฝ้ามองอยู่ ไม่มีใครถลำออกจากแถวมารับมือมูซาชิเลยสักคนเดียว ก็เริ่มใจเสียและถอยร่นไม่เป็นขบวน ร้องด่าบ้าง ตะโกนขอความช่วยเหลือ ระคนเสียงกรีดร้องเมื่อถูกคมดาบฟาดฟันลงมา และเสียงโลหะกระทบกันดังหวาดเสียว เมื่อนักดาบหนุ่มผู้บุกเดี่ยวเข้าฟาดฟันไปรอบตัวพร้อมกับเผ่นโผนขึ้นเป็นจังหวะ
นักทวนแห่งสำนักโฮโซอินนอกจากจะยืนปักทวนอยู่กับพื้นเรียงแถวนิ่งอยู่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว ยังไม่ส่งเสียงให้กำลังใจกันด้วย
อยากจะร้องด่าออกไปว่า พวกท่านทำไมผิดสัญญา ไม่ออกมาช่วยกัน ศัตรูเป็นของพวกท่านแท้ ๆ ปล่อยให้เราที่เป็นคนนอกสู้อยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไง บ้าไปแล้วรึ แต่มูซาชิรุกหนักไม่เปิดช่องให้ร้องด่าออกไปได้ ไม่นานความเหนื่อยอ่อนกับกลิ่นเลือดเพื่อนที่คละคลุ้ง ทำให้งุนงงกันไปหมด หลายคนโซเซไม่เป็นท่าเหมือนคนเมา เห็นหน้าเพื่อนเหมือนหน้าตัวเองบ้าง เห็นเป็นหน้าศัตรูบ้าง เป็นที่น่าเกรงว่าจะฆ่ากันเอง
มูซาชิไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำอะไร
กลไกทุกส่วนที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายไปรวมศูนย์อยู่ที่ดาบคมกริบยาวไม่ถึงสามศอกในมือ สำแดงอิทธิฤทธิ์ของวิทยายุทธ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงวันนี้ เปรี้ยงปร้างเข้าใส่ศัตรูไม่ผิดกับแรงระเบิดอาวุธตะวันตก
วิชาการต่อสู้ที่พ่อขับเขี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตายสมัยห้าหกขวบ
ประสบการณ์บนสนามรบเซกิงาฮาระ
วิชาที่เรียนรู้ด้วยตนเองจากการประลองฝีมือกับต้นไม้ในป่า
การนำวิทยายุทธ์และกลยุทธ์ที่เรียนรู้มาจากสำนักดาบในแว่นแคว้นต่าง ๆ มาศึกษาและวิเคราะห์
มูซาชิสู้อย่างคนที่ไม่คิดถึงว่าคืนนี้จะกลับไปนอนไหน
ฟาดฟันดาบคู่ใจ ฝ่าเข้าไปในดงดาบคมขาววาววับของเหล่าซามูไร้นาย
ร่างกายทุกส่วนเคลื่อนไหวฉับไวราวกับเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินและพื้นหญ้าที่เจ้าหนุ่มถีบทะยานขึ้นไปตามจังหวะดาบ---ไม่ตายก็รอด
ส่วนเหล่าซามูไรไร้นายนั้นเล่าต่างก็กัดฟันสู้แต่ก็อย่างละล้าละลัง คนที่คิดว่า
ถูกฟันหมายถึงแพ้และ...ตาย
ไม่อยากตาย
พยายามหลบให้คนอื่นรับคมดาบ
กลับตกเป็นเหยื่อสังเวยดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างไร้ความปรานีเสียเอง ราวโชคชะตาจะประชด
ระหว่าที่หนึ่งในนักทวนแห่งสำนักโฮโซอินที่ยืนปักทวนอยู่ในแถวดูการสู้รบพัลวันตรงหน้า นับลมหายใจของตนได้ราวสิบห้าและเหลืออีกหนึ่งก็จะครบยี่สิบอึดใจนั้นเอง
ร่างของมูซาชิก็อาบไปด้วยเลือดแดงฉานจนไม่เหลือสีอื่นให้เห็น
เช่นเดียวกับซามูไรไร้นายที่ปักหลักสู้อยู่อย่างทรหดอยู่ราวสิบคน
กลิ่นเลือดสด ๆ ที่นองอยู่บนพื้นดินพื้นหญ้า คละคลุ้งชวนให้คลื่นเหียนวิงเวียนไปทั่วบริเวณเนินฮันเนีย พวกที่ถอยออกไปเสมอเสียขวัญกำลังใจจนทำอะไรกันไม่ถูก และพอคนหนึ่งแผดร้องไม่เป็นภาษาขึ้นมาก็ออกวิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
ทันใดนั้นเอง
คมทวนที่สะท้อนแสงตะวันวาววับอยู่เป็นแนวในแถมนักทวนแห่งสำนักก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน
3
“เทวดาฟ้าดิน”
โจทะโรพนมมือแต้ คุกเข่าแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า
“ช่วยครูของข้าด้วยเถิด มูซาชิครูของข้าบุกเดี่ยวลงไปที่หนองน้ำข้างล่างนี้ และกำลังต่อสู้กับศัตรูที่มารุมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ครูของข้าถึงจะอ่อนหัด แต่ก็เป็นคนดี”
มิใยที่มูซาชิจะขับไล่ไสส่ง แต่เด็กน้อยโจทาโรก็ยังไม่อาจตัดใจจากคนที่คนนับถือเป็นครูผู้นี้ไปได้ จึงตามมาห่าง ๆ และเฝ้าดูอยู่ที่ฮันเนียโนะเหนือหนองน้ำที่กำลังเป็นสมรภูมิ
เด็กน้อยทรุดตัวลงนั่งภาวนาตรงจุดที่มองเห็นความเคลื่อนไหวข้างล่างได้ถนัด และวางหมวกฟางลงข้างตัว
“ข้าแต่เทพฮาจิมัน เทพคงพิระ และเทพแห่งศาลเจ้าคาซูงะ ช่วยคุ้มครองครูของข้าด้วยเถิด ดูนั่นครูกำลังเดินใกล้ฝูงศัตรูเข้าไปทุกทีแล้ว ทำไมทำอย่างนั้นล่ะครู เสียสติไปแล้วหรือยังไงถึงได้บ้าบิ่นอย่างนั้น น่าสงสารเหลือเกินลืมตัวไปแล้วว่าตัวเองอ่อนแอสู้ใครเขาได้เสียเมื่อไหร่
ท่าทางไม่ดีมาตั้งแต่เช้า คงจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ ด้วย ไม่งั้นคงไม่บุกเดี่ยวเข้าไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนั้น พวกมันมากันเป็นสิบเห็นหรือเปล่า อย่า อย่า อย่าเข้าไป เทพเจ้าทั้งหลายช่วยด้วย ช่วยครูของข้าที”
โจทาโรพร่ำภาวนาเป็นร้อยครั้งพันครั้งแทบจะเป็นบ้าเสียเอง สุดท้ายถึงกับตะเบ็งเสียงดังลั่นไปทั่วท้องทุ่ง
“ทั่วประเทศเขตแดนนี้ไม่มีพระเจ้าสักองค์หรือยังไง ท่านจะปล่อยให้ฝูงคนชั่วชนะและคนดี ๆ คนหนึ่งถูกฆ่าก็ให้มันรู้ไปถ้าคนชั่วลอยนวลอยู่แต่คนดีถูกฆ่าตายไปจริง ๆ ข้าจะเลิกเชื่อพวกท่าน และจะถือว่าคำสั่งสอนของท่านที่สืบมาชั่วลูกชั่วหลานทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหก เทวดาฟ้าดินไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว และจะถ่มน้ำลายให้เลยด้วย ได้ยินนะเทพเจ้าทั้งหลาย”
แม้จะพูดตามประสาเด็กแต่ดวงตาของโจทาโรมีแววโกรธเกรี้ยวฟ้าดินอย่างจริงจัง ความโกรธไม่ได้หยุดยั้งอยู่แค่นั้น
ครู่หนึ่งต่อมา เมื่อเห็นซามูไรไร้นายเป็นสิบเงื้อดาบคมวาวตีวงล้อมมูซาชิคนเดียวอยู่ตรงกลาง เด็กน้อยก็ยิ่งบันดาลโทสะขึ้นเป็นทวีคูณ
“ไอ้พวกสัตว์นรก”
โจทะโรสบถ กำหมัดแน่น ผลุดลุกขึ้นยืนและแผดเสียงด่าลั่น
“ไอ้ขี้ขลาด ฮึ่ม ถ้าข้าโตกว่านี้ละก็...”
แล้วก็กระทืบเท้าร้องไห้โฮออกมาด้วยความแค้นใจ
“บ้า บ้า บ้าที่สุด”
เด็กน้อยร้องไห้พลางด่าพลาง เดินไปมาเหมือนเสือติดจั่นอยู่ตรงนั้น
“ครู ครู ข้า ข้าอยู่ตรงนี้ สู้ สู้”
และเมื่อไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็เลยสาปแช่งพวกศัตรูราวกับว่าตนเป็นพระเจ้าเสียเอง
ตะโกนด่าลงไปสุดเสียง โดยไม่คิดว่าไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน
“ไอ้พวกสัตว์นรก ถ้าบังอาจฆ่าครูข้าละก็ เป็นได้เห็นดีกัน”
แต่แล้ว โจทาโรก็ต้องเบิกตาโพลง แม้จุดที่ยืนอยู่จะไกลออกมาจากสมรภูมิไม่น้อย แต่ก็พอจะเห็นร่างดำ ๆ และเสียงดาบฟาดฟันฉับ ๆ เลือดกระฉูด คนหนึ่งล้ม สองคนล้ม เป็นศพกลิ้งลงกับพื้นดิน
“เฮ้ย ครู ครูเราเก่ง เก่งจัง เสร็จไปอีกคนนึงแล้ว”
จะว่าไป ตั้งแต่เกิดมาโจทาโรเพิ่งเคยเห็นการต่อสู้อย่างนองเลือดราวกับสัตว์ป่าของมนุษย์ด้วยกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก
จิตใจของเด็กน้อยฮึกเหิมยิ่งนัก ออกท่าออกทางราวกับกำลังต่อสู้อยู่เคียงข้างครูของตนในวงล้อมนั้นด้วย
ใจเต้นโครมครามเกือบจะหลุดออกมานอกอก พร่ำพูดไม่ขาดปาก
“กล้าดีเข้ามาเลย นี่แน่ะ ดาบเดียวจอด เห็นหรือยังไอ้โง่ เข้ามาอีกซี เข้ามา เห็นฝีมือครูข้าเสียมั่ง อ้าวอีกาดำโฮโซอินยืนเฉยอยู่ทำไม ยืนถือหอกเรียงแถวเฉยอยู่ได้ ไม่กล้าสู้กับครูข้าละซี ยืดแขน ก้าวขาไม่ออกเลยรึ กลัวใช่ไหมล่า”
แต่ในฉับพลันนั้น แถวอีกาดำที่เด็กน้อยร้องท้าก็เริ่มเคลื่อนไหว ปลายทวนที่นิ่งอยู่ตลอดเริ่มไหวคมสะท้อนแสงตะวันวิบวับ
“เฮ้ย ไม่ได้การ อีกาดำเคลื่อนขบวนแล้ว
มูซาชิกำลังตกอยู่ในอันตราย
หรือนี่คือวาระสุดท้ายของนักดาบหนุ่มผู้เป็นครู
โจทาโรลืมตัว ออกสิ่งสุดฝีเท้าลงเนินมุ่งไปที่สมรภูมิที่หุบเขาริมหนองน้ำ
ราวกับลูกไฟดวงเล็ก ๆ ที่ลุกโชติช่วง
4
อินชุนเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สองผู้สืบทอดวิชาทวนจนเจนจบจากเจ้าสำนักรุ่นที่หนึ่ง และมีฝีมือเลื่องลือเป็นหนึ่งในวิถีแห่งทวนเปล่งเสียงก้องกังวาน ออกคำสั่งให้เหล่าพระผู้เป็นศิษย์สำนักทวนจำนวนเป็นสิบที่ยืนคันไม้คันมือคุมเชิงนิ่งอยู่
“บุก”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสั่ง เสียงคมทวนในมือของนักรบทุกคนก็แหวกอากาศดังควับลงมาอยู่ในท่าทะลวงแทง พร้อมกับกับนักทวนกระจายตัวออกจากแถวราวกับผึ้งแตกรัง หัวโล้นของพระยิ่งทำให้ดูคล้ายคนป่าสมัยดึกดำบรรพ์ที่ถือหอกออกล่าเหยื่อ ทวนมีหลายชนิด ทั้งแบบง้าว แบบหอก และอีกหลายแบบ ที่นักรบแต่ละคนเลือกใช้ตามความถนัด
คมทวนวาววับกระหายเลือดไม่แพ้เจ้าของที่วิ่งดาหน้าร้องคำรามเข้าหาเหยื่อ
ปลายทวนบางเล่มมีรอยเลือดบ่งบอกว่าได้ดื่มเลือดสังเวยคมมาแล้วไม่คนก็สองคน หรือไม่ก็กว่านั้น
แต่ละคนฮึกเหิมที่จะได้ประลองฝีมือในสนามรบจริงอย่างที่ไม่มีโอกาสมากนัก
---กลยุทธ์แนวใหม่
มูซาชิประเมินแนวรบของคู่ต่อสู้แล้วกระโดดถอยออกมาก้าวหนึ่งเพื่อดูเชิง
ถ้าจะตายก็ตายให้มันดูดีหน่อย
สมองอ่อนล้า แต่มือทั้งสองยังกุมด้ามดาบที่เหนอะหนะไปด้วยเลือดไว้มั่น ตาพร่าพรายด้วยหยาดเหงื่อและเลือดจ้องมองไปข้างหน้า
แต่ เอ๊ะ...
ไม่มีทวนพุ่งเข้าหาสักด้ามเดียว
นี่จะมาไม้ไหน
มูซาชิงงงวยไปหมดกับปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อตรงหน้า
ทำไมน่ะหรือ
ก็ดูนั่นซี...พระนักสำนักโฮโซอินที่คิดว่าจะพุ่งทวนมาที่ตน กลับเงื้อง่าอาวุธในมือเข้าใส่พวกซามูไรไร้นายที่น่าจะเป็นพวกเดียวกันราวกับชาวป่าไล่เหยื่อ ทำเอาพวกนั้นเสียขบวนเปิดหนีกันกระเจิง ใครวิ่งไม่ทันก็ตกเป็นเหยื่อสังเวยคมทวนอย่างไม่ทันตั้งตัว คนที่รอดคมดาบของมูซาชิไปได้อย่างหวุดหวิด พอถูกพระเรียกให้หยุดก่อนก็ดันหยุดเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เลยถูกทวนสอยเข้าให้และเหวี่ยงลอยไปสิ้นชื่ออยู่ในพงหญ้า
“เฮ้ย เฮ้ย บ้าไปแล้วรึ ไอ้พระบ้า ดูให้ดี ๆ นี่พวกเดียวกันนะเว้ย ศัตรูอยู่ทางโน้น”
ยังไม่ทันขาดคำก็สิ้นเสียงและสิ้นใจ นักทวนบ้าเลือด ไล่ล่าฆ่าซามูไรไร้นายอย่างโหดเหี้ยม คนหนึ่งถูกแทงแก้มซ้ายทะลุแก้มขวาเหมือนปลาย่างยังไม่รู้ตัวสะบัดหน้าไปมา ร้องโวยวายจนแผลเหวะหวะและสิ้นใจ สิ้นใจอย่างน่าสมเพทในท่า ต่าง ๆ กันล้วนสยดสยองทั้งสิ้น
การฆ่าหมู่อย่างไร้สิ้นซึ่งความปรานี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของพระสิ้นสุดลง
หุบเขาใกล้หนองน้ำเงียบสนิท เมฆเคลื่อนบังดวงตะวันราวช่วยบังไม่ให้เห็นภาพแสลงใจ
ซามูไรไร้นายทั้งฝูงไม่รู้ว่ากี่สิบคนตายเรียบ ไม่มีใครถูกปล่อยให้เล็ดรอดออกไปบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หนองน้ำของฮันเนียโนะแห่งนี้
มูซาชิยืนกุมดาบในมือแน่น มองการฆ่าหมู่โดยพระนักทวนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
ทำไม ทำไมพระจึงฆ่าพวกเดียวกัน
นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
มูซาชิเองเพิ่งสวมวิญญาณสัตว์ป่าคร่าชีวิตศัตรูไม่เลือกหน้ามาหยก ๆ เลือดยังไม่หายร้อนและยังไม่ตื่นกลับมาเป็นมนุษย์ครบถ้วนดี แต่ก็ยังตะลึงเมื่อได้เห็นการฆ่าหมู่อย่างบ้าเลือดต่อหน้าต่อตา
ความโหดร้ายราวสัตว์ป่าของคนอื่นปลุกความเป็นมนุษย์ของมูซาชิขึ้นมาอีกครั้ง
และเพิ่งเห็นโจทาโรร้องไห้โฮ ๆ จับขาที่แข็งทื่อราวกับถูกฝังลงไปในพื้นดินของเขากับมือทั้งสองเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เสียงกู่ก้องร้องบอกกันมาแล้วเงียบกริบลงฉับพลัน
แม้ไม่ได้นัดกัน แต่ก็ด้วยความเกรงขามที่จับใจทุกคนไม่มีเว้น
ร่างของมูซาชิถือดาบด้วยมือข้างเดียวจรดปลายต่ำเรี่ยพื้นดิน ย่างก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าของพญาอินทรีย์ที่พร้อมกางกรงเล็บโผนขึ้นโฉบขยุ้ม เงาทะมึนเคลื่อนตัวราวเมฆดำที่อุ้มคมหอกดาบไว้เต็มอ้อม พร้อมทะลักทะลายลงมาปักเสียบหัวใจศัตรูทั่วหน้าราวฝนห่าใหญ่
“... ... ...”
ณ วินาทีแห่งมรณะ ไม่มีความเงียบใดจะสะเทือนขวัญไปกว่านี้อีกแล้ว
สีหน้าของมูซาชิซีดขาว...หรือว่าพญามัจจุราชจะขอยืมเป็นที่สิงสู่ในครู่ยามนี้
ใครจะเป็นคนเริ่มก่อน
ดวงตามัจจุราชวาววาบขึ้นเหมือนถาม
ความอุ่นใจที่ว่ามีพวกมาก ซามูไรไร้นายและเหล่านักทวนแห่งสำนักโฮโซอินแม้จะเกรงขามกับท่วงท่าของนักดาบหนุ่มที่บุกเดี่ยว แต่ก็ไม่มีใครหน้าซีดเท่า ทั้งยังมีคนแอบปรามาสอยู่ในใจว่า มันก็แค่วางมาด จริง ๆ แล้วจะสักเท่าไรเชียว
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสักคนกล้าสบสายตามัจจุราชจอมสังหาร หลบกันวูบวาบเมื่อกวาดมาทางตน เพราะการสบตาคือเท่ากับเป็นการตอบรับคำท้า
ทันใดนั้นเอง พระนักทวนสำนักโฮโซอินคนปลายสุดของแถวก็ให้สัญญาณ
นักทวนในชุดดำสิบกว่าคนก็กรูเข้ามาล้อมมูซาชิทางด้านขวาโดยไม่แตกแถว
“มูซาชิ” พระนักทวนคนให้สัญญาณเรียกชื่อนักดาบหนุ่มเสียงก้องกังวาน
“ได้ยินมาว่าเจ้าบุกเข้ามาที่สำนักระหว่างที่ข้า...อินชุนไม่อยู่ด้วยความทะนงในฝีมือ คร่าชีวิตอากนนักทวนระดับครูของเราคนหนึ่งไม่พอ ยังลบหลู่สำนักทวนอันสูงเกียรติด้วยการเขียนคำว่าร้ายเราด้วยถ้อยคำต่ำช้าไปติดประกาศทั่วเมือง ไม่มีอะไรจะเลวทรามต่ำช้าไปกว่านี้อีกแล้ว เจ้าจะว่ายังไง”
“ไม่จริง” ตอบเสียงดังชัดทุกคำ “ท่านเองก็เป็นพระ น่าจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา ไม่ใช่เชื่อด้วยการเห็นด้วยตาและการได้ยินด้วยหูเท่านั้น”
คำพูดของมูซาชิไม่ผิดอะไรกับน้ำมันที่ราดลงไปบนฟืนที่กำลังคุ
“หนอยแน่ะ”
พอสิ้นเสียงสบถของอินชุน พระนักทวนก็ส่งเสียงประท้วงเซ็งแซ่
“อย่าไปต่อปากต่อคำกับมันให้เสียเวลา”
ฝูงซามูไรไร้นายที่กระเหี้ยนกระหือรือ ยกพวกวิ่งชูดาบดาหน้าเข้ามาขนาบทางด้านซ้าย ร้องสำทับ
“ไม่ต้องพูดกันให้มากความ”
มูซาชิมองออกเหมือนอ่านหนังสือง่าย ๆ เล่มหนึ่งว่า ฝูงซามูไรที่ดาหน้าเข้ามามีแต่คนปากดีได้แต่พูด นอกจากจะไร้นายแล้วยังไร้ฝีมือ จึงร้องท้าออกไปว่า
“ก็ได้ ไม่ต้องมาถามมาตอบกัน---ใครก็ได้เข้ามาเลย”
ซามูไรไร้นายถอยกรูดกันเป็นแถวด้วยความหวั่นเกรงว่าจะเผลอสบตามัจจุราชคู่นั้นเข้า เหลืออยู่สองสามคนที่ใจกล้าตั้งท่าเตรียมสู้และยกดาบในมือขึ้น
“ข้านี่แหละวะ”
แต่อนิจจา ยังไม่ทันที่คนหนึ่งจะยกดาบขึ้นมาได้ถึงครึ่ง
มูซาชิก็ถีบตัวลอยเข้าใส่ด้วยท่าของไก่ชน และพอสิ้นเสียงคล้ายเปิดจุกไหเหล้าสาเก เลือดแดงฉานก็กระฉูดพุ่งขึ้นไปจากร่างนั้น...เมื่อชีวิตหนึ่งปะทะกับอีกชีวิตหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงร้องกรีดแหลมสยองขวัญ ไม่ใช่เสียงของนักรบผู้ปราชัยแต่เป็นเสียงของสัตว์ป่าก่อนสิ้นใจโดยแท้
มูซาชิตวัดดาบฟาดฟันซ้ายขวา แรงสั่นสะเทือนอย่างแรงที่รู้สึกได้จากดาบบ่งบอกว่าได้ฟันลงไปถึงกระดูกของคู่ต่อสู้ ทุกจังหวะที่ฟาดฟันลงไป เลือดจะกระฉูดขึ้นสะท้อนแสงกับดวงตะวันเป็นสายรุ้ง เลือดปะปนออกมากับสมองที่กระจายเมื่อถูกคมดาบฟันลงกลางกระหม่อม มือ นิ้ว กระเด็นว่อน แขนถูกฟันทีเกียวขาดเหมือนหัวชายเท้าหลุดลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้า
2
ฝ่ายซามูไรไร้นายร่วมขบวนมากับพระสำนักทวนโดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าแค่มาดูคนดวลกันสนุก ๆ
ก็ให้พระท่านสู้ไป ส่วนเราเป็นคนดู
จึงเข้าทางยุทธศาสตร์ของมูซาชิ นักดาบหนุ่มบุกทะลวงซามูไรอ่อนหัดกลุ่มนี้เป็นการซ้อมเอาแรงไว้ก่อนถึงศึกหนัก ซามูไรไร้นายที่แต่แรกยังมีขวัญกำลังใจดีไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะวางใจว่ามีพระนักทวนฝีมือดีเป็นทัพใหญ่หนุนหลังอยู่ แต่พอเห็นพวกพ้องตกเป็นเหยื่อสังเวยคมดาบของมูซาชิสองคนก็แล้ว ห้าคน และหกคนก็แล้ว แต่นักทวนสำนักโฮโซอินก็ยังยืนเรียงแถวเฝ้ามองอยู่ ไม่มีใครถลำออกจากแถวมารับมือมูซาชิเลยสักคนเดียว ก็เริ่มใจเสียและถอยร่นไม่เป็นขบวน ร้องด่าบ้าง ตะโกนขอความช่วยเหลือ ระคนเสียงกรีดร้องเมื่อถูกคมดาบฟาดฟันลงมา และเสียงโลหะกระทบกันดังหวาดเสียว เมื่อนักดาบหนุ่มผู้บุกเดี่ยวเข้าฟาดฟันไปรอบตัวพร้อมกับเผ่นโผนขึ้นเป็นจังหวะ
นักทวนแห่งสำนักโฮโซอินนอกจากจะยืนปักทวนอยู่กับพื้นเรียงแถวนิ่งอยู่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว ยังไม่ส่งเสียงให้กำลังใจกันด้วย
อยากจะร้องด่าออกไปว่า พวกท่านทำไมผิดสัญญา ไม่ออกมาช่วยกัน ศัตรูเป็นของพวกท่านแท้ ๆ ปล่อยให้เราที่เป็นคนนอกสู้อยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไง บ้าไปแล้วรึ แต่มูซาชิรุกหนักไม่เปิดช่องให้ร้องด่าออกไปได้ ไม่นานความเหนื่อยอ่อนกับกลิ่นเลือดเพื่อนที่คละคลุ้ง ทำให้งุนงงกันไปหมด หลายคนโซเซไม่เป็นท่าเหมือนคนเมา เห็นหน้าเพื่อนเหมือนหน้าตัวเองบ้าง เห็นเป็นหน้าศัตรูบ้าง เป็นที่น่าเกรงว่าจะฆ่ากันเอง
มูซาชิไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำอะไร
กลไกทุกส่วนที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายไปรวมศูนย์อยู่ที่ดาบคมกริบยาวไม่ถึงสามศอกในมือ สำแดงอิทธิฤทธิ์ของวิทยายุทธ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงวันนี้ เปรี้ยงปร้างเข้าใส่ศัตรูไม่ผิดกับแรงระเบิดอาวุธตะวันตก
วิชาการต่อสู้ที่พ่อขับเขี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตายสมัยห้าหกขวบ
ประสบการณ์บนสนามรบเซกิงาฮาระ
วิชาที่เรียนรู้ด้วยตนเองจากการประลองฝีมือกับต้นไม้ในป่า
การนำวิทยายุทธ์และกลยุทธ์ที่เรียนรู้มาจากสำนักดาบในแว่นแคว้นต่าง ๆ มาศึกษาและวิเคราะห์
มูซาชิสู้อย่างคนที่ไม่คิดถึงว่าคืนนี้จะกลับไปนอนไหน
ฟาดฟันดาบคู่ใจ ฝ่าเข้าไปในดงดาบคมขาววาววับของเหล่าซามูไร้นาย
ร่างกายทุกส่วนเคลื่อนไหวฉับไวราวกับเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินและพื้นหญ้าที่เจ้าหนุ่มถีบทะยานขึ้นไปตามจังหวะดาบ---ไม่ตายก็รอด
ส่วนเหล่าซามูไรไร้นายนั้นเล่าต่างก็กัดฟันสู้แต่ก็อย่างละล้าละลัง คนที่คิดว่า
ถูกฟันหมายถึงแพ้และ...ตาย
ไม่อยากตาย
พยายามหลบให้คนอื่นรับคมดาบ
กลับตกเป็นเหยื่อสังเวยดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างไร้ความปรานีเสียเอง ราวโชคชะตาจะประชด
ระหว่าที่หนึ่งในนักทวนแห่งสำนักโฮโซอินที่ยืนปักทวนอยู่ในแถวดูการสู้รบพัลวันตรงหน้า นับลมหายใจของตนได้ราวสิบห้าและเหลืออีกหนึ่งก็จะครบยี่สิบอึดใจนั้นเอง
ร่างของมูซาชิก็อาบไปด้วยเลือดแดงฉานจนไม่เหลือสีอื่นให้เห็น
เช่นเดียวกับซามูไรไร้นายที่ปักหลักสู้อยู่อย่างทรหดอยู่ราวสิบคน
กลิ่นเลือดสด ๆ ที่นองอยู่บนพื้นดินพื้นหญ้า คละคลุ้งชวนให้คลื่นเหียนวิงเวียนไปทั่วบริเวณเนินฮันเนีย พวกที่ถอยออกไปเสมอเสียขวัญกำลังใจจนทำอะไรกันไม่ถูก และพอคนหนึ่งแผดร้องไม่เป็นภาษาขึ้นมาก็ออกวิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
ทันใดนั้นเอง
คมทวนที่สะท้อนแสงตะวันวาววับอยู่เป็นแนวในแถมนักทวนแห่งสำนักก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน
3
“เทวดาฟ้าดิน”
โจทะโรพนมมือแต้ คุกเข่าแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า
“ช่วยครูของข้าด้วยเถิด มูซาชิครูของข้าบุกเดี่ยวลงไปที่หนองน้ำข้างล่างนี้ และกำลังต่อสู้กับศัตรูที่มารุมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ครูของข้าถึงจะอ่อนหัด แต่ก็เป็นคนดี”
มิใยที่มูซาชิจะขับไล่ไสส่ง แต่เด็กน้อยโจทาโรก็ยังไม่อาจตัดใจจากคนที่คนนับถือเป็นครูผู้นี้ไปได้ จึงตามมาห่าง ๆ และเฝ้าดูอยู่ที่ฮันเนียโนะเหนือหนองน้ำที่กำลังเป็นสมรภูมิ
เด็กน้อยทรุดตัวลงนั่งภาวนาตรงจุดที่มองเห็นความเคลื่อนไหวข้างล่างได้ถนัด และวางหมวกฟางลงข้างตัว
“ข้าแต่เทพฮาจิมัน เทพคงพิระ และเทพแห่งศาลเจ้าคาซูงะ ช่วยคุ้มครองครูของข้าด้วยเถิด ดูนั่นครูกำลังเดินใกล้ฝูงศัตรูเข้าไปทุกทีแล้ว ทำไมทำอย่างนั้นล่ะครู เสียสติไปแล้วหรือยังไงถึงได้บ้าบิ่นอย่างนั้น น่าสงสารเหลือเกินลืมตัวไปแล้วว่าตัวเองอ่อนแอสู้ใครเขาได้เสียเมื่อไหร่
ท่าทางไม่ดีมาตั้งแต่เช้า คงจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ ด้วย ไม่งั้นคงไม่บุกเดี่ยวเข้าไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนั้น พวกมันมากันเป็นสิบเห็นหรือเปล่า อย่า อย่า อย่าเข้าไป เทพเจ้าทั้งหลายช่วยด้วย ช่วยครูของข้าที”
โจทาโรพร่ำภาวนาเป็นร้อยครั้งพันครั้งแทบจะเป็นบ้าเสียเอง สุดท้ายถึงกับตะเบ็งเสียงดังลั่นไปทั่วท้องทุ่ง
“ทั่วประเทศเขตแดนนี้ไม่มีพระเจ้าสักองค์หรือยังไง ท่านจะปล่อยให้ฝูงคนชั่วชนะและคนดี ๆ คนหนึ่งถูกฆ่าก็ให้มันรู้ไปถ้าคนชั่วลอยนวลอยู่แต่คนดีถูกฆ่าตายไปจริง ๆ ข้าจะเลิกเชื่อพวกท่าน และจะถือว่าคำสั่งสอนของท่านที่สืบมาชั่วลูกชั่วหลานทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหก เทวดาฟ้าดินไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว และจะถ่มน้ำลายให้เลยด้วย ได้ยินนะเทพเจ้าทั้งหลาย”
แม้จะพูดตามประสาเด็กแต่ดวงตาของโจทาโรมีแววโกรธเกรี้ยวฟ้าดินอย่างจริงจัง ความโกรธไม่ได้หยุดยั้งอยู่แค่นั้น
ครู่หนึ่งต่อมา เมื่อเห็นซามูไรไร้นายเป็นสิบเงื้อดาบคมวาวตีวงล้อมมูซาชิคนเดียวอยู่ตรงกลาง เด็กน้อยก็ยิ่งบันดาลโทสะขึ้นเป็นทวีคูณ
“ไอ้พวกสัตว์นรก”
โจทะโรสบถ กำหมัดแน่น ผลุดลุกขึ้นยืนและแผดเสียงด่าลั่น
“ไอ้ขี้ขลาด ฮึ่ม ถ้าข้าโตกว่านี้ละก็...”
แล้วก็กระทืบเท้าร้องไห้โฮออกมาด้วยความแค้นใจ
“บ้า บ้า บ้าที่สุด”
เด็กน้อยร้องไห้พลางด่าพลาง เดินไปมาเหมือนเสือติดจั่นอยู่ตรงนั้น
“ครู ครู ข้า ข้าอยู่ตรงนี้ สู้ สู้”
และเมื่อไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็เลยสาปแช่งพวกศัตรูราวกับว่าตนเป็นพระเจ้าเสียเอง
ตะโกนด่าลงไปสุดเสียง โดยไม่คิดว่าไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน
“ไอ้พวกสัตว์นรก ถ้าบังอาจฆ่าครูข้าละก็ เป็นได้เห็นดีกัน”
แต่แล้ว โจทาโรก็ต้องเบิกตาโพลง แม้จุดที่ยืนอยู่จะไกลออกมาจากสมรภูมิไม่น้อย แต่ก็พอจะเห็นร่างดำ ๆ และเสียงดาบฟาดฟันฉับ ๆ เลือดกระฉูด คนหนึ่งล้ม สองคนล้ม เป็นศพกลิ้งลงกับพื้นดิน
“เฮ้ย ครู ครูเราเก่ง เก่งจัง เสร็จไปอีกคนนึงแล้ว”
จะว่าไป ตั้งแต่เกิดมาโจทาโรเพิ่งเคยเห็นการต่อสู้อย่างนองเลือดราวกับสัตว์ป่าของมนุษย์ด้วยกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก
จิตใจของเด็กน้อยฮึกเหิมยิ่งนัก ออกท่าออกทางราวกับกำลังต่อสู้อยู่เคียงข้างครูของตนในวงล้อมนั้นด้วย
ใจเต้นโครมครามเกือบจะหลุดออกมานอกอก พร่ำพูดไม่ขาดปาก
“กล้าดีเข้ามาเลย นี่แน่ะ ดาบเดียวจอด เห็นหรือยังไอ้โง่ เข้ามาอีกซี เข้ามา เห็นฝีมือครูข้าเสียมั่ง อ้าวอีกาดำโฮโซอินยืนเฉยอยู่ทำไม ยืนถือหอกเรียงแถวเฉยอยู่ได้ ไม่กล้าสู้กับครูข้าละซี ยืดแขน ก้าวขาไม่ออกเลยรึ กลัวใช่ไหมล่า”
แต่ในฉับพลันนั้น แถวอีกาดำที่เด็กน้อยร้องท้าก็เริ่มเคลื่อนไหว ปลายทวนที่นิ่งอยู่ตลอดเริ่มไหวคมสะท้อนแสงตะวันวิบวับ
“เฮ้ย ไม่ได้การ อีกาดำเคลื่อนขบวนแล้ว
มูซาชิกำลังตกอยู่ในอันตราย
หรือนี่คือวาระสุดท้ายของนักดาบหนุ่มผู้เป็นครู
โจทาโรลืมตัว ออกสิ่งสุดฝีเท้าลงเนินมุ่งไปที่สมรภูมิที่หุบเขาริมหนองน้ำ
ราวกับลูกไฟดวงเล็ก ๆ ที่ลุกโชติช่วง
4
อินชุนเจ้าสำนักโฮโซอินรุ่นที่สองผู้สืบทอดวิชาทวนจนเจนจบจากเจ้าสำนักรุ่นที่หนึ่ง และมีฝีมือเลื่องลือเป็นหนึ่งในวิถีแห่งทวนเปล่งเสียงก้องกังวาน ออกคำสั่งให้เหล่าพระผู้เป็นศิษย์สำนักทวนจำนวนเป็นสิบที่ยืนคันไม้คันมือคุมเชิงนิ่งอยู่
“บุก”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสั่ง เสียงคมทวนในมือของนักรบทุกคนก็แหวกอากาศดังควับลงมาอยู่ในท่าทะลวงแทง พร้อมกับกับนักทวนกระจายตัวออกจากแถวราวกับผึ้งแตกรัง หัวโล้นของพระยิ่งทำให้ดูคล้ายคนป่าสมัยดึกดำบรรพ์ที่ถือหอกออกล่าเหยื่อ ทวนมีหลายชนิด ทั้งแบบง้าว แบบหอก และอีกหลายแบบ ที่นักรบแต่ละคนเลือกใช้ตามความถนัด
คมทวนวาววับกระหายเลือดไม่แพ้เจ้าของที่วิ่งดาหน้าร้องคำรามเข้าหาเหยื่อ
ปลายทวนบางเล่มมีรอยเลือดบ่งบอกว่าได้ดื่มเลือดสังเวยคมมาแล้วไม่คนก็สองคน หรือไม่ก็กว่านั้น
แต่ละคนฮึกเหิมที่จะได้ประลองฝีมือในสนามรบจริงอย่างที่ไม่มีโอกาสมากนัก
---กลยุทธ์แนวใหม่
มูซาชิประเมินแนวรบของคู่ต่อสู้แล้วกระโดดถอยออกมาก้าวหนึ่งเพื่อดูเชิง
ถ้าจะตายก็ตายให้มันดูดีหน่อย
สมองอ่อนล้า แต่มือทั้งสองยังกุมด้ามดาบที่เหนอะหนะไปด้วยเลือดไว้มั่น ตาพร่าพรายด้วยหยาดเหงื่อและเลือดจ้องมองไปข้างหน้า
แต่ เอ๊ะ...
ไม่มีทวนพุ่งเข้าหาสักด้ามเดียว
นี่จะมาไม้ไหน
มูซาชิงงงวยไปหมดกับปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อตรงหน้า
ทำไมน่ะหรือ
ก็ดูนั่นซี...พระนักสำนักโฮโซอินที่คิดว่าจะพุ่งทวนมาที่ตน กลับเงื้อง่าอาวุธในมือเข้าใส่พวกซามูไรไร้นายที่น่าจะเป็นพวกเดียวกันราวกับชาวป่าไล่เหยื่อ ทำเอาพวกนั้นเสียขบวนเปิดหนีกันกระเจิง ใครวิ่งไม่ทันก็ตกเป็นเหยื่อสังเวยคมทวนอย่างไม่ทันตั้งตัว คนที่รอดคมดาบของมูซาชิไปได้อย่างหวุดหวิด พอถูกพระเรียกให้หยุดก่อนก็ดันหยุดเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เลยถูกทวนสอยเข้าให้และเหวี่ยงลอยไปสิ้นชื่ออยู่ในพงหญ้า
“เฮ้ย เฮ้ย บ้าไปแล้วรึ ไอ้พระบ้า ดูให้ดี ๆ นี่พวกเดียวกันนะเว้ย ศัตรูอยู่ทางโน้น”
ยังไม่ทันขาดคำก็สิ้นเสียงและสิ้นใจ นักทวนบ้าเลือด ไล่ล่าฆ่าซามูไรไร้นายอย่างโหดเหี้ยม คนหนึ่งถูกแทงแก้มซ้ายทะลุแก้มขวาเหมือนปลาย่างยังไม่รู้ตัวสะบัดหน้าไปมา ร้องโวยวายจนแผลเหวะหวะและสิ้นใจ สิ้นใจอย่างน่าสมเพทในท่า ต่าง ๆ กันล้วนสยดสยองทั้งสิ้น
การฆ่าหมู่อย่างไร้สิ้นซึ่งความปรานี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของพระสิ้นสุดลง
หุบเขาใกล้หนองน้ำเงียบสนิท เมฆเคลื่อนบังดวงตะวันราวช่วยบังไม่ให้เห็นภาพแสลงใจ
ซามูไรไร้นายทั้งฝูงไม่รู้ว่ากี่สิบคนตายเรียบ ไม่มีใครถูกปล่อยให้เล็ดรอดออกไปบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หนองน้ำของฮันเนียโนะแห่งนี้
มูซาชิยืนกุมดาบในมือแน่น มองการฆ่าหมู่โดยพระนักทวนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
ทำไม ทำไมพระจึงฆ่าพวกเดียวกัน
นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
มูซาชิเองเพิ่งสวมวิญญาณสัตว์ป่าคร่าชีวิตศัตรูไม่เลือกหน้ามาหยก ๆ เลือดยังไม่หายร้อนและยังไม่ตื่นกลับมาเป็นมนุษย์ครบถ้วนดี แต่ก็ยังตะลึงเมื่อได้เห็นการฆ่าหมู่อย่างบ้าเลือดต่อหน้าต่อตา
ความโหดร้ายราวสัตว์ป่าของคนอื่นปลุกความเป็นมนุษย์ของมูซาชิขึ้นมาอีกครั้ง
และเพิ่งเห็นโจทาโรร้องไห้โฮ ๆ จับขาที่แข็งทื่อราวกับถูกฝังลงไปในพื้นดินของเขากับมือทั้งสองเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร