ใบเสร็จค่าเครื่องดื่มหนึ่งใบมูลค่าไม่กี่เยนจากร้านขายของแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ได้เปลี่ยนชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง จากการถูกกว่าหาว่าเป็น “หัวขโมย” ให้เป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม
วันหนึ่งเมื่อ นามิ คิชิดะ กลับถึงบ้าน เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างแม่และ “เรียวตะ” น้องชายของเธอ แม่สงสัยว่าเรียวตะขโมยของจากร้านค้าใกล้บ้าน เพราะพบว่าเรียวตะกำลังดื่มน้ำเกลือแร่ขวดหนึ่ง ที่ไม่เคยมีอยู่ในบ้าน แม่กำลังคาดคั้นถามว่า เครื่องดื่มขวดนี้ได้มาอย่างไร ?
เรียวตะ น้องชายที่อายุน้อยกว่าเธอ 4 ปี และเรียนชั้นประถม ได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะเขาไม่ได้รับเงินที่จะซื้อของต่าง ๆ แม่จึงต้องรู้ที่มาของเครื่องดื่มขวดนี้ให้ได้
นามิกับเรียวตะเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอต้องใจสลาย เมื่อรู้ว่าเรียวตะมีอาการดาวน์ ซินโดรม หรือความผิดปกติด้านการเรียนรู้ คนในครอบครัวจึงต้องดูแลเรียวตะเป็นพิเศษ และไม่ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง ซึ่งทำให้นามิใกล้ชิดกับน้องชายมากยิ่งขึ้น
เมื่อแม่และนามิคาดคั้นให้เรียวตะ บอกความจริงว่าได้เครื่องดื่มขวดนั้นมาอย่างไร เด็กชายจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างเหนียมอาย
กระดาษนั้นเป็นใบเสร็จจากร้านสะดวกซื้อ ที่อยู่ใกล้บ้าน แต่ว่า...เรียวตะไม่มีเงิน จะซื้อเครื่องดื่มจากร้านตามใบเสร็จได้อย่างไร ?
ที่ด้านหลังของใบเสร็จ มีข้อความเขียนว่า “จ่ายเงินตอนมาที่ร้านครั้งหน้าก็ได้”
ทุกคนในบ้านรีบไปที่ร้านขายของนั้น พร้อมกับเรียวตะ เมื่อถึงร้าน แม่ของเรียวตะโค้งขอโทษผู้ชายที่เป็นเจ้าของร้านอย่างนอบน้อมหลายครั้ง
แต่ว่า ผู้ชายที่เป็นเจ้าของร้านไม่มีท่าทีโกรธแม้แต่น้อย และเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นว่า
“ลูกชายของคุณเหมือนจะหิวน้ำมาก เขาคงจะจำร้านของผมได้ เลยคิดว่าร้านนี้จะช่วยเหลือเขาได้ ผมก็ดีใจที่เขานึกถึงร้านของผม”
ทั้งครอบครัวได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึงจากเจ้าของร้าน ด้วยท่าทีที่สุภาพอย่างมาก
เจ้าของร้านบอกว่า เรียวตะไปหยิบเครื่องดื่ม และมาที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน แต่ว่าเขาไม่มีเงิน....พนักงานของร้านบอกว่า เคยเห็นครอบครัวนี้หลายครั้ง จึงยอมที่จะใช้เรียวตะนำเครื่องดื่มไปก่อน และมาจ่ายเงินทีหลังได้
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางครอบครัวจึงรู้ว่าเรียวตะพึ่งพาตัวเองได้มากกว่าที่คิด จึงให้เขาออกไปนอกบ้านใกล้ ๆ ได้ เมื่อนาโอมิและเรียวตะผ่านไปที่หน้าร้านสะดวกซื้อร้านนั้น เธอพบว่าน้องชายและพนักงานของร้าน ได้ทักทายกับราวกับเป็นเพื่อนสนิท โดยถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่า ทั้งสองคนคุยอะไรกัน เพราะเรียวตะไม่สามารถพูดได้ชัดเจน แต่เธอก็รู้สึกได้ว่า นี่คือมิตรภาพ
10 ปีหลังเรื่องนี้เกิดขึ้น ตอนนี้ นาโอมิ อายุ 28 ปี เธอมาทำงานที่โตเกียว ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการผู้พิการ ส่วนเรียวตะยังอาศัยอยู่กับแม่ที่บ้านเกิด แต่ว่าตอนนี้ เขาไม่ใช่เด็กที่ต้องคอยพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว
เรียวตะได้ไปศูนย์พัฒนาศักยภาพผู้พิการ สัปดาห์ละ 5 วัน เขาสามารถทำงานฝีมือเล็ก ๆน้อย ๆ และทำงานแจกจ่ายประกาศของชุมชนตามบ้านต่าง ๆ ได้ เขาพึ่งพาตัวเองได้ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เมื่อเขาออกไปข้างนอก ผู้คนในชุมชนต่างต้อนรับอย่างดี เมื่อชาวบ้านถามเรียวตะว่า “เป็นยังไงบ้าง ?” เขาก็จะตอบรับด้วยท่าทีที่แจ่มใส
ฤดูร้อนปีนี้ นามิและเรียวตะ สองพี่น้อง ได้ไปท่องเที่ยวด้วยกัน ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม เธอรู้สึกว่าน้องชายได้เติบโตขึ้นจริง ๆ เขาไม่เพียงไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคม แต่ยังพึ่งพาตัวเองและเป็นสมาชิกของสังคมได้
ชีวิตของเรียวตะเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ "ใบเสร็จ" เพียงใบเดียวจากร้านค้า ถ้าวันนั้น เจ้าของร้านแจ้งจับเรียวตะในข้อหาขโมยของ ถ้าไม่มีความอารีในวันนั้น วันนี้ เรียวตะอาจเป็นแค่คนที่บกพร่องทางสติปัญญาคนหนึ่ง ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “หัวขโมย” ไม่ใช่สมาชิกที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้.