จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
ขบวนตำรวจประจำจังหวัดต้องเดินทางกว่าห้าชั่วโมงจึงมาถึงที่เกิดเหตุ ระหว่างนั้นจ่ายูอิจิโรควบคุมสถานการณ์เอาไว้อย่างเคร่งครัด กักทุกคนไว้ในห้องกินข้าวไม่ยอมให้ออกไปไหนแม้บางคนบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก
“ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวรอยเท้าก็ถูกลบหมดน่ะซี ออกไปเตร่อยู่ตามระเบียงทางเดินก็ไม่ได้ คดีอาชญากรรมอย่างนี้ เส้นผมสักเส้น ทรายสักเม็ดที่ตกจากรองเท้า ทุกอย่างเป็นกุญแจไขปริศนาได้ทั้งนั้น ทุกคนเข้าใจนะครับว่ามันละเอียดอ่อนแค่ไหน ขอความร่วมมือจากทุกคน อดทนกันไม่กี่ชั่วโมง ก็จะได้เห็นผลงานของกลไกอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์อาชญากรรม”
ว่าแล้วก็จัดให้มีทางเดินได้อิสระทางเดียวไปที่ห้องสุขา ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะเดินทางมาถึงเมื่อ 11 โมงครึ่ง ผมเฝ้ารอการมาถึงของเขาอยู่เป็นนานเพื่อจะได้เปิดตัวให้ทุกคนได้รู้จัก ดอกเตอร์โคเซคนนี้เป็นชายร่างเล็กสูงแค่ห้าฟุตนิด ๆ หน้ากลมดูอ่อนกว่าวัยราวกับหนุ่มวัยยี่สืบสามยี่สิบสี่ ร่าเริงน่ารักและเป็นมิตร แต่ถ้าเกิดเถียงทะเลาะกันก็จะว่องไงปราดเปรียวขึ้นมาทันที ไม่มีบุคลิกตรงไหนที่พอจะเชื่อได้ว่าเป็นนักสืบผู้เก่งกาจเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนฟังคำอธิบายของผมกับคาซุมะก็ทำตัวลีบเหมือนกับผู้ต้องสงสัยกำลังถูกสอบปากคำ ไม่ได้มีสง่าราศีเอาเสียเลย
“ที่คือจดหมายปลอมที่ว่า ตาแหลมคมอย่างนาย คงจะเจาะความจริงได้ง่ายมากเลยใช่ไหม”
“พูดอะไรอย่างนั้น ผมน่ะรึ ไม่ได้ความหรอก ไหน...ไหน นี่ลายมือจริงของท่านอุตางาวะรึ โอ้โฮ...นี่มันลายมือของคนเดียวกันแท้ ๆ เก่งมาก มองไม่ออกเลยว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม ฝีมือเยี่ยมมาก”
ก็เป็นเสียอย่างนี้ใคร ๆ จึงไม่เชื่อถือดอกเตอร์โคเซ แต่ความเป็นคนหน้าตาน่ารักยิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตร สุภาพกับพวกผู้หญิงและดูไม่มีพิษไม่มีภัย จึงเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มผู้หญิงที่นี่
“โคเซซังมีแฟนรึยัง”
“ครับ? อ๋อ ไม่กล้าอวดหรอกครับ”
“น่าจะพามาด้วย โทรเลขไปเรียกมาเร็ว”
“หล่อนขี้อายครับ ยังเป็นเด็กอายุแค่สิบเจ็ดเอง”
“อะไร้ อย่างนี้ก็ยังไม่เคยจูบกันละซี”
“ก็แค่ครั้งเดียวเองครับ หน้าแดงแจ๋เลย แต่ไม่ยักโกรธ”
“ถ้างั้นก็ฮันนิมูนกันได้แล้ว เร็วเข้า เรียกเธอมาที่นี่เถอะนะ”
“มาที่บ้านนี้ไม่เหมาะหรอกครับ หล่อนกินอาหารฝรั่งยังไม่เป็นเลย ไม่เคยจับมีดจับส้อม ตอนนี้ก็กำลังฝึกกันอยู่ครับ”
พวกผู้หญิงกำลังเบื่อกับการถูกจ่ายูอิจิโรกักตัวไว้ในห้องกินข้าวก็เลยหันมายั่วดอกเตอร์โคเซเล่นแก้เหงา
รถราชการพาคณะที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ศาล อัยการ และตำรวจมาถึงคฤหาสน์อุตางาวะเมื่อเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง คาซุมะเป็นขออนุญาตให้ดอกเตอร์โคเซเข้าไปในที่เกิดเหตุด้วยเช่นเดียวกับตำรวจ
ตำรวจนิติเวชชัณสูตรศพเสร็จ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานก็ได้เก็บรายนิ้วมือได้เป็นจำนวนมาก สารวัตรฮิราโนะ ยุตากะ หัวหน้าแผนกสืบสวนเป็นผู้มีตาสมองที่มีพลังและเฉียบคม ไม่ว่าคนร้ายจะเป็นคนมีภูมิปัญญาหลักแหลมเพียงใด สารวัตรผู้นี้มองแวบเดียวก็จับได้ไล่ทันเหมือนเหยี่ยวจับเหยื่อ เมื่อใดที่เขากวาดสายตาจ้องมองสองสามครั้ง พอครั้งที่สี่ก็อ่านกลอุบายของคนร้ายได้ออกหมดทุกขั้นตอน ถ้าเอ่ยถึง “สารวัตรตาเหยี่ยว” เจ้าพ่อนักสืบที่น่าเสียดายต้องไปอยู่บ้านนอกคนนี้ขึ้นมา คนในวงการทั่วประเทศไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก และวันนี้สารวัตรกำลังกวาดสายตาอันแหลมคมราวเหยี่ยวของเขาไปบนพื้นที่เกิดเหตุ จ้องไปที่ตรงนั้นตรงนี้สามสี่จุด แล้วออกคำสั่งให้ตรวจสอบอย่างละเอียดไม่ให้มีสิ่งใดรอดสายตาไปได้
“ผู้ตายเลือดไม่ออกอย่างนี้น่าจะมีเหตุผลพิเศษอะไรสักอย่าง เช่น ตายอยู่ก่อนแล้วจึงถูกแทง หรืออะไร”
“ถ้าไม่ผ่าศพดูก็คงยังบอกอะไรให้แน่ชัดลงไปไม่ได้ แต่กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นได้เมื่อใช้อาวุธแทงลงไปที่หัวใจในแนวดิ่งตรง ซึ่งเลือดอาจตกใน แต่ถ้าไม่ผ่าศพดูก็จะวินิจฉัยอะไรไม่ได้ครับ”
ศพนายวานิถูกนำขึ้นรถบรรทุกไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อผ่าพิสูจน์
“เอ๊ะ นี่อะไร” ตำรวจสายสืบคนหนึ่งเก็บลูกกระพรวนทองเหลืองเล็ก ๆ ขึ้นมาจากใต้เตียง ตำรวจผู้นี้ชื่ออาเระ โคสุเกะนักสืบมือดีของจังหวัด มีชื่อเสียงจากการมีประสาทที่หกที่ฉับไวในการจับคนร้าย ที่ไม่ว่าจะใช้เล่ห์กลอำพรางตนอย่างไรก็จับกลิ่นได้ไม่พลาด จนเพื่อนนักสืบตั้งสมญาว่า “จมูกมด”
“อะไรกันล่ะเนี่ย”
“ลูกกระพรวนรึ” จากที่เห็นดูเป็นของราคาถูกแบบที่ใช้ผูกคอแมวหรือกระเป๋าถือ
“ดูใต้เตียงซิ มีอะไรอีกหรือเปล่า คิดลึก...นายตัวเล็กมุดเข้าไปดูหน่อย”

จมูกมดวางท่าเป็นลูกพี่ ชื่อจริงของตำรวจสายสืบคนที่ถูกเรียกว่าคิดลึกคือนางาฮาตะ จิฟุยุ ผู้มีความรู้มากมายไม่รู้ว่าไปร่ำเรียนมาจากไหนแต่ส่วนใหม่ที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับอาชีพ เรียนภาษาเยอรมันและก็มีความรู้เรื่องแพทย์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการสืบสวน คดีอาชญากรรมธรรมดาสามัญก็คิดเสียมากมายเกินความจำเป็นจนกลายเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน แล้วก็กลัดกลุ้มค้นคว้าหาทางแก้ปมปริศนาอยู่คนเดียว ทำให้ได้สมญาว่านักสืบคิดลึก คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมในกลุ่มปัญญาชนจากโตเกียวที่ทำท่าว่าจะเป็นปริศนาซับซ้อน สารวัตรตาเหยี่ยวจึงคิดว่านักสืบคิดลึกอาจเหมาะกับคดีนี้เกินคาดจึงได้พามาคู่กับนักสืบจมูกมด ผู้ซึ่งแม้จะจมูกไวจับกลิ่นคนร้ายได้ไกลถึงเจ็ดแปดตำบลก็จริง แต่เป็นคนวู่วามและมักจะพูดเองเออเอง ถ้าเป็นคดีที่บ้านนอกอาจสันนิษฐานรูปคดีได้ด้วยสามัญสำนึก แต่ไม่เพียงพอสำหรับคดีฆาตกรรมที่มีการวางแผนอย่างชาญฉลาดของปัญญาชน
นักสืบคิดลึกตั้งท่าจะคลานเข้าไปใต้เตียง แต่ยังไม่ทันเข้าไปก็อุทานว่า
“เอ๊ะ ตลกดีแฮะ ใต้เตียงมีเสื้อนอกของใครไม่รู้”
และเมื่อหยิบเสื้อนอกตัวนั้นออกมาดูก็พบว่ามีคราบสกปรกติดอยู่เหมือนผ้าขี้ริ้วที่ใช้เช็ดอะไรมาสักอย่าง
“เอ แล้วไปเช็ดอะไรมาจากไหนวะ บนโต๊ะนี้ หรือที่โต๊ะเขียนหนังสือนั่น”
“บนโต๊ะอย่างนั้นจะมีอะไรสกปรกให้เช็ดขนาดนี้รึ เห็นอย่างนี้แล้วน่าจะรู้ ก็เช็ดอะไรตรงที่เราพบมันนั่นแหละ”
“ใต้เตียงหรือครับ”
“ก็มุดเข้าไปดูเลย”
“เออ จริงด้วย ตรงนี้มีรอยเช็ดอะไรออกไป แต่ทำไมถึงต้องไปเช็ดใต้เตียง ไม่มีรอยเลือดหรือน้ำหกสักหยด”
เสื้อนอกเป็นของผู้ตาย
ตำรวจตรวจพื้นที่เกิดเหตุเสร็จสิ้นเมื่อเย็นมากแล้ว ไม่พบรอยมือที่อาวุธสังหาร พบแต่ที่เหยือกและถ้วยหลายจุด และเมื่อเทียบจากลายนิ้วมือที่เก็บมาได้จากแต่ละคนก็พบว่าตรงกับของผู้ตาย ของทามาโอะและของอากิโกะ สำหรับอากิโกะนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นคนจับเหยือกแล้วเทลงในถ้วย ในเหยือกมีของเหลวสีน้ำตาลเหลืออยู่
“หน้าต่างเปิดอยู่ตั้งแต่แรกเห็นเลยรึ”
“หน้าต่างด้านปลายตีนเตียงเปิดอ้าอยู่ แต่คนร้ายไม่ได้เข้ามาทางนี้หรอกนะ เพราะไม่มีรอยพาดบันได และก็ไม่มีรอยปีนขึ้นมาด้วย” จ่ายูอิจิโรออกความเห็นบ้างเพื่อให้ดูว่าตนไม่ได้มาเฝ้าที่เกิดเหตุแต่อย่างเดียว
“แถวนี้ไม่มียุงรึ”
“ที่ไหนได้ครับ ที่นี่เป็นดงยุงป่าเลยทีเดียว ดูที่ชั้นนั่นซิครับ มีเครื่องเคลือบสำหรับจุดยากันยุงด้วย”
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ ที่ถามเพราะไม่เห็นมีขี้เถ้ายากันยุงอยู่ในนั้น”
บนโต๊ะเขียนหนังสือมีกระดาษที่เขียนต้นฉบับไว้แล้วราวห้าสิบแผ่น กับกระดาษเปล่าราวห้าร้อยแผ่นจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีรอยแตะต้อง และห้องก็ไม่มีร่องรอยถูกรื้อค้น
คณะเจ้าหน้าที่ตกลงกันว่าจะรอผลการผ่าศพก่อนแล้วจึงเริ่มสอบปากคำอย่างเป็นทางการ สำหรับวันนี้ทีมพิสูจน์หลักฐานพากันกลับไป ส่วนที่เหลือจะพักแรมที่บ้านพักตำรวจประจำตำบล สารวัตรตาเหยี่ยวออกไปส่งทีมเจ้าหน้าที่และหันไปสั่งคนหนึ่งว่า
“พรุ่งนี้บอกให้อาตาพินมาที่นี่ด้วยนะ ฉันไม่ค่อยถนัดกับพวกคุณนายปัญญาชน อย่างนี้ต้องอาตาพินถึงจะเอาอยู่”
พอดีผมได้ยินจึงถามด้วยความประหลาดใจ
“อาตาพินนี่อะไรครับ”
“อะ ฮะ ฮะ ได้ยินด้วยหรือครับ นักสืบหญิงผู้มีชื่อเสียงของเรา ชื่อจริงว่าอีสึกะ ฟุมิโกะ ออกจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่สักหน่อย แต่ก็สวนและมีเสน่ห์เย้ายวนใจไม่น้อย พวกหนุ่ม ๆ เห็นเป็นไม่ได้ ต้องหาเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่ แต่อย่าเผลอตัวทีเดียว หล่อนเอาตาย ผู้ชายก็ผู้ชายเถิดเจอฤทธิ์หล่อนเข้าเป็นหัวทิ่มหัวตำเลยทีเดียว ขนาดนักสืบจมูกมด ไม่เคยกลัวเกรงใคร ให้ไปจับฆาตกรฆ่าคนมาแล้วเป็นสิบคนก็ไม่หวั่น แต่พอมาเจออาตาพินเข้าเท่านั้นจ๋อยไปเลย ถึงจะร้ายแต่ก็ฉลาดเหลือหลาย ตาสมองของหล่อนคมกริบระดับอัจฉริยะ สมองใสมากคิดออกหมดไม่ว่าเรื่องอะไร เห็นอะไรได้ยินอะไรเข้าใจทันที มีปัญหาอะไรนั่งเฉย ๆ เดี๋ยวก็คิดออก นางเป็นฝ่ายบู๊มากกว่านั่งสันนิษฐานรูปคดี แต่ถ้าพูดถึงการถอดรหัสคดีก็ไม่ค่อยจะตรงเป้าเท่าไร พลาดประมาณ 80 % สำหรับหล่อนนาน ๆ ถูกทีก็พอ”
คณะของสารวัตรตาเหยี่ยวอยู่กินอาหารเย็นด้วย นักสืบจมูกมดกับนักสืบคิดลึกจึงได้ชนแก้วกัน ผมเลยรู้ว่าสารวัตรชอบรสออกหวาน
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาร่วมสมาคมกับพวกคุณวันนี้ คนส่วนใหญ่มักมองตำรวจเป็นศัตรูซึ่งทำให้เราลำบากใจมาก ตำรวจไม่ใช่บริษัทผลิตผู้ร้ายสักหน่อย ขอโทษที่ผมพูดขึ้นมาระหว่างเวลารับประทานอาหารอย่างนี้ คือในโอกาสเช่นนี้เราควรยกเอาเรื่องที่เกิดขึ้นมาสนทนากันตรง ๆ ดีกว่าจะเลี่ยงไปเลี่ยงมา เพื่อว่าเราจะได้ปรับความรู้สึกให้ตรงกันทั้งสองฝ่าย พวกคุณคิดว่าอย่างไรครับ เอาแบบคุยกันเป็นเรื่องเบา ๆ พูดได้แค่ไหนก็แค่นั้นดีไหมครับ บ้านพักหลังนี้เป็นเรือนฝรั่งสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศกลางขุนเขาเลยนะครับ”
“ใช่ครับ สร้างมาได้ราวสิบห้าปี ส่วนเรือนใหญ่นั่นอายุประมาณ 150 ปีแล้วนะครับ”
“อย่างนี้กุญแจไขเข้าบ้านคงต้องมีกลไกที่ซับซ้อนมากเลย”
“บ้านกลางป่าแบบนี้ไม่มีใครเขาใส่กุญแจกันหรอกครับ ไม่มีใครกลัวขโมย มีแต่คนลอบเข้าหากันตอนกลางคืน “
“สารวัตรครับ ผมว่าเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า คนร้ายไม่ได้มาจากภายนอกหรอก มันเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว สารวัตรมาพูดอย่างเป็นกันเองอาจด้วยความหวังดี แต่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ยยังไงไม่รู้” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากพูดอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เถิดครับ เรามันพวกทำงานขีด ๆ เขียน ๆ ชินกับความตรงไปตรงมาอยู่แล้ว มาพูดอ้อมค้อมให้เวียนหัวอย่างนี้ ทำให้รู้สึกไม่อยากสนทนาด้วยเลยละครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณยาชิโระ พวกคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับคดีนี้กันดีทั้งนั้น แต่พวกผมเหมือนกระดาษเปล่าและจากนี้ไปก็จำเป็นต้องรู้ อะไรที่พวกคุณรู้ พวกผมไม่รู้ ดังนั้นพวกคุณต้องบอกเรา ผมอยากถามคุณยาชิโระว่า ทำไมคุณจึงบอกว่าคนร้ายไม่ได้มาจากภายนอกครับ”
“ก็เพราะดูแล้วมันไม่ใช่เป็นการกระทำของหัวขโมยน่ะซีครับ คนนอกที่ไหนจะลอบเข้ามาเพื่อฆ่านายนั่น”
“อะไรทำให้คุณคิดว่าคนฆ่าคุณวานิไม่ใช่คนอื่นที่นอกเหนือจากคนที่อยู่ในบ้านนี้”
“อันนี้ผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นคนในบ้านนี้ละก็ส่วนใหญ่อยากให้หมอนั่นตาย ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันทั้งนั้น ไม่ต้องให้คนภายนอกเข้ามาฆ่าหรอกครับ”
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหมอและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
โดอิ โคอิชิ จิตรกรอดีตสามีของอายากะ (ถูกเรียกว่าปิก้า)
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ
อุซุงิ อากิโกะ นักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของอุตางาวะ คาซุมะ ปัจจุบันอยู่กับ มิยาเกะ โมคุเบ
แขกรับเชิญของทามาโอะ: โมชิซึกิ วานิ / ทังโงะ ยุมิฮิโกะ / อุสึมิ อากิระ
อุตางาวะ ทามาโอะ น้องสาวคาซุมะ
อาคาชิ โคโจ ดาราสาว ภรรยาของ (โคโรกุ) ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร
ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะ
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
ขบวนตำรวจประจำจังหวัดต้องเดินทางกว่าห้าชั่วโมงจึงมาถึงที่เกิดเหตุ ระหว่างนั้นจ่ายูอิจิโรควบคุมสถานการณ์เอาไว้อย่างเคร่งครัด กักทุกคนไว้ในห้องกินข้าวไม่ยอมให้ออกไปไหนแม้บางคนบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก
“ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวรอยเท้าก็ถูกลบหมดน่ะซี ออกไปเตร่อยู่ตามระเบียงทางเดินก็ไม่ได้ คดีอาชญากรรมอย่างนี้ เส้นผมสักเส้น ทรายสักเม็ดที่ตกจากรองเท้า ทุกอย่างเป็นกุญแจไขปริศนาได้ทั้งนั้น ทุกคนเข้าใจนะครับว่ามันละเอียดอ่อนแค่ไหน ขอความร่วมมือจากทุกคน อดทนกันไม่กี่ชั่วโมง ก็จะได้เห็นผลงานของกลไกอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์อาชญากรรม”
ว่าแล้วก็จัดให้มีทางเดินได้อิสระทางเดียวไปที่ห้องสุขา ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะเดินทางมาถึงเมื่อ 11 โมงครึ่ง ผมเฝ้ารอการมาถึงของเขาอยู่เป็นนานเพื่อจะได้เปิดตัวให้ทุกคนได้รู้จัก ดอกเตอร์โคเซคนนี้เป็นชายร่างเล็กสูงแค่ห้าฟุตนิด ๆ หน้ากลมดูอ่อนกว่าวัยราวกับหนุ่มวัยยี่สืบสามยี่สิบสี่ ร่าเริงน่ารักและเป็นมิตร แต่ถ้าเกิดเถียงทะเลาะกันก็จะว่องไงปราดเปรียวขึ้นมาทันที ไม่มีบุคลิกตรงไหนที่พอจะเชื่อได้ว่าเป็นนักสืบผู้เก่งกาจเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนฟังคำอธิบายของผมกับคาซุมะก็ทำตัวลีบเหมือนกับผู้ต้องสงสัยกำลังถูกสอบปากคำ ไม่ได้มีสง่าราศีเอาเสียเลย
“ที่คือจดหมายปลอมที่ว่า ตาแหลมคมอย่างนาย คงจะเจาะความจริงได้ง่ายมากเลยใช่ไหม”
“พูดอะไรอย่างนั้น ผมน่ะรึ ไม่ได้ความหรอก ไหน...ไหน นี่ลายมือจริงของท่านอุตางาวะรึ โอ้โฮ...นี่มันลายมือของคนเดียวกันแท้ ๆ เก่งมาก มองไม่ออกเลยว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม ฝีมือเยี่ยมมาก”
ก็เป็นเสียอย่างนี้ใคร ๆ จึงไม่เชื่อถือดอกเตอร์โคเซ แต่ความเป็นคนหน้าตาน่ารักยิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตร สุภาพกับพวกผู้หญิงและดูไม่มีพิษไม่มีภัย จึงเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มผู้หญิงที่นี่
“โคเซซังมีแฟนรึยัง”
“ครับ? อ๋อ ไม่กล้าอวดหรอกครับ”
“น่าจะพามาด้วย โทรเลขไปเรียกมาเร็ว”
“หล่อนขี้อายครับ ยังเป็นเด็กอายุแค่สิบเจ็ดเอง”
“อะไร้ อย่างนี้ก็ยังไม่เคยจูบกันละซี”
“ก็แค่ครั้งเดียวเองครับ หน้าแดงแจ๋เลย แต่ไม่ยักโกรธ”
“ถ้างั้นก็ฮันนิมูนกันได้แล้ว เร็วเข้า เรียกเธอมาที่นี่เถอะนะ”
“มาที่บ้านนี้ไม่เหมาะหรอกครับ หล่อนกินอาหารฝรั่งยังไม่เป็นเลย ไม่เคยจับมีดจับส้อม ตอนนี้ก็กำลังฝึกกันอยู่ครับ”
พวกผู้หญิงกำลังเบื่อกับการถูกจ่ายูอิจิโรกักตัวไว้ในห้องกินข้าวก็เลยหันมายั่วดอกเตอร์โคเซเล่นแก้เหงา
รถราชการพาคณะที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ศาล อัยการ และตำรวจมาถึงคฤหาสน์อุตางาวะเมื่อเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง คาซุมะเป็นขออนุญาตให้ดอกเตอร์โคเซเข้าไปในที่เกิดเหตุด้วยเช่นเดียวกับตำรวจ
ตำรวจนิติเวชชัณสูตรศพเสร็จ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานก็ได้เก็บรายนิ้วมือได้เป็นจำนวนมาก สารวัตรฮิราโนะ ยุตากะ หัวหน้าแผนกสืบสวนเป็นผู้มีตาสมองที่มีพลังและเฉียบคม ไม่ว่าคนร้ายจะเป็นคนมีภูมิปัญญาหลักแหลมเพียงใด สารวัตรผู้นี้มองแวบเดียวก็จับได้ไล่ทันเหมือนเหยี่ยวจับเหยื่อ เมื่อใดที่เขากวาดสายตาจ้องมองสองสามครั้ง พอครั้งที่สี่ก็อ่านกลอุบายของคนร้ายได้ออกหมดทุกขั้นตอน ถ้าเอ่ยถึง “สารวัตรตาเหยี่ยว” เจ้าพ่อนักสืบที่น่าเสียดายต้องไปอยู่บ้านนอกคนนี้ขึ้นมา คนในวงการทั่วประเทศไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก และวันนี้สารวัตรกำลังกวาดสายตาอันแหลมคมราวเหยี่ยวของเขาไปบนพื้นที่เกิดเหตุ จ้องไปที่ตรงนั้นตรงนี้สามสี่จุด แล้วออกคำสั่งให้ตรวจสอบอย่างละเอียดไม่ให้มีสิ่งใดรอดสายตาไปได้
“ผู้ตายเลือดไม่ออกอย่างนี้น่าจะมีเหตุผลพิเศษอะไรสักอย่าง เช่น ตายอยู่ก่อนแล้วจึงถูกแทง หรืออะไร”
“ถ้าไม่ผ่าศพดูก็คงยังบอกอะไรให้แน่ชัดลงไปไม่ได้ แต่กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นได้เมื่อใช้อาวุธแทงลงไปที่หัวใจในแนวดิ่งตรง ซึ่งเลือดอาจตกใน แต่ถ้าไม่ผ่าศพดูก็จะวินิจฉัยอะไรไม่ได้ครับ”
ศพนายวานิถูกนำขึ้นรถบรรทุกไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อผ่าพิสูจน์
“เอ๊ะ นี่อะไร” ตำรวจสายสืบคนหนึ่งเก็บลูกกระพรวนทองเหลืองเล็ก ๆ ขึ้นมาจากใต้เตียง ตำรวจผู้นี้ชื่ออาเระ โคสุเกะนักสืบมือดีของจังหวัด มีชื่อเสียงจากการมีประสาทที่หกที่ฉับไวในการจับคนร้าย ที่ไม่ว่าจะใช้เล่ห์กลอำพรางตนอย่างไรก็จับกลิ่นได้ไม่พลาด จนเพื่อนนักสืบตั้งสมญาว่า “จมูกมด”
“อะไรกันล่ะเนี่ย”
“ลูกกระพรวนรึ” จากที่เห็นดูเป็นของราคาถูกแบบที่ใช้ผูกคอแมวหรือกระเป๋าถือ
“ดูใต้เตียงซิ มีอะไรอีกหรือเปล่า คิดลึก...นายตัวเล็กมุดเข้าไปดูหน่อย”
จมูกมดวางท่าเป็นลูกพี่ ชื่อจริงของตำรวจสายสืบคนที่ถูกเรียกว่าคิดลึกคือนางาฮาตะ จิฟุยุ ผู้มีความรู้มากมายไม่รู้ว่าไปร่ำเรียนมาจากไหนแต่ส่วนใหม่ที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับอาชีพ เรียนภาษาเยอรมันและก็มีความรู้เรื่องแพทย์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการสืบสวน คดีอาชญากรรมธรรมดาสามัญก็คิดเสียมากมายเกินความจำเป็นจนกลายเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน แล้วก็กลัดกลุ้มค้นคว้าหาทางแก้ปมปริศนาอยู่คนเดียว ทำให้ได้สมญาว่านักสืบคิดลึก คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมในกลุ่มปัญญาชนจากโตเกียวที่ทำท่าว่าจะเป็นปริศนาซับซ้อน สารวัตรตาเหยี่ยวจึงคิดว่านักสืบคิดลึกอาจเหมาะกับคดีนี้เกินคาดจึงได้พามาคู่กับนักสืบจมูกมด ผู้ซึ่งแม้จะจมูกไวจับกลิ่นคนร้ายได้ไกลถึงเจ็ดแปดตำบลก็จริง แต่เป็นคนวู่วามและมักจะพูดเองเออเอง ถ้าเป็นคดีที่บ้านนอกอาจสันนิษฐานรูปคดีได้ด้วยสามัญสำนึก แต่ไม่เพียงพอสำหรับคดีฆาตกรรมที่มีการวางแผนอย่างชาญฉลาดของปัญญาชน
นักสืบคิดลึกตั้งท่าจะคลานเข้าไปใต้เตียง แต่ยังไม่ทันเข้าไปก็อุทานว่า
“เอ๊ะ ตลกดีแฮะ ใต้เตียงมีเสื้อนอกของใครไม่รู้”
และเมื่อหยิบเสื้อนอกตัวนั้นออกมาดูก็พบว่ามีคราบสกปรกติดอยู่เหมือนผ้าขี้ริ้วที่ใช้เช็ดอะไรมาสักอย่าง
“เอ แล้วไปเช็ดอะไรมาจากไหนวะ บนโต๊ะนี้ หรือที่โต๊ะเขียนหนังสือนั่น”
“บนโต๊ะอย่างนั้นจะมีอะไรสกปรกให้เช็ดขนาดนี้รึ เห็นอย่างนี้แล้วน่าจะรู้ ก็เช็ดอะไรตรงที่เราพบมันนั่นแหละ”
“ใต้เตียงหรือครับ”
“ก็มุดเข้าไปดูเลย”
“เออ จริงด้วย ตรงนี้มีรอยเช็ดอะไรออกไป แต่ทำไมถึงต้องไปเช็ดใต้เตียง ไม่มีรอยเลือดหรือน้ำหกสักหยด”
เสื้อนอกเป็นของผู้ตาย
ตำรวจตรวจพื้นที่เกิดเหตุเสร็จสิ้นเมื่อเย็นมากแล้ว ไม่พบรอยมือที่อาวุธสังหาร พบแต่ที่เหยือกและถ้วยหลายจุด และเมื่อเทียบจากลายนิ้วมือที่เก็บมาได้จากแต่ละคนก็พบว่าตรงกับของผู้ตาย ของทามาโอะและของอากิโกะ สำหรับอากิโกะนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นคนจับเหยือกแล้วเทลงในถ้วย ในเหยือกมีของเหลวสีน้ำตาลเหลืออยู่
“หน้าต่างเปิดอยู่ตั้งแต่แรกเห็นเลยรึ”
“หน้าต่างด้านปลายตีนเตียงเปิดอ้าอยู่ แต่คนร้ายไม่ได้เข้ามาทางนี้หรอกนะ เพราะไม่มีรอยพาดบันได และก็ไม่มีรอยปีนขึ้นมาด้วย” จ่ายูอิจิโรออกความเห็นบ้างเพื่อให้ดูว่าตนไม่ได้มาเฝ้าที่เกิดเหตุแต่อย่างเดียว
“แถวนี้ไม่มียุงรึ”
“ที่ไหนได้ครับ ที่นี่เป็นดงยุงป่าเลยทีเดียว ดูที่ชั้นนั่นซิครับ มีเครื่องเคลือบสำหรับจุดยากันยุงด้วย”
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ ที่ถามเพราะไม่เห็นมีขี้เถ้ายากันยุงอยู่ในนั้น”
บนโต๊ะเขียนหนังสือมีกระดาษที่เขียนต้นฉบับไว้แล้วราวห้าสิบแผ่น กับกระดาษเปล่าราวห้าร้อยแผ่นจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีรอยแตะต้อง และห้องก็ไม่มีร่องรอยถูกรื้อค้น
คณะเจ้าหน้าที่ตกลงกันว่าจะรอผลการผ่าศพก่อนแล้วจึงเริ่มสอบปากคำอย่างเป็นทางการ สำหรับวันนี้ทีมพิสูจน์หลักฐานพากันกลับไป ส่วนที่เหลือจะพักแรมที่บ้านพักตำรวจประจำตำบล สารวัตรตาเหยี่ยวออกไปส่งทีมเจ้าหน้าที่และหันไปสั่งคนหนึ่งว่า
“พรุ่งนี้บอกให้อาตาพินมาที่นี่ด้วยนะ ฉันไม่ค่อยถนัดกับพวกคุณนายปัญญาชน อย่างนี้ต้องอาตาพินถึงจะเอาอยู่”
พอดีผมได้ยินจึงถามด้วยความประหลาดใจ
“อาตาพินนี่อะไรครับ”
“อะ ฮะ ฮะ ได้ยินด้วยหรือครับ นักสืบหญิงผู้มีชื่อเสียงของเรา ชื่อจริงว่าอีสึกะ ฟุมิโกะ ออกจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่สักหน่อย แต่ก็สวนและมีเสน่ห์เย้ายวนใจไม่น้อย พวกหนุ่ม ๆ เห็นเป็นไม่ได้ ต้องหาเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่ แต่อย่าเผลอตัวทีเดียว หล่อนเอาตาย ผู้ชายก็ผู้ชายเถิดเจอฤทธิ์หล่อนเข้าเป็นหัวทิ่มหัวตำเลยทีเดียว ขนาดนักสืบจมูกมด ไม่เคยกลัวเกรงใคร ให้ไปจับฆาตกรฆ่าคนมาแล้วเป็นสิบคนก็ไม่หวั่น แต่พอมาเจออาตาพินเข้าเท่านั้นจ๋อยไปเลย ถึงจะร้ายแต่ก็ฉลาดเหลือหลาย ตาสมองของหล่อนคมกริบระดับอัจฉริยะ สมองใสมากคิดออกหมดไม่ว่าเรื่องอะไร เห็นอะไรได้ยินอะไรเข้าใจทันที มีปัญหาอะไรนั่งเฉย ๆ เดี๋ยวก็คิดออก นางเป็นฝ่ายบู๊มากกว่านั่งสันนิษฐานรูปคดี แต่ถ้าพูดถึงการถอดรหัสคดีก็ไม่ค่อยจะตรงเป้าเท่าไร พลาดประมาณ 80 % สำหรับหล่อนนาน ๆ ถูกทีก็พอ”
คณะของสารวัตรตาเหยี่ยวอยู่กินอาหารเย็นด้วย นักสืบจมูกมดกับนักสืบคิดลึกจึงได้ชนแก้วกัน ผมเลยรู้ว่าสารวัตรชอบรสออกหวาน
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาร่วมสมาคมกับพวกคุณวันนี้ คนส่วนใหญ่มักมองตำรวจเป็นศัตรูซึ่งทำให้เราลำบากใจมาก ตำรวจไม่ใช่บริษัทผลิตผู้ร้ายสักหน่อย ขอโทษที่ผมพูดขึ้นมาระหว่างเวลารับประทานอาหารอย่างนี้ คือในโอกาสเช่นนี้เราควรยกเอาเรื่องที่เกิดขึ้นมาสนทนากันตรง ๆ ดีกว่าจะเลี่ยงไปเลี่ยงมา เพื่อว่าเราจะได้ปรับความรู้สึกให้ตรงกันทั้งสองฝ่าย พวกคุณคิดว่าอย่างไรครับ เอาแบบคุยกันเป็นเรื่องเบา ๆ พูดได้แค่ไหนก็แค่นั้นดีไหมครับ บ้านพักหลังนี้เป็นเรือนฝรั่งสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศกลางขุนเขาเลยนะครับ”
“ใช่ครับ สร้างมาได้ราวสิบห้าปี ส่วนเรือนใหญ่นั่นอายุประมาณ 150 ปีแล้วนะครับ”
“อย่างนี้กุญแจไขเข้าบ้านคงต้องมีกลไกที่ซับซ้อนมากเลย”
“บ้านกลางป่าแบบนี้ไม่มีใครเขาใส่กุญแจกันหรอกครับ ไม่มีใครกลัวขโมย มีแต่คนลอบเข้าหากันตอนกลางคืน “
“สารวัตรครับ ผมว่าเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า คนร้ายไม่ได้มาจากภายนอกหรอก มันเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว สารวัตรมาพูดอย่างเป็นกันเองอาจด้วยความหวังดี แต่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ยยังไงไม่รู้” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากพูดอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เถิดครับ เรามันพวกทำงานขีด ๆ เขียน ๆ ชินกับความตรงไปตรงมาอยู่แล้ว มาพูดอ้อมค้อมให้เวียนหัวอย่างนี้ ทำให้รู้สึกไม่อยากสนทนาด้วยเลยละครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณยาชิโระ พวกคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับคดีนี้กันดีทั้งนั้น แต่พวกผมเหมือนกระดาษเปล่าและจากนี้ไปก็จำเป็นต้องรู้ อะไรที่พวกคุณรู้ พวกผมไม่รู้ ดังนั้นพวกคุณต้องบอกเรา ผมอยากถามคุณยาชิโระว่า ทำไมคุณจึงบอกว่าคนร้ายไม่ได้มาจากภายนอกครับ”
“ก็เพราะดูแล้วมันไม่ใช่เป็นการกระทำของหัวขโมยน่ะซีครับ คนนอกที่ไหนจะลอบเข้ามาเพื่อฆ่านายนั่น”
“อะไรทำให้คุณคิดว่าคนฆ่าคุณวานิไม่ใช่คนอื่นที่นอกเหนือจากคนที่อยู่ในบ้านนี้”
“อันนี้ผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นคนในบ้านนี้ละก็ส่วนใหญ่อยากให้หมอนั่นตาย ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันทั้งนั้น ไม่ต้องให้คนภายนอกเข้ามาฆ่าหรอกครับ”
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหมอและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
โดอิ โคอิชิ จิตรกรอดีตสามีของอายากะ (ถูกเรียกว่าปิก้า)
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ
อุซุงิ อากิโกะ นักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของอุตางาวะ คาซุมะ ปัจจุบันอยู่กับ มิยาเกะ โมคุเบ
แขกรับเชิญของทามาโอะ: โมชิซึกิ วานิ / ทังโงะ ยุมิฮิโกะ / อุสึมิ อากิระ
อุตางาวะ ทามาโอะ น้องสาวคาซุมะ
อาคาชิ โคโจ ดาราสาว ภรรยาของ (โคโรกุ) ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร
ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะ