“อาวิแกน” เป็นยาที่รัฐบาลญี่ปุ่นหวังจะใช้รักษาผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 และประเทศไทยก็ได้สั่งซื้อยานี้จากทั้งญี่ปุ่นและจีน แต่นี่คือการเดิมพัน เพราะยานี้ยังไม่ผ่านการทดลองกับมนุษย์ และมีผลข้างเคียงที่กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเองก็ยังหวั่นใจ
อาวิแกน เดิมทีแล้วเป็นยารักษาไข้หวัดใหญ่ แต่ถูกนำมาทดลองใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และพบว่าได้ผลดี รัฐบาลญี่ปุ่นจึงประกาศแผนสำรองอาวิแกนสำหรับผู้ป่วย 2 ล้านคนในเดือนพฤษภาคมปีหน้า แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในญี่ปุ่นหลายคนเตือนให้ระวังผลข้างเคียงของยา ซึ่งจะทำให้ทารกในครรภ์ผิดปกติจนถึงขั้นแท้ง หรือพิการแต่กำเนิด
อาวิแกน Avigan หรือที่รู้จักกันในชื่อฟาวิพิราเวียร์ Favipiravir พัฒนาขึ้นโดยบริษัท ฟูจิฟิล์ม โทยามะ เคมิคอล เพื่อใช้เป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่เมื่อ 6 ปีก่อน แต่ในการทดลองกับสัตว์พบว่า ยานี้มีผลข้างเคียงอย่างรุนแรงต่อตัวอ่อนในครรภ์ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงให้ใช้ยานี้ได้เฉพาะเมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐบาล และผู้ป่วยต้องยินยอมใช้เป็นกรณีศึกษา ไม่เรียกร้องความเสียหายหากได้รับผลกระทบจากการใช้ยา
อาวิแกนกลายเป็นความหวังในการรักษาโควิด-19 เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศผลการวิจัยทางคลินิก ที่ดำเนินการโดยสถาบันทางการแพทย์ 2 แห่งโดยทดสอบกับผู้ป่วย 80 คน พบว่าผู้ที่ไม่ได้รับยาอาวิแกนใช้เวลาโดยเฉลี่ย 11 วันในกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดจากร่างกาย ขณะที่ผู้ที่ได้รับยาอาวิแกนใช้เวลาเฉลี่ย 4 วัน
ผลเอกซเรย์ปอดของผู้ป่วยยังพบว่า ร้อยละ 91 ของผู้ที่ได้รับยาอาวิแกนมีสภาพปอดฟื้นตัวขึ้น ผลดังกล่าวทำให้รัฐบาลจีนประกาศอย่างเป็นทางการให้ยาอาวิแกนเป็นหนึ่งในยาที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้ประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศ รวมทั้งไทยได้สั่งซื้อยาอาวิแกนจากผู้ผลิตทั้งในจีนและญี่ปุ่น
เบื้องหลังรัฐบาลถกเถียงจะเสี่ยงหรือไม่?
ที่ประชุมคณะทำงานเรื่องไวรัสโคโรนาของรัฐบาลญี่ปุ่น ถกเถียงอย่างดุเดือดเรื่องการใช้ยาอาวิแกน ที่ปรึกษาของนายกฯ ชินโซ อาะบะ ประกาศกร้าวว่า “ถ้ายานี้มีประสิทธิภาพ ทำไมไม่ให้ใช้อย่างกว้างขวาง?”
แต่ผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขโต้ว่า “ยานี้มีผลข้างเคียงรุนแรงและประสิทธิภาพยังไม่ชัดเจน” พร้อมถามว่า “จะเชื่อผลการทดลองของจีนได้แค่ไหน?” ยานี้คิดค้นขึ้นเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่ และก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ เราจะเสี่ยงใช้กับผู้ป่วยไวรัสโคโรนา ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์ที่ยอมรับทั้งประสิทธิผลและความปลอดภัยหรือ?
นอกจากนี้ ผลการวิจัยก็พบว่าอาวิแกนได้ผลดีกับคนอาการเบา แต่ได้ผลน้อยกับคนไข้อาการหนัก
ความเสี่ยงในการใช้อาวิแกน คือ สารตั้งต้นที่ชื่อ ธาลิโดมีน thalidomide ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะ แต่ต่อมาพบว่าทำให้เกิดการแท้งในผู้หญิงมีครรภ์ จนรัฐบาลญี่ปุ่นต้องเพิกถอนการใช้ยาที่มีสารนี้
ยาญี่ปุ่นคิดค้นแต่พึ่งจีนผลิต
อาวิแกนเป็นผลงานคิดค้นของบริษัท ฟูจิฟิล์มโทยามะ เคมิคัล แต่ว่าหนึ่งในสารเคมีสำคัญในการผลิตยาคือ ไดเอธิล มาโลเนต ผลิตที่ประเทศจีน จึงเป็นเหตุผลที่จีนเป็นคู่แข่งญี่ปุ่นผลิตยานี้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เป็นเจ้าของต้นตำรับ
เดิมทีญี่ปุ่นมีบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองอิโตอิงาวะในจังหวัดนีงาตะ เป็นผู้ผลิตไดเอธิลมาโลเนต เพียงรายเดียวในญี่ปุ่น แต่บริษัทแห่งนี้ปิดกิจการไปแล้วในปี 2560
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการจะพึ่งพาตัวเองในการผลิตอาวิแกน ถึงกับลงทุน “ฟื้นชีพ” บริษัทแห่งนี้ให้กลับมาผลิตสารตั้งต้นของยาอาวิแกนอีกครั้ง โดยจะกลับมาดำเนินการผลิตส่วนผสมสำหรับอาวิแกนในเดือนพฤษภาคม ตามคำขอของรัฐบาลญี่ปุ่น
นอกจากอาวิแกนแล้ว ยังมีการใช้ยาอื่นเพื่อทดลองรักษาโควิด-19 เช่น คาเลทรา ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV, เร็มเดซิเวีย ซึ่งใช้รักษาโรคอีโบลา ทั้งคู่เป็นยาของบริษัทอเมริกัน รวมทั้งยาควินินซึ่งใช้รักษาโรคมาลาเรีย ก็มีการประยุกต์ใช้เช่นกัน แต่อาวิแกนเป็นยาของบริษัทญี่ปุ่นเองจึงสะดวกที่สุดที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะนำมาใช้ถ้าได้ผลจริง
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้ง “อาวิแกนทีม” มีสมาชิกราว 10 คนที่กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม แต่ขณะนี้ได้เพิ่มจำนวนสมาชิกและย้ายมาทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี
สิ่งที่รัฐบาลทำในตอนนี้คือ เร่งให้มีการทดลองทางคลินิก พร้อมตั้งงบประมาณพิเศษเพื่อจัดหายาอาวิแกนสำรองไว้ หากผลการทดลองพิสูจน์ได้แล้วก็จะอนุมัติการใช้ยาอาวิแกนอย่างเร่งด่วน เพราะทุกวันนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้แต่ “ชะลอ” การระบาดของโรคออกไป แต่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในญี่ปุ่นยังเพิ่มขึ้นอย่างระเบิดปะทุ จนระบบสาธารณสุขอาจรับไม่ไหวอีกต่อไป อาวิแกนจึงเป็นความหวังที่จะกอบกู้แดนพระอาทิตย์จากโรคร้าย แม้ว่าจะมีความเสี่ยงก็ตาม