1
“แพ้ คราวนี้ข้าแพ้ราบคาบ”
นักดาบหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียวระหว่างก้าวยาว ๆ ด้วยฝีเท้าที่มั่นคงไปตามทางเล็ก ๆ ในป่าต้นซูงิที่มืดทึบ
ฝูงกวางที่เผอิญอยู่ในวิถีพากันกระโจนหลบตัวปลิวเข้าไปในแมกไม้เป็นเงาวูบวาบ
“ข้าชนะด้วยกำลัง แต่กลับแบกเอาความรู้สึกพ่ายแพ้ออกมาจากสำนักโฮโซอิน...ทำไม...หรือว่านั่นคือหลักฐานที่แสดงว่าแม้ภายนอกข้าจะชนะแต่ข้ากลับพ่ายแพ้พลังภายใน”
หากคนที่เดินผ่านมาวันนั้นเป็นชาวไร่ชาวนาแถวนี้ อาตมาก็คงไม่ผิดแปลกไปจากตาแก่ที่ขุดดินปลูกผักคนหนึ่งเท่านั้นเอง พ่อหนุ่มรู้สึกได้จับสัญญาณพิฆาตของอาตมาได้โดยไม่รู้ว่าที่แท้ก็คือเงาของพ่อหนุ่มเอง ฮะ ฮะ ฮะ...พ่อหนุ่มกระโดดหลบไปหลายก้าวก็เพราะตื่นตระหนกกับเงาตัวเอง...เท่านั้นจริง ๆ
มูซาชิก้มหน้าก้มตาเดินไปพลาง สำนึกถึงความอ่อนโลกของตนเองที่ทำให้แพ้ภูมิปัญญาของหลวงตาผู้เฒ่าที่มองโลกด้วยสายตาที่ลึกล้ำกว่าหลายช่องฉากนัก
“อ๊ะ...”
นักดาบหนุ่มหยุดกึกเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วเหลียวขวับไป
และพอเห็นดวงไฟของโฮโซอินยังสว่างเรืองอยู่ลิบ ๆ ก็ออกวิ่งย้อนกลับไปที่ประตูสำนักอีกครั้งทันที
“มิยาโมโตะที่มาประลองฝีมือเมื่อกี้นี้เองขอรับ”
“อ้อ” หลวงพี่ที่เฝ้าประตูยื่นหน้าออกมาถาม “ลืมอะไรไว้รึ”
“เปล่าขอรับ ไม่ได้ลืมของแต่อยากขอความช่วยเหลือจากหลวงพี่อย่างหนึ่ง คือพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ จะมีคนมาถามหาข้า...มิยาโมโตะ มูซาชิที่นี่ ถ้ามาขอความกรุณาหลวงพี่ช่วยบอกคนคนนั้นว่า มิยาโมโตะพักแรมอยู่แถวบึงซารูซาวะ ให้เที่ยวเดินหาตามโรงเตี๊ยมแถวนั้น”
“อ้อ งั้นรึ”
คำตอบที่เหมือนกับไม่ใส่ใจอะไรนักของหลวงพี่ ทำให้มูซาชิไม่อาจวางใจได้จึงเสริมว่า
“คนที่จะมาถามหาข้าที่นี่ชื่อโจทาโร ยังเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา จึงอยากขอให้หลวงพี่ช่วยเวทนามันด้วย คิดเสียว่าช่วยให้มันไม่ได้กลายเป็นเด็กหลงทาง”
หลังจากพูดย้ำเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว มูซาชิออกเดินกลับไปตามทางเดิมด้วยความเร่งรีบ พลางพึมพำว่า
“ข้าแพ้จริง ๆ...ความพ่ายแพ้หลวงตานิกคันทำให้ปัญญาของข้าดับมึนจนลืมสัญญาที่ให้ไว้กับโจทะโรจนต้องกลับมาที่โฮโซอินอีกครั้ง นับเป็นพ่ายแพ้ซ้ำซ้อนเป็นคำรบสอง”
ทำอย่างไรข้าจึงจะได้เป็นนักรบไร้พ่ายหนึ่งในปฐพี
คือปุจฉาที่ฝังอยู่ในใจของมูซาชิทั้งยามตื่นยามนอน สำแดงอาการให้ปลาบแปลบใจเป็นครั้งคราวเหมือนโรคเรื้อรัง
ดาบด้ามนี้ ดาบคู่กายที่พิชิตคู่ประลองที่สำนักโซโซอินมาอย่างดงามด้ามนี้ ไฉนจึงมีความพ่ายแพ้ด้วยอ่อนด้อยในปัญญาติดมาให้ข่มขื่นหนักหนาปานนี้
อารมณ์หนุ่มหงุดหงิดขุ่นมัวตลอดทางมาจนถึงริมบึงซารูซาวะ
ตั้งแต่ช่วงรัชสมัยเท็นโชเมื่อราวยี่สิบปีมานี้ พื้นที่บริเวณระหว่างบึงซารูซาวะเรื่อยลงไปตามลำแม่น้ำไซงาวะ ได้มีผู้เข้ามาบุกเบิกหักร้างถางพงสร้างบ้านเรือนใหม่ ๆขึ้นมากมาย คละกันไปกับบ้านเก่า ๆ ที่มีมาแต่เดิม จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ โอกูโบะ นางายาซุพนักงานการเกษตรของโชกุนทากุงาวะได้เข้ามาตั้งที่ทำการในตัวเมืองนารา ซึ่งไม่ไกลนักย่านนี้จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นประจวบกับรินนาเซผู้สืบทอดกิจการร้านอาหารจีนของรินโฮจิงเดินทางกลับจากแผ่นดินใหญ่จีน มาได้เปิดร้านซาลาเปาโซอินมันจูขายดิบขายดี และเล็งเห็นว่าเป็นแผ่นดินทองจึงขยายสาขาเข้ามาที่บึงแห่งนี้ด้วย
มูซาชิหยุดยืนหันซ้ายแลขวาอยู่ท่ามกลางแสงสว่างสุกใสที่ลอดออกมาจากร้านรวงรอบข้าง โรงเตี๊ยมมีอยู่มากมายจนตาลายไปหมดไม่รู้ว่าจะเลือกพักแห่งไหนดี จะเลือกแห่งนั้นก็แพงเกินจะเลือกที่ถูกว่าก็ห่างไกลออกไปจากถนนหลัก เกรงว่าโจทาโรจะหายาก
ความจริงก็ได้รับเลี้ยงข้าวชงน้ำชากับผักดองมาหยก ๆ จากสำนักโฮโซอิน แต่พอเดินผ่านร้านซาลาเปาโซอินมันจูก็น้ำลายสอขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นหอมยั่วยวนชวนชิมจึงต้องแวะลงนั่งสั่งมาจัดการเสียถาดหนึ่งให้หายอยาก เจ้าหนุ่มหยิบซาลาเปาร้อน ๆที่ตีตราบนหนังด้วยเหล็กเผาไฟเป็นตัวคันจิอ่านว่า “ริน” ขึ้นกัดเข้าไปเต็มคำ แล้วก็ต้องดื่มด่ำกับรสชาติอันกลมกล่อมและหอมหวนจนต้องหลับตาพริ้ม ต่างจากความรู้สึกเมื่อกัดกินฟักดองของโฮโซอินราวฟ้ากับดิน
“นาย คืนนี้มีที่พักแล้วหรือยัง”
พอดีกับหญิงรับใช้ที่มารินน้ำให้ถามขึ้น และเมื่อมูซาชิตอบว่าไม่ได้ที่เหมาะใจ นางจึงบอกว่าญาติของเจ้าของร้านเปิดบ้านเป็นที่พักแรมเพื่อหาลำไพ่พิเศษน่าจะเหมาะดีและแนะนำให้ไปพัก และยังไม่ทันที่มูซาชิจะตอบว่าอย่างไร ตกลงไปพักหรือไม่ นางก็วิ่งกลับเข้าไปในร้านเรียกหญิงสาวคนหนึ่งออกมา สังเกตจากเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวคิ้วที่ถูกโกนเหลือเป็นแนวสีน้ำเงินเรื่อก็รู้ได้ว่าเป็นเมียเจ้าของร้าน
2
เมียเจ้าของร้านพามูซาชิไปที่บ้านหลังหนึ่งในตรอกเงียบ ๆ ไม่ไกลจากร้านซาลาเปา เคาะประตูรั้วและบอกเจ้าหนุ่มว่า “บ้านพี่สาวดิฉันเอง ไม่ต้องเกรงใจ” รอจนมีคนออกมาต้อนรับนางก็กระซิบอะไรด้วยสองสามคำแล้วลากลับไป หลังจากนั้นคนรับใช้จึงเดินนำหน้ามูซาชิขึ้นไปยังห้องพักชั้นบน
ตัวบ้านและห้องหับของบ้านหลังนี้ดูดีกว่าโรงเตี๊ยมมากนักแต่มูซาชิกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว อยากรู้เหมือนกันว่าบ้านช่องก็ดูดีไม่น่าที่จะต้องเปิดห้องให้คนเดินทางเช่าพักแรมหาลำไพ่พิเศษ ลองถามสาวใช้ดูก็ได้แต่หัวเราะไม่ตอบว่ากระไร เจ้าหนุ่มกินข้าวเย็นมาแล้วจึงอาบน้ำเข้านอนและยังติดใจคิดต่อจนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น มูซาชิบอกกับหญิงรับใช้ว่า
“ข้าอยากพักอยู่อีกสักวันสองวันรอคนที่จะมาหา”
“เชิญเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้คงจะลงไปบอกเจ้าของบ้านเพราะไม่นานต่อมาสาวสวยผิวผ่องยองใยวัยราวสามสิบคนหนึ่งก็ขึ้นมาทักทายให้การต้อนรับถึงห้องพัก มูซาชิอดไม่ได้ที่จะถามถึงข้อสงสัยที่ค้างคาใจอยู่จึงได้ความว่า
นางเป็นแม่ม่ายของนักแสดงละครโนชื่อคันเซะ และที่เปิดบ้านให้เป็นที่พักแรมเพราะพอสามีตายที่บ้านก็เลยกลัวอันตรายเพราะที่บ้านไม่มีผู้ชายสักคน ยิ่งระยะนี้นาราเต็มไปด้วยซามูไรไร้นายที่หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ ที่ดีก็ดีไปที่ชั่วก็ก่อเหตุวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน
แถวคิสึจิมีคนมาเปิดร้านดื่มกินและสำนักนางโลมกันดาษดื่นจนกลายเป็นย่านเริงรมย์เคล้าโลกีย์ หวังค้ากำไรกับพวกซามูไรไร้นาย พวกมีเงินก็ดีไปแต่พวกกระจอกงอกง่อยที่จิตใจต่ำช้าก็มีไม่น้อย และพวกนี้เองที่นางกลัวเพราะระยะนี้เกิดมีการเล่นอุบาทกันขึ้นมาอย่างที่หนุ่ม ๆ ชาวบ้านเรียกกันว่า “เยี่ยมบ้านแม่ม่าย” คือมันจะสืบหาบ้านที่ไม่มีผู้ชายอยู่โดยเฉพาะบ้านแม่ม่ายและจู่โจมเข้าปล้ำทำร้าย มีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อแทบทุกคืน
หลังสงครามที่เซกิงาฮาระ แม้จะไม่มีศึกใหญ่แต่ก็ยังมีการสู้รบกันประปรายทุกปี นักรบฝ่ายแพ้ที่ต้องกลายเป็นซามูไรไร้นายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกแว่นแคว้น ตามเมืองท้ายปราสาทเกิดคดีโจรกรรม หลอกลวงฉ้อฉล ผู้หญิงถูกฉุดคร่ารังแก ยามค่ำคืนเต็มไปด้วยอันตรายไม่มีใครกล้าออกจากบ้านเรือน เป็นยุคสมัยที่สังคมไม่มีความปกติสุข ชาวบ้านเดือดเนื้อร้อนใจไปทั่วทุกหัวระแหง
ที่นาราก็เลวร้ายเช่นกัน แม้แต่เจ้าหน้าที่ปราบปรามที่รัฐบาลโชกุนมอบหมายให้มาประจำการ ที่ว่าเข้มแข็งเด็ดขาดนักก็ยังควบคุมสถานการณ์ให้สงบราบคาบลงไม่ได้
“เข้าใจละ ที่แม่นางเปิดบ้านให้นักเดินทางอย่างข้าเข้าพัก ก็เพื่อใช้เป็นครื่องรางกันผีนั่นเอง”
“ก็บ้านนี้ไม่มีผู้ชายสักคนเดียวนี่เจ้าคะ” แม่ม่ายสาวหัวเราะ มูซาชิจึงอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
“ก็อย่างที่บอก ดังนั้นท่านจะพักอยู่สักกี่วันก็เชิญตามสบาย”
“ขอบใจ ระหว่างที่ข้าพักอยู่ที่นี่แม่นางสบายใจได้ แต่ข้ามีนัดกับคน ๆ หนึ่งมาพบที่นารา แต่ไม่ได้บอกว่าที่ไหน จึงอยากขอให้แม่นางช่วยทำอะไรไปติดไว้เป็นเครื่องหมายที่หน้าประตูรั้วสักหน่อย”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
ว่าแล้วแม่ม่ายสาวก็จัดการเขียนว่า ท่านมินาโมโตะพักอยู่ที่นี่ ลงบนแถบกระดาษเอาไปติดไว้ที่หน้าประตูรั้วราวกับเครื่องรางกันผีจริง ๆ
วันนั้นโจทาโรยังไม่มา จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นก็มีซามูไรสามคนมาถามหาท่านอาจารย์มูซาชิ
หญิงรับใช้เห็นท่วงทีไม่น่าไว้ใจจึงไม่ยอมให้เข้าแต่ก็ดึงดันไม่ยอมกลับไป จนในที่สุดก็เลยต้องพาขึ้นไปพบ
มูซาชิเห็นหน้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นซามูไรที่อยู่ในกลุ่มผู้มาเยือนสำนักโฮโซอิน ได้ชมการประลองฝีมือและเป็นพยานรู้เห็นวินาทีที่ตนพิชิตอากนครูฝึกชั้นหนึ่งของสำนัก
ทั้งสามร้องทักมูซาชิอย่างสนิทสนมราวกับพบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วเข้ามานั่งล้อมรอบนักดาบหนุ่ม
3
“วันนั้นข้าตกตะลึงตาค้างเลยท่าน เกิดมาไม่เคยเห็นการประลองฝีมือที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน”
พอนั่งลงเข้าที่เข้าทางทั้งสามก็ผลัดกันเยินยอนักดาบหนุ่มแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะไม่ขาดปาก
“ข้าแน่ใจว่าตั้งแต่ก่อตั้งสำนักขึ้นมา ต้องไม่เคยมีผู้มาเยือนโฮโซอินคนใดบังอาจล้มหนึ่งในเจ็ดศิษย์เอกได้แบบไม้เดียวดับได้อย่างท่าน โดยเฉพาะอากนร่างยักษ์จอมโหด บอกตามตรงเลยข้าสะใจจริงที่เห็นหมอนั่นถูกดาบไม้ท่านเข้ากลางกบาล ลงไปนอนนิ่งครางเหมือนสัตว์ป่วย เลือดนองพื้นโรงฝึก การต่อสู้แบบนี้หาดูที่ไหนไม่ได้แน่นอนจริงไหมท่าน”
“พวกที่ดูอยู่ด้วยกันตื่นตะลึงกันไปหมด จนป่านนี้ก็ยังกล่าวขวัญกันไม่จบ เจอใครเป็นเล่าเจอใครเป็นสรรเสริญฝีมือของท่านให้ฟังกันไปทั่ว ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถามกันว่ามิยาโมโตะ มูซาชิผู้นี้คือใคร ท่านดังแต่ในเวลาเดียวกันสำนัก โฮโซอินก็เสียชื่อ ครูฝึกมือเอกของสำนักถูกซามูไรต่างถิ่นปราบถึงตาย ไม่มีอะไรจะขายขี้หน้าไปกว่านี้อีกแล้ว”
“คนมีฝีมืออย่างท่านคู่ควรกับคำว่านักดาบผู้เป็นหนึ่งในปฐพีโดยแท้”
“อายุอานามก็ยังหนุ่มแน่น”
“อนาคตไกลแน่นอน”
“ขออภัยหากจะเป็นการล่วงเกิน แต่ข้าอยากบอกท่านว่าการที่คนมีฝีมืออย่างท่านออกเดินทางร่อนเร่เป็นซามูไรพเนจรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก”
หญิงรับใช้เอาน้ำชากับขนมกรุบกรอบมาวางไว้ให้ ทั้งสามพูดพลางดื่มน้ำชาอั๊ก ๆ เคี้ยวขนมไม่หยุดปาก เศษขนมเกลื่อนอยู่บนตัก หมดแล้วเอาให้อีกก็ดื่มอีกกินอีก
แต่ละคนช่างสรรหาถ้อยคำมาเยินยอจนมูซาชิวางหน้าไม่ถูก จึงวางหน้าเฉยแม้จะอยากหัวเราะด้วยความขบขัน ปล่อยให้เจื้อยแจ้วกันไปจนกว่าจะเหนื่อยและหยุดไปเอง
เมื่อไม่เห็นว่าจะเหนื่อยและหยุดกันเสียที เจ้าหนุ่มจึงขัดจังหวะด้วยการถามชื่อเสียงเรียงนาม
“ใช่ ๆ มัวแต่ตื่นเต้นที่หาตัวท่านจนพบเลยเสียมารยาทไม่แนะนำตัวตามธรรมเนียม เราสามคนเป็นบริวารของตระกูล กาโม ข้าชื่อยามาโซเอะ ดันปาจิ”
“ข้าชื่อโอโทโมะ บันริว กำลังศึกษาวิชาดาบสำนักโบกุเด็น และใฝ่ฝันที่จะได้เป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค”
“ส่วนข้าชื่อยาซูกาวะ ยาซูเบ ตั้งแต่ท่านโอดะสิ้นอำนาจพ่อข้ากลายเป็นซามูไรไร้นายและข้าก็ตามรอยพ่อ” ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
เอาละรู้ชื่อเสียงเรียงนามกันแล้ว แต่ที่ยังไม่รู้คือด้วยเหตุผลกลใดคนทั้งสามจึงเสียเวลาอันมีค่าตามมารบกวนเวลาอันมีค่าของคนอื่นเยี่ยงนี้ ถ้าไม่ถามเองก็คงไม่มีใครบอกและมันก็จะค้างคาใจอยู่อย่างนั้น มูซาชิถึงถามขึ้นเมื่อได้ช่อง
“ท่าน มีธุระอะไรกับข้ารึ ถึงได้พากันมาถึงที่นี่”
“จริงด้วย ใช่ ใช่”
ทั้งสามมองหน้ากันเพราะเพิ่งนึกถึงธุระสำคัญที่ตั้งใจมาปรึกษากับเจ้าหนุ่มนักดาบฝีมือดีคนนี้ขึ้นมาได้
---ไม่มีอะไรมากคือ เราวางแผนจัดงานบันเทิงขึ้นที่เชิงเขาคาซูงะของนารานี้เอง เมื่อพูดถึงงานบันเทิงส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงละครโน บ้างเอาตัวอะไรประหลาด ๆ มาแสดงให้ดูบ้าง แต่ของเรามาแปลกคือเราจะจัดการประลองวิทยายุทธ์ เพื่อสอนชาวบ้านให้เข้าใจศิลปะการป้องกันตัว และเพื่อดึงดูดความสนใจจึงจะจัดให้ชาวบ้านสนุกกับการพนันขันต่อกันด้วย
ตอนนี้โรงจัดการแข่งขันจวนเสร็จแล้วและคาดว่าจะเรียกคนได้มากพอดู แต่มาตรองดูแล้วมีตัวประลองยืนโรงอยู่แค่เราสามคนคงไม่พอแน่ เพราะถ้าเกิดมีซามูไรมือดีจริง ๆ มาลงแข่ง เงินเดิมพันที่อุตส่าห์ได้มาอาจจะถูกกินไปหมด จริง ๆ แล้วที่มาวันนี้ก็เพื่อจะเจรจากับท่าน อยากให้ท่านเข้าร่วมจัดงานกับเราอีกคน ถ้าตกลงได้กำไรเท่าไรเราก็จะแบ่งเท่า ๆ กัน ส่วนค่าของกินค่าเช่าที่พักแรมระหว่างจัดงานทางเราจะจ่ายให้ทั้งหมด เรามาร่วมลงทุนกันดีไหม จะได้เอากำไรไปใช้เป็นค่าเดินทางเล่าเรียนวิทยายุทธ์กันต่อไป ท่านสนใจไหม
มูซาชินิ่งฟังคำชวนของคนทั้งสาม แรก ๆ ก็สนุกดีอยู่แต่นานเข้าก็ชักเบื่อจึงขัดขึ้นว่า
“ไม่ละ ถ้าเป็นธุระเรื่องนี้ก็อย่ามาปรึกษากับข้าเลย ข้าไม่สนใจ”
เจ้าหนุ่มปฏิเสธเสียงดังชัดเจน ทั้งสามมองหน้ากันเหมือนไม่เชื่อหู และคาดคั้น
“ทำไม”
มาถึงจุดนี้มูซาชิชักจะโมโห และระเบิดเสียงเฉียบขาดออกมาด้วยพลังหนุ่ม
“ข้าไม่ใช่นักเลงพนัน กินข้าวด้วยตะเกียบ ไม่ได้กินด้วยดาบไม้”
“อะไรวะ ไหนพูดอีกทีสิ”
“พูดชัดออกอย่างนี้แล้วยังไม่เข้าอีกรึ บ้าหรือเปล่า รู้ไว้ด้วยว่ามิยาโมโตะเป็นนักดาบ ถึงจะอดถึงจะตายก็จะอดจะตายอย่างนักดาบ บ้าที่สุด ไป้...ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้”
“แพ้ คราวนี้ข้าแพ้ราบคาบ”
นักดาบหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียวระหว่างก้าวยาว ๆ ด้วยฝีเท้าที่มั่นคงไปตามทางเล็ก ๆ ในป่าต้นซูงิที่มืดทึบ
ฝูงกวางที่เผอิญอยู่ในวิถีพากันกระโจนหลบตัวปลิวเข้าไปในแมกไม้เป็นเงาวูบวาบ
“ข้าชนะด้วยกำลัง แต่กลับแบกเอาความรู้สึกพ่ายแพ้ออกมาจากสำนักโฮโซอิน...ทำไม...หรือว่านั่นคือหลักฐานที่แสดงว่าแม้ภายนอกข้าจะชนะแต่ข้ากลับพ่ายแพ้พลังภายใน”
หากคนที่เดินผ่านมาวันนั้นเป็นชาวไร่ชาวนาแถวนี้ อาตมาก็คงไม่ผิดแปลกไปจากตาแก่ที่ขุดดินปลูกผักคนหนึ่งเท่านั้นเอง พ่อหนุ่มรู้สึกได้จับสัญญาณพิฆาตของอาตมาได้โดยไม่รู้ว่าที่แท้ก็คือเงาของพ่อหนุ่มเอง ฮะ ฮะ ฮะ...พ่อหนุ่มกระโดดหลบไปหลายก้าวก็เพราะตื่นตระหนกกับเงาตัวเอง...เท่านั้นจริง ๆ
มูซาชิก้มหน้าก้มตาเดินไปพลาง สำนึกถึงความอ่อนโลกของตนเองที่ทำให้แพ้ภูมิปัญญาของหลวงตาผู้เฒ่าที่มองโลกด้วยสายตาที่ลึกล้ำกว่าหลายช่องฉากนัก
“อ๊ะ...”
นักดาบหนุ่มหยุดกึกเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วเหลียวขวับไป
และพอเห็นดวงไฟของโฮโซอินยังสว่างเรืองอยู่ลิบ ๆ ก็ออกวิ่งย้อนกลับไปที่ประตูสำนักอีกครั้งทันที
“มิยาโมโตะที่มาประลองฝีมือเมื่อกี้นี้เองขอรับ”
“อ้อ” หลวงพี่ที่เฝ้าประตูยื่นหน้าออกมาถาม “ลืมอะไรไว้รึ”
“เปล่าขอรับ ไม่ได้ลืมของแต่อยากขอความช่วยเหลือจากหลวงพี่อย่างหนึ่ง คือพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ จะมีคนมาถามหาข้า...มิยาโมโตะ มูซาชิที่นี่ ถ้ามาขอความกรุณาหลวงพี่ช่วยบอกคนคนนั้นว่า มิยาโมโตะพักแรมอยู่แถวบึงซารูซาวะ ให้เที่ยวเดินหาตามโรงเตี๊ยมแถวนั้น”
“อ้อ งั้นรึ”
คำตอบที่เหมือนกับไม่ใส่ใจอะไรนักของหลวงพี่ ทำให้มูซาชิไม่อาจวางใจได้จึงเสริมว่า
“คนที่จะมาถามหาข้าที่นี่ชื่อโจทาโร ยังเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา จึงอยากขอให้หลวงพี่ช่วยเวทนามันด้วย คิดเสียว่าช่วยให้มันไม่ได้กลายเป็นเด็กหลงทาง”
หลังจากพูดย้ำเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว มูซาชิออกเดินกลับไปตามทางเดิมด้วยความเร่งรีบ พลางพึมพำว่า
“ข้าแพ้จริง ๆ...ความพ่ายแพ้หลวงตานิกคันทำให้ปัญญาของข้าดับมึนจนลืมสัญญาที่ให้ไว้กับโจทะโรจนต้องกลับมาที่โฮโซอินอีกครั้ง นับเป็นพ่ายแพ้ซ้ำซ้อนเป็นคำรบสอง”
ทำอย่างไรข้าจึงจะได้เป็นนักรบไร้พ่ายหนึ่งในปฐพี
คือปุจฉาที่ฝังอยู่ในใจของมูซาชิทั้งยามตื่นยามนอน สำแดงอาการให้ปลาบแปลบใจเป็นครั้งคราวเหมือนโรคเรื้อรัง
ดาบด้ามนี้ ดาบคู่กายที่พิชิตคู่ประลองที่สำนักโซโซอินมาอย่างดงามด้ามนี้ ไฉนจึงมีความพ่ายแพ้ด้วยอ่อนด้อยในปัญญาติดมาให้ข่มขื่นหนักหนาปานนี้
อารมณ์หนุ่มหงุดหงิดขุ่นมัวตลอดทางมาจนถึงริมบึงซารูซาวะ
ตั้งแต่ช่วงรัชสมัยเท็นโชเมื่อราวยี่สิบปีมานี้ พื้นที่บริเวณระหว่างบึงซารูซาวะเรื่อยลงไปตามลำแม่น้ำไซงาวะ ได้มีผู้เข้ามาบุกเบิกหักร้างถางพงสร้างบ้านเรือนใหม่ ๆขึ้นมากมาย คละกันไปกับบ้านเก่า ๆ ที่มีมาแต่เดิม จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ โอกูโบะ นางายาซุพนักงานการเกษตรของโชกุนทากุงาวะได้เข้ามาตั้งที่ทำการในตัวเมืองนารา ซึ่งไม่ไกลนักย่านนี้จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นประจวบกับรินนาเซผู้สืบทอดกิจการร้านอาหารจีนของรินโฮจิงเดินทางกลับจากแผ่นดินใหญ่จีน มาได้เปิดร้านซาลาเปาโซอินมันจูขายดิบขายดี และเล็งเห็นว่าเป็นแผ่นดินทองจึงขยายสาขาเข้ามาที่บึงแห่งนี้ด้วย
มูซาชิหยุดยืนหันซ้ายแลขวาอยู่ท่ามกลางแสงสว่างสุกใสที่ลอดออกมาจากร้านรวงรอบข้าง โรงเตี๊ยมมีอยู่มากมายจนตาลายไปหมดไม่รู้ว่าจะเลือกพักแห่งไหนดี จะเลือกแห่งนั้นก็แพงเกินจะเลือกที่ถูกว่าก็ห่างไกลออกไปจากถนนหลัก เกรงว่าโจทาโรจะหายาก
ความจริงก็ได้รับเลี้ยงข้าวชงน้ำชากับผักดองมาหยก ๆ จากสำนักโฮโซอิน แต่พอเดินผ่านร้านซาลาเปาโซอินมันจูก็น้ำลายสอขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นหอมยั่วยวนชวนชิมจึงต้องแวะลงนั่งสั่งมาจัดการเสียถาดหนึ่งให้หายอยาก เจ้าหนุ่มหยิบซาลาเปาร้อน ๆที่ตีตราบนหนังด้วยเหล็กเผาไฟเป็นตัวคันจิอ่านว่า “ริน” ขึ้นกัดเข้าไปเต็มคำ แล้วก็ต้องดื่มด่ำกับรสชาติอันกลมกล่อมและหอมหวนจนต้องหลับตาพริ้ม ต่างจากความรู้สึกเมื่อกัดกินฟักดองของโฮโซอินราวฟ้ากับดิน
“นาย คืนนี้มีที่พักแล้วหรือยัง”
พอดีกับหญิงรับใช้ที่มารินน้ำให้ถามขึ้น และเมื่อมูซาชิตอบว่าไม่ได้ที่เหมาะใจ นางจึงบอกว่าญาติของเจ้าของร้านเปิดบ้านเป็นที่พักแรมเพื่อหาลำไพ่พิเศษน่าจะเหมาะดีและแนะนำให้ไปพัก และยังไม่ทันที่มูซาชิจะตอบว่าอย่างไร ตกลงไปพักหรือไม่ นางก็วิ่งกลับเข้าไปในร้านเรียกหญิงสาวคนหนึ่งออกมา สังเกตจากเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวคิ้วที่ถูกโกนเหลือเป็นแนวสีน้ำเงินเรื่อก็รู้ได้ว่าเป็นเมียเจ้าของร้าน
2
เมียเจ้าของร้านพามูซาชิไปที่บ้านหลังหนึ่งในตรอกเงียบ ๆ ไม่ไกลจากร้านซาลาเปา เคาะประตูรั้วและบอกเจ้าหนุ่มว่า “บ้านพี่สาวดิฉันเอง ไม่ต้องเกรงใจ” รอจนมีคนออกมาต้อนรับนางก็กระซิบอะไรด้วยสองสามคำแล้วลากลับไป หลังจากนั้นคนรับใช้จึงเดินนำหน้ามูซาชิขึ้นไปยังห้องพักชั้นบน
ตัวบ้านและห้องหับของบ้านหลังนี้ดูดีกว่าโรงเตี๊ยมมากนักแต่มูซาชิกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว อยากรู้เหมือนกันว่าบ้านช่องก็ดูดีไม่น่าที่จะต้องเปิดห้องให้คนเดินทางเช่าพักแรมหาลำไพ่พิเศษ ลองถามสาวใช้ดูก็ได้แต่หัวเราะไม่ตอบว่ากระไร เจ้าหนุ่มกินข้าวเย็นมาแล้วจึงอาบน้ำเข้านอนและยังติดใจคิดต่อจนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น มูซาชิบอกกับหญิงรับใช้ว่า
“ข้าอยากพักอยู่อีกสักวันสองวันรอคนที่จะมาหา”
“เชิญเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้คงจะลงไปบอกเจ้าของบ้านเพราะไม่นานต่อมาสาวสวยผิวผ่องยองใยวัยราวสามสิบคนหนึ่งก็ขึ้นมาทักทายให้การต้อนรับถึงห้องพัก มูซาชิอดไม่ได้ที่จะถามถึงข้อสงสัยที่ค้างคาใจอยู่จึงได้ความว่า
นางเป็นแม่ม่ายของนักแสดงละครโนชื่อคันเซะ และที่เปิดบ้านให้เป็นที่พักแรมเพราะพอสามีตายที่บ้านก็เลยกลัวอันตรายเพราะที่บ้านไม่มีผู้ชายสักคน ยิ่งระยะนี้นาราเต็มไปด้วยซามูไรไร้นายที่หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ ที่ดีก็ดีไปที่ชั่วก็ก่อเหตุวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน
แถวคิสึจิมีคนมาเปิดร้านดื่มกินและสำนักนางโลมกันดาษดื่นจนกลายเป็นย่านเริงรมย์เคล้าโลกีย์ หวังค้ากำไรกับพวกซามูไรไร้นาย พวกมีเงินก็ดีไปแต่พวกกระจอกงอกง่อยที่จิตใจต่ำช้าก็มีไม่น้อย และพวกนี้เองที่นางกลัวเพราะระยะนี้เกิดมีการเล่นอุบาทกันขึ้นมาอย่างที่หนุ่ม ๆ ชาวบ้านเรียกกันว่า “เยี่ยมบ้านแม่ม่าย” คือมันจะสืบหาบ้านที่ไม่มีผู้ชายอยู่โดยเฉพาะบ้านแม่ม่ายและจู่โจมเข้าปล้ำทำร้าย มีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อแทบทุกคืน
หลังสงครามที่เซกิงาฮาระ แม้จะไม่มีศึกใหญ่แต่ก็ยังมีการสู้รบกันประปรายทุกปี นักรบฝ่ายแพ้ที่ต้องกลายเป็นซามูไรไร้นายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกแว่นแคว้น ตามเมืองท้ายปราสาทเกิดคดีโจรกรรม หลอกลวงฉ้อฉล ผู้หญิงถูกฉุดคร่ารังแก ยามค่ำคืนเต็มไปด้วยอันตรายไม่มีใครกล้าออกจากบ้านเรือน เป็นยุคสมัยที่สังคมไม่มีความปกติสุข ชาวบ้านเดือดเนื้อร้อนใจไปทั่วทุกหัวระแหง
ที่นาราก็เลวร้ายเช่นกัน แม้แต่เจ้าหน้าที่ปราบปรามที่รัฐบาลโชกุนมอบหมายให้มาประจำการ ที่ว่าเข้มแข็งเด็ดขาดนักก็ยังควบคุมสถานการณ์ให้สงบราบคาบลงไม่ได้
“เข้าใจละ ที่แม่นางเปิดบ้านให้นักเดินทางอย่างข้าเข้าพัก ก็เพื่อใช้เป็นครื่องรางกันผีนั่นเอง”
“ก็บ้านนี้ไม่มีผู้ชายสักคนเดียวนี่เจ้าคะ” แม่ม่ายสาวหัวเราะ มูซาชิจึงอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
“ก็อย่างที่บอก ดังนั้นท่านจะพักอยู่สักกี่วันก็เชิญตามสบาย”
“ขอบใจ ระหว่างที่ข้าพักอยู่ที่นี่แม่นางสบายใจได้ แต่ข้ามีนัดกับคน ๆ หนึ่งมาพบที่นารา แต่ไม่ได้บอกว่าที่ไหน จึงอยากขอให้แม่นางช่วยทำอะไรไปติดไว้เป็นเครื่องหมายที่หน้าประตูรั้วสักหน่อย”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
ว่าแล้วแม่ม่ายสาวก็จัดการเขียนว่า ท่านมินาโมโตะพักอยู่ที่นี่ ลงบนแถบกระดาษเอาไปติดไว้ที่หน้าประตูรั้วราวกับเครื่องรางกันผีจริง ๆ
วันนั้นโจทาโรยังไม่มา จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นก็มีซามูไรสามคนมาถามหาท่านอาจารย์มูซาชิ
หญิงรับใช้เห็นท่วงทีไม่น่าไว้ใจจึงไม่ยอมให้เข้าแต่ก็ดึงดันไม่ยอมกลับไป จนในที่สุดก็เลยต้องพาขึ้นไปพบ
มูซาชิเห็นหน้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นซามูไรที่อยู่ในกลุ่มผู้มาเยือนสำนักโฮโซอิน ได้ชมการประลองฝีมือและเป็นพยานรู้เห็นวินาทีที่ตนพิชิตอากนครูฝึกชั้นหนึ่งของสำนัก
ทั้งสามร้องทักมูซาชิอย่างสนิทสนมราวกับพบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วเข้ามานั่งล้อมรอบนักดาบหนุ่ม
3
“วันนั้นข้าตกตะลึงตาค้างเลยท่าน เกิดมาไม่เคยเห็นการประลองฝีมือที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน”
พอนั่งลงเข้าที่เข้าทางทั้งสามก็ผลัดกันเยินยอนักดาบหนุ่มแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะไม่ขาดปาก
“ข้าแน่ใจว่าตั้งแต่ก่อตั้งสำนักขึ้นมา ต้องไม่เคยมีผู้มาเยือนโฮโซอินคนใดบังอาจล้มหนึ่งในเจ็ดศิษย์เอกได้แบบไม้เดียวดับได้อย่างท่าน โดยเฉพาะอากนร่างยักษ์จอมโหด บอกตามตรงเลยข้าสะใจจริงที่เห็นหมอนั่นถูกดาบไม้ท่านเข้ากลางกบาล ลงไปนอนนิ่งครางเหมือนสัตว์ป่วย เลือดนองพื้นโรงฝึก การต่อสู้แบบนี้หาดูที่ไหนไม่ได้แน่นอนจริงไหมท่าน”
“พวกที่ดูอยู่ด้วยกันตื่นตะลึงกันไปหมด จนป่านนี้ก็ยังกล่าวขวัญกันไม่จบ เจอใครเป็นเล่าเจอใครเป็นสรรเสริญฝีมือของท่านให้ฟังกันไปทั่ว ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถามกันว่ามิยาโมโตะ มูซาชิผู้นี้คือใคร ท่านดังแต่ในเวลาเดียวกันสำนัก โฮโซอินก็เสียชื่อ ครูฝึกมือเอกของสำนักถูกซามูไรต่างถิ่นปราบถึงตาย ไม่มีอะไรจะขายขี้หน้าไปกว่านี้อีกแล้ว”
“คนมีฝีมืออย่างท่านคู่ควรกับคำว่านักดาบผู้เป็นหนึ่งในปฐพีโดยแท้”
“อายุอานามก็ยังหนุ่มแน่น”
“อนาคตไกลแน่นอน”
“ขออภัยหากจะเป็นการล่วงเกิน แต่ข้าอยากบอกท่านว่าการที่คนมีฝีมืออย่างท่านออกเดินทางร่อนเร่เป็นซามูไรพเนจรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก”
หญิงรับใช้เอาน้ำชากับขนมกรุบกรอบมาวางไว้ให้ ทั้งสามพูดพลางดื่มน้ำชาอั๊ก ๆ เคี้ยวขนมไม่หยุดปาก เศษขนมเกลื่อนอยู่บนตัก หมดแล้วเอาให้อีกก็ดื่มอีกกินอีก
แต่ละคนช่างสรรหาถ้อยคำมาเยินยอจนมูซาชิวางหน้าไม่ถูก จึงวางหน้าเฉยแม้จะอยากหัวเราะด้วยความขบขัน ปล่อยให้เจื้อยแจ้วกันไปจนกว่าจะเหนื่อยและหยุดไปเอง
เมื่อไม่เห็นว่าจะเหนื่อยและหยุดกันเสียที เจ้าหนุ่มจึงขัดจังหวะด้วยการถามชื่อเสียงเรียงนาม
“ใช่ ๆ มัวแต่ตื่นเต้นที่หาตัวท่านจนพบเลยเสียมารยาทไม่แนะนำตัวตามธรรมเนียม เราสามคนเป็นบริวารของตระกูล กาโม ข้าชื่อยามาโซเอะ ดันปาจิ”
“ข้าชื่อโอโทโมะ บันริว กำลังศึกษาวิชาดาบสำนักโบกุเด็น และใฝ่ฝันที่จะได้เป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค”
“ส่วนข้าชื่อยาซูกาวะ ยาซูเบ ตั้งแต่ท่านโอดะสิ้นอำนาจพ่อข้ากลายเป็นซามูไรไร้นายและข้าก็ตามรอยพ่อ” ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
เอาละรู้ชื่อเสียงเรียงนามกันแล้ว แต่ที่ยังไม่รู้คือด้วยเหตุผลกลใดคนทั้งสามจึงเสียเวลาอันมีค่าตามมารบกวนเวลาอันมีค่าของคนอื่นเยี่ยงนี้ ถ้าไม่ถามเองก็คงไม่มีใครบอกและมันก็จะค้างคาใจอยู่อย่างนั้น มูซาชิถึงถามขึ้นเมื่อได้ช่อง
“ท่าน มีธุระอะไรกับข้ารึ ถึงได้พากันมาถึงที่นี่”
“จริงด้วย ใช่ ใช่”
ทั้งสามมองหน้ากันเพราะเพิ่งนึกถึงธุระสำคัญที่ตั้งใจมาปรึกษากับเจ้าหนุ่มนักดาบฝีมือดีคนนี้ขึ้นมาได้
---ไม่มีอะไรมากคือ เราวางแผนจัดงานบันเทิงขึ้นที่เชิงเขาคาซูงะของนารานี้เอง เมื่อพูดถึงงานบันเทิงส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงละครโน บ้างเอาตัวอะไรประหลาด ๆ มาแสดงให้ดูบ้าง แต่ของเรามาแปลกคือเราจะจัดการประลองวิทยายุทธ์ เพื่อสอนชาวบ้านให้เข้าใจศิลปะการป้องกันตัว และเพื่อดึงดูดความสนใจจึงจะจัดให้ชาวบ้านสนุกกับการพนันขันต่อกันด้วย
ตอนนี้โรงจัดการแข่งขันจวนเสร็จแล้วและคาดว่าจะเรียกคนได้มากพอดู แต่มาตรองดูแล้วมีตัวประลองยืนโรงอยู่แค่เราสามคนคงไม่พอแน่ เพราะถ้าเกิดมีซามูไรมือดีจริง ๆ มาลงแข่ง เงินเดิมพันที่อุตส่าห์ได้มาอาจจะถูกกินไปหมด จริง ๆ แล้วที่มาวันนี้ก็เพื่อจะเจรจากับท่าน อยากให้ท่านเข้าร่วมจัดงานกับเราอีกคน ถ้าตกลงได้กำไรเท่าไรเราก็จะแบ่งเท่า ๆ กัน ส่วนค่าของกินค่าเช่าที่พักแรมระหว่างจัดงานทางเราจะจ่ายให้ทั้งหมด เรามาร่วมลงทุนกันดีไหม จะได้เอากำไรไปใช้เป็นค่าเดินทางเล่าเรียนวิทยายุทธ์กันต่อไป ท่านสนใจไหม
มูซาชินิ่งฟังคำชวนของคนทั้งสาม แรก ๆ ก็สนุกดีอยู่แต่นานเข้าก็ชักเบื่อจึงขัดขึ้นว่า
“ไม่ละ ถ้าเป็นธุระเรื่องนี้ก็อย่ามาปรึกษากับข้าเลย ข้าไม่สนใจ”
เจ้าหนุ่มปฏิเสธเสียงดังชัดเจน ทั้งสามมองหน้ากันเหมือนไม่เชื่อหู และคาดคั้น
“ทำไม”
มาถึงจุดนี้มูซาชิชักจะโมโห และระเบิดเสียงเฉียบขาดออกมาด้วยพลังหนุ่ม
“ข้าไม่ใช่นักเลงพนัน กินข้าวด้วยตะเกียบ ไม่ได้กินด้วยดาบไม้”
“อะไรวะ ไหนพูดอีกทีสิ”
“พูดชัดออกอย่างนี้แล้วยังไม่เข้าอีกรึ บ้าหรือเปล่า รู้ไว้ด้วยว่ามิยาโมโตะเป็นนักดาบ ถึงจะอดถึงจะตายก็จะอดจะตายอย่างนักดาบ บ้าที่สุด ไป้...ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้”