สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว เพื่อนๆ ชอบเดินทางท่องเที่ยวไหมครับ ตอนที่ผมมีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นนิยมเดินทางท่องเที่ยวแนวแบ็คแพ็คเกอร์ Backpacker ที่ได้รับความนิยมจากนักเดินทางทั่วโลก แม้ตอนนั้นสื่อสังคมออนไลน์ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่นปัจจุบัน การหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ จะหาอ่านจากหนังสือ นิตยสาร หรือการฝากข้อความตามกระดานข้อความที่เกสต์เฮาส์ต่างๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง จะเห็นว่าเมื่อสัก 20 ปีก่อนจะเจอนักเดินทางแนวนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นและที่ถนนข้าวสารนี่แหล่งเลยครับ เยอะมากจริงๆ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องถนนข้าวสาร สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนญี่ปุ่นสมัยก่อน ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็แนะนำให้มาพักแถวนั้น ที่ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวญี่ปุ่นแนวแบ็คแพ็คเกอร์ชอบไปมาก ถึงขนาดที่ว่ามีคนไทยบอกว่าดูเอาเถอะแค่เดินๆ ไปนี่ยังไงก็ต้องเจอคนญี่ปุ่น ถ้ามี 5 คนอุปมาเหมือนギニュー特戦隊, Ginyū Tokusentai ก็จะมีคนญี่ปุ่นคนหนึ่งในนั้นโพกหัวด้วยผ้าขนหนูสีขาวอยู่ด้วยแน่ๆ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่ที่ถนนข้าวสาร แต่ที่อื่นๆ ก็แทบจะไม่มีวัยรุ่นญี่ปุ่นออกเดินทางท่องเที่ยวเลย
ตอนที่ผมเดินทางท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ก็มีโอกาสไปเที่ยวหลายประเทศ โดยนั่งเครื่องบินจากญี่ปุ่นมาต่อเครื่องบินเพื่อไปประเทศอื่นๆ ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นผมก็จะมีโอกาสมากรุงเทพฯ บ่อย ผมมักจะเดินทางคนเดียวเพราะมีความอิสระและสามารถตัดสินใจเลือกที่จะไปไหนทำอะไรได้เลย แต่การท่องเที่ยวคนเดียวต้องหาข้อมูลและวางแผนดีๆ ครับ มีเรื่องเสี่ยงบ้างบางครั้งซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะถ้าไปคนเดียวเกิดอันตรายอะไรขึ้นมาก็ไม่มีคนรู้ ไม่มีเพื่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมมาเที่ยวเมืองไทยผมเคยเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดโดยรถไฟและต่อรถมาถึงถนนข้าวสารประมาณตีสอง และยังไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า ตอนนั้นเดินหาเกสต์เฮาส์หรือที่พักที่ไหนก็ไม่มีที่พักว่างเลย รู้สึกกังวลมากเพราะว่าดึกแล้วที่จริงจะเช้าแล้วด้วยซ้ำ ตอนที่เดินหาที่พักก็มีหนุ่มเนปาลคนหนึ่งมาชวนผมไปพักด้วย ผมก็กลัวๆ เขาก็โชว์หนังสือเดินทางว่ามาจากไหนอย่างไร ยังโชคดีที่ตอนนั้นมีเพื่อนคนไทยคนหนึ่งที่บ้านเค้าอยู่แถวนั้น เค้ารู้ว่าผมจะมาถึงกรุงเทพฯ และมาที่ถนนข้าวสารดึกมาก เขาจึงมาดักรอผมอยู่แถวถนนข้าวสารนั่นเองและผมก็บังเอิญเจอเค้าจริงๆ คือต้องบอกว่าสมัยนั้นผมไม่มีโทรศัพท์มือถือนะครับ ถ้าติดต่อใครก็ต้องหยอดตู้โทรศัพท์เอา ถ้าบังเอิญเจอกันนี่ก็ดวงสมพงษ์กันละครับ เมื่อผมเจอเพื่อนก็เลยถือโอกาสไปกับเขา ถ้าไม่เจอเพื่อนคนไทยคนนี้ไม่รู้ว่าผมจะพักที่ไหน หรือถ้าเกิดไปกับหนุ่มเนปาลที่มาชวนไปห้องก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรเหมือนกัน
อย่างที่บอกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป จะหาข้อมูลโดยการอ่านหนังสือท่องเที่ยวแนวแบ็คแพ็คเกอร์ ซึ่งผมเองก็ชอบหนังสือแนวนี้อยู่เล่มหนึ่งซึ่งคนที่เขียนเค้าแนะนำว่าแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวคิดไม่ถึงว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากอีกแห่งหนึ่ง คนอื่นอาจจะมองข้ามไปแต่ว่าตัวผู้เขียนเองแนะนำอย่างมากก็คือประเทศอินเดีย เพราะว่าเป็นเมืองที่เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์และไม่ได้อันตรายมากอย่างที่คนจินตนาการ นอกจากนั้นคนส่วนใหญ่ที่นั่นสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ทำให้การสื่อสารไม่ยากลำบากมาก แต่ตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าอินเดียน่ากลัว ช่วงวัยรุ่นจึงยังไม่มีโอกาสไปอินเดียจนกระทั่งหลังจากที่ลาออกจากงานที่ญี่ปุ่นแล้ว พอมีเวลาว่างอีกครั้งจึงได้ถือโอกาสลองไปเที่ยวอินเดียสักครั้งหนึ่งในชีวิต
ในหนังสือนั้นแนะนำว่าควรจะไปที่อินเดียใต้ เพราะมีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์กว่า มีพวกมิจฉาชีพหรือนักต้มตุ๋นโกหกหลอกลวงน้อยกว่าโซนอื่น คือต้องบอกว่าการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนั้นสนุกจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะไปที่เมืองไหนก็ตื่นตาตื่นใจมีแต่ความสนุกและรู้สึกชอบไม่ค่อยมีเรื่องที่ผมรู้สึกไม่ชอบเท่าใดนัก ตอนนั้นได้มีโอกาสไปเที่ยวโบราณสถานเป็นเมืองโบราณวิจิตรก็สวยงามมาก ไปเที่ยวตรงไหนมักจะมีคนอินเดียมาขอถ่ายรูปด้วย คงเพราะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ผิวขาวแปลกตาจากคนทั่วไป เด็กๆ อินเดียเค้าก็จะมาขอถ่ายรูปด้วยคงจะแปลกใจว่ามีคนต่างถิ่นมาเที่ยว วันหนึ่งเดินทางจากเชนไน (Chennai) ไป มหาบาลีปุรัม (Mahabalipuram) เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางที่แทบจะไม่มีที่หายใจเพราะว่าแน่นมากๆ อัดเป็นปลากระป๋องมาก แต่ได้อารมณ์คนท้องถิ่นจริง หรือตอนที่รอขึ้นรถที่สถานีรถประจำทาง ก็ได้นั่งมองวิถีชีวิตผู้คน นั่งดูคนเดียวบางคนก็เดินทางคนเดียว บ้างก็มาเป็นครอบครัวแค่นี้ก็รู้สึกว่าตื่นเต้นและได้เห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันทำให้รู้สึกสนุกและได้เห็นสีสันใหม่ๆ ของชีวิต
ที่กลุ่มเทวาลัยชายหาด (Shore Temples) หรือ “ราชสิงเหศวร” มหาบาลีปุรัม (Mahabalipuram) เป็นโบราณสถานที่สวยงามมาก แต่เป็นห่วงว่าด้วยความที่อยู่ใกล้ทะเล ทั้งลมทะเลและการกัดเซาะ การกัดกร่อนอาจจะมีผลต่อตัวปราสาทไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่ร้อยปี ที่นั่นก็มีเด็กๆ มาขอถ่ายรูปผม จะยืนให้ถ่ายเดี่ยวๆ ก็เขินนะครับ ก็เรียกเด็กๆ มาถ่ายด้วยกัน เป็นความน่ารักและความทรงจำดีๆ การเดินไปเที่ยวตามท้องถนน ดูบ้านเรือนก็เกิดอารมณ์ศิลปินนึกกลอนไฮกุขึ้นมา " ดื่มชานมอินเดีย ที่สี่แยก ที่มีรูปพระพิฆเนศหิน"
チャイ飲んで
四ツ角の
ガネーシャ
Chai nonde
Yotsukado no
Ganesha
คือไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เห็นรูปปั้นเทพเจ้าอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ล้วนมีเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สถิตอยู่ตามความเชื่อ แค่เดินที่อินเดียเฉยๆ ก็ได้ความรู้สึกทางปรัชญาขึ้นมาได้
อีกเมืองที่ไปเที่ยวมีปัญหาเรื่องการต่อรถนิดหน่อยเพราะว่าไม่มีสถานีรถประจำทาง ต้องรอโบกรถที่วิ่งมาที่ถนนจุดตัดแล้วดักรอเองเพื่อขึ้นไปเมืองที่จะไปคือปุทุจเจรี (Pondicherry) อีกเมืองหนึ่งของอินเดียที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส เป็นเมืองตากอากาศริมทะเลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย เพราะความสวยงามและบรรยากาศแปลกตาด้วยมีกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสเป็นเมืองหนึ่งที่นับว่าสวยงามมาก พอลงจากรถประจำทางก็เดินหาโรงแรมที่พัก มีผู้ชายอินเดีย 3 คนเดินมาบอกว่าที่นี่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส อาคารหลายแห่งยังคงลักษณะแบบฝรั่งเศสและมีกลิ่ยอายวัฒนธรรมฝรั่งด้วย แต่ที่นี่คืออินเดีย หลังจากนั้นก็เจอที่พัก ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าร้อน หลังจากที่เดินทางและหอบหิ้วสัมภาระมากมายก็กระหายน้ำมากเมื่อได้ที่พักแล้วก็เหนื่อยมากรีบออเดอร์น้ำมะนาวโซดา ทางเจ้าหน้าที่ให้เอากระเป๋าไปเก็บในห้องและบอกให้ไปดื่มน้ำผลไม้ที่สั่งที่ห้องอาหาร เมื่อผมเก็บสัมภาระแล้วก็เดินไปห้องทานอาหารส่วนรวม ตอนที่พนักงานเอาน้ำมะนาวที่ออเดอร์มาให้เขาก็กระซิบว่า "เดี๋ยวลูกสาวของเจ้าของจะกลับมา เค้าเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วยพอดีมีการบ้านอยากถามคุณ ช่วยตอบหน่อยได้ไหม" เอาล่ะผมคิดว่าเราจะโดนหลอกหรือเปล่าเนี่ย!! ไม่เรื่องผู้หญิงก็เรื่องเงินหรือเปล่า!!
ระหว่างที่ผมนั่งดื่มน้ำมะนาวไปก็ครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีเจ้าของที่พักกับลูกสาวเดินเข้ามาหาจริงๆ เขาบอกว่ามีการบ้านที่โรงเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น อยากถามหน่อยได้ไหม ตอนแรกผมก็คิดว่ายากไหม แต่การบ้านถามว่าสำหรับประเทศญี่ปุ่นแล้วมีสีที่แสดงถึงความมีความสุขและสีที่แสดงถึงความทุกข์หรือเปล่า ? ผมก็อดยิ้มกับคำถามไม่ได้ และก็ช่วยตอบไปตามที่ผมตอบได้ และมีการพูดคุยเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นนิดหน่อย
จากตรงนี้คือเราก็คิดวิตกกังวลเรื่องที่ต้องระวังตัวหลายเรื่อง ในหนังสือที่แนะนำก็พูดเหมือนๆ กันว่าเมื่อพูดถึงเรื่องของกิเลสหลักๆของทั้งมนุษย์ คนเราก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับกามารมณ์และเรื่องเกี่ยวกับความโลภหรือว่าเงินทอง ผมได้ดูโฆษณาทีวีของอินเดียก็เห็นจริงด้วย
ในห้องที่พักวันนั้นมีทีวีด้วย จึงได้ดูทีวีของประเทศอินเดียก็นึกชอบโฆษณาอินเดียเพราะรู้สึกว่าน่าสนใจและสนุกดี นอกจากนั้นยังมีการแยกช่องออกเป็นช่องของแต่ละศาสนาต่างๆ ทั้งช่องของศาสนาฮินดู คริสต์ พราหมณ์ ต่างๆ แต่ละช่องก็จะเป็นรายการที่เกี่ยวกับศาสนานั้นอย่างเดียวเลย และโฆษณาก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานีและแต่ละช่องของศาสนานั้นๆ ด้วย บางช่องโฆษณาขายลัคกี้ไอเทม เข็มกลัดแห่งความโชคดี ให้รวยให้เฮง ให้ความโชคดี เหมือนมากระตุ้นจูงใจคนเกี่ยวกับกิเลสความโลภ อยากมีอยากเป็น โฆษณาเกี่ยวกับโชคลาภเงินทองจะมีเยอะหน่อยแต่ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับกามารมณ์ ก็เยอะเช่นกันแต่จะเซ็นเซอร์ไว้ บางโฆษณาก็สนุกน่าสนใจมากกว่านั้น เช่น เกี่ยวกับโฆษณาแชมพูหรือน้ำหอม โฆษณาน้ำหอมผู้ชายแค่ใส่น้ำหอมตัวที่โฆษณานิดเดียว เดินๆ ไปก็จะมีสาวๆ โผล่หน้ามารุมล้อมเหมือนผีเสื้อตอมดอกไม้ ในกลุ่มสาวที่มารุมล้อมมีสาวทางเอเชียตะวันออกที่ผิวเค้าขาวด้วย เป็นสัญลักษณ์ว่า ถ้าใช้น้ำหอมนี้สาวทุกเชื้อชาติจะรุมล้อมคุณ!! หรือว่าโฆษณาแชมพูสระผมของผู้ชาย แค่ใช้แชมพูนี้เท่านั้นก็มีอิมเมจของสาวๆใส่ชุดว่ายน้ำมาช่วยกันอาบน้ำให้ทันที (´・ω・`)
สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือ ไม่ใช่แค่ที่อินเดียเท่านั้น ที่ญี่ปุ่นเองก็มีโฆษณาจูงใจกระตุ้นกิเลสของมนุษย์ทั้งเรื่องความโลภ เรื่องกามารมณ์เช่นกัน อย่างหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์โชเน็งจัมป์ ของญี่ปุ่นสมัยก่อน ช่วงสมัยที่ยังไม่นิยมอินเตอร์เน็ต ประมาณช่วงต้นโชวะถึงเฮเซย์แรกๆ โฆษณาส่วนใหญ่เน้นทางหนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ พวกนี้เค้าขายโฆษณาก็จะเป็นโฆษณาที่ปกแรกด้านในหรือไม่ก็ปกหลัง หรือว่าปกหลังด้านใน หลายเล่มมักจะเป็นโฆษณาเดิมๆ จนคนจำได้ เพราะหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์นั้นพิมพ์ออกมาหลายล้านเล่ม ผ่านตาคนจำนวนมาก มีโฆษณาหนึ่งจะจองอยู่ที่ปกหลังด้านในซ้ำอยู่อย่างนั้นจนหลายคนจำได้และก็เป็นหนังสือที่ขายดีมาก คนญี่ปุ่นน่าจะจำได้แล้วรู้จักโฆษณานี้จนเป็นเรื่องชินตาไปแล้ว ภาพจะเป็นผู้ชายอยู่ในอ่างน้ำที่มีเงินแบงค์หมื่นเยนอยู่เต็มแล้วมีสาวๆ ล้อมรอบ เป็นโฆษณาสินค้าที่มีติดตัวแล้วจะทำให้เกิดความโชคดี ร่ำรวยและมีสาวรายล้อม เค้าโฆษณาว่า ถ้าคุณซื้อของสิ่งนี้แล้วจะถูกหวย จะทำงานอะไรก็ประสบผลสำเร็จ หนุ่มๆ จะมีสาวๆ มาล้อมรอบ เป็นต้น ในส่วนหนึ่งของโฆษณานั้นก็จะมีบทสัมภาษณ์ชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาพูดว่า "ตอนแรกผมเป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรเลย ทำอะไรก็ผิดพลาดล้มเหลวตลอด พออายุ 26 ปีก็ซื้อเครื่องรางโชคดีนี้มา จากนั้นก็ไปสนามม้า แล้วก็แทงม้าถูก ซื้อหวยก็ถูกรางวัลใหญ่ แล้วจากนั้นก็มีพวกสาวๆ เข้ามาเหมือนมีแรงดึงดูด มาแย่งผมจนไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี ของนี้เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ขอบคุณจริงๆ ครับ " คือว่าใครเห็นโฆษณานี้จะรู้เลยว่าจะเป็นโฆษณาอะไร มองแล้วสื่อให้เห็นภาพมาก สื่อได้ชัดมากทีเดียว
แต่เหมือนมีคนที่รวยจริงๆ ลองทดสอบว่าถ้าจะใส่แบงค์ 10,000 เยนให้เต็มอ่างอาบน้ำปกติของญี่ปุ่นจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ก็สรุปว่าจะต้องใช้เงินเป็น 1,000 ล้านบาท ถ้าเป็นพนักงานประจำก็คงต้องทำงานประมาณ 500 ปี (・∀・ )มันจะช่วยได้จริงไหมเนี่ย เห็นไหมครับแค่สองประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน มนุษย์เราก็มีกิเลสในใจคล้ายๆ กัน ไม่แตกต่างกันเลย วันนี้สวัสดีครับ