ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies
Tokyo University of Foreign Studies
ก้อนอุบาทว์อันสุดหยั่งรู้ว่ามันคืออะไรกำลังกดทับใจผมอยู่ไม่ว่างเว้น จะเรียกว่าความร้อนรนกระวนกระวาย หรือจะเรียกว่าความรังเกียจเดียดฉันท์กันเล่า ช่วงเวลาที่ไม่ต่างจากการดื่มเหล้าทุกวันแล้วเมาค้างมาเยือนแล้ว เกิดความรู้สึกเหมือนการเมาค้างหลังดื่มเหล้านั่นแหละ มันออกจะเลวร้าย ไอ้ที่เลวร้ายไม่ใช่อาการเยื่อเมือกปอดอักเสบกับพลังประสาทอ่อนแรง และไม่ใช่หนี้สินท่วมตัวหรืออะไรพวกนั้นหรอก แต่เจ้าก้อนอุบาทว์นั่นต่างหากคือสิ่งที่เลวร้าย ไม่ว่าดนตรีเสนาะโสตขนาดไหนที่เคยทำให้ผมเบิกบานมาก่อน หรือจะกลอนไพเราะเพียงใดไม่ว่าจะบทไหน ๆ ผมก็ไม่อาจทนเสพได้อีก แม้อุตส่าห์ออกไปข้างนอกเพื่อฟังดนตรีจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง แต่พอผ่านไปแค่สองสามห้องเพลงก็อยากจะลุกหนีโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว มีอะไรบางอย่างทำให้ไม่อาจทู่ซี้อยู่ต่อไป ผมจึงตะลอนจากถนนนี้สู่ถนนโน้นไปเรื่อย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมจำได้ว่าระยะนั้นตัวเองสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่งต่อสิ่งที่ดูซอมซ่อหากงดงาม ถ้าเป็นทัศนียภาพ ก็อย่างเช่นเมืองในสภาพโกโรโกโส และถ้าเป็นเมืองแบบนั้น ก็แทนที่จะชอบถนนใหญ่เปล่าเปลี่ยว กลับชอบถนนทางด้านหลังที่มีเสื้อผ้าสกปรกซักตาก มีขยะเกลื่อนกราด มีห้องรก ๆ แพลมออกมาให้เห็นท่ามกลางบรรยากาศคุ้นชิน เป็นเมืองที่มีบรรยากาศประมาณว่าตกอยู่ในสภาพกรำลมกรำฝนจนเสื่อมสลายใกล้จะกลับกลายเป็นดินในไม่ช้า มีกำแพงดินพัง ๆ กับบ้านเรือนเอียงกระเท่เร่—เหลือสิ่งเดียวที่มีพลังแรงกล้าคือต้นไม้ บางคราอาจมีดอกทานตะวันปรากฏเหมือนเจตนาจะทำให้ตกใจ หรือบางทีอาจมีดอกพุทธรักษาบานอยู่
บางครั้งขณะเดินไปบนถนนแบบนั้น ผมก็พยายามสร้างภาพหลอนขึ้นเองว่าที่นั่นไม่ใช่เกียวโต แต่เป็นเซ็นไดบ้าง เป็นนางาซากิบ้าง ซึ่งล้วนแต่ห่างจากเกียวโตหลายร้อยลี้ และตัวเองกำลังมาที่เมืองนั้น หากทำได้ ผมอยากจะหนีออกจากเกียวโตไปยังเมืองที่ไร้คนรู้จัก เหนืออื่นใดคือขอให้เป็นที่สงบเงียบ เป็นห้องสักห้องของโรงแรมโอ่อ่า มีฟูกนอนสะอาดสะอ้าน มีมุ้งกลิ่นหอมกับชุดยูกาตะที่สวมใส่พอดีตัว อยากจะเอนตัวลงนอนที่นั่นโดยไม่คิดถึงอะไรเลยสักเดือน ถ้าสักวันที่นี่กลายเป็นเมืองเช่นนั้นได้ก็คงดี นั่นคือความปรารถนาของผม—และในที่สุด พอภาพลวงตาเริ่มกลายเป็นจริง ผมจะระบายสีสันแห่งจินตนาการลงไป ไร้สิ่งอื่นใด มีแค่ภาพลวงตาของผมกับเมืองที่จวนเจียนจะพัง แล้วผมจะเพลิดเพลินกับการแลไม่เห็นตัวจริงของตัวเองภายในนั้น
ผมชอบเจ้าสิ่งที่เรียกว่าดอกไม้ไฟด้วย ดอกไม้ไฟที่มิได้หรูหราช่วยปลอบขวัญยามมอง ปรากฏหลากสีทั้งแดง ม่วง เหลือง หรือน้ำเงิน เป็นกระจุกลายทางมากมี ไม่ว่าจะเป็น “ดาวหยาดฟ้าแห่งวัดนากายามะ” “สงครามบุปผา” หรือ “หญ้าซูซูกิโรยรา” แล้วก็สิ่งที่เรียกว่าดอกไม้ไฟหนูด้วย ซึ่งจะแตกออกเป็นวง ทีละวง แล้วหุบอัดเข้าไปอยู่ในกล่อง อะไรแบบนั้นคือสิ่งที่ตรึงใจผมอย่างประหลาด
นอกจากนี้ ผมชอบลูกแก้วเม็ดแบน ๆ ที่ลงลายรูปปลากะพงบ้างลายดอกไม้บ้างด้วยกระจกสี และชอบลูกปัดหลากสี และสำหรับผม การเลียสิ่งนี้เป็นความสุขยอดปรารถนาอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีรสชาติใดที่เย็นนิด ๆ ประมาณเดียวกันกับรสชาติของลูกแก้วกระจกสีอีกแล้ว ตอนเด็ก ๆ ผมเอามันใส่ปากบ่อย ๆ และถูกพ่อแม่ดุ แต่คงด้วยความทรงจำหวานชื่นตอนเด็กหวนกลับมาสู่ผมผู้เติบใหญ่และอยู่ในสภาพตกต่ำกระมัง รสชาตินั้นจึงผุดลอยขึ้นมาเป็นนานัครสอันแผ่วจางสดชื่นยิ่งนัก ให้ความรู้สึกคล้ายคลับกับความวิจิตรแห่งบทกวี
คงเดากันได้ว่าผมไม่มีเงินเลย แต่ถึงกระนั้น ความหรูหราก็จำเป็นอยู่นั่นเอง เพื่อปลอบโยนตัวผมแม้เพียงน้อยในยามที่หัวใจสั่นไหวเมื่อเห็นของพวกนั้น ของราคาสองเซ็นสามเซ็น—นั่นเป็นของหรู เป็นของสวยงาม—นั่นคือสิ่งที่ยวนยั่วการสัมผัสของผมผู้ไร้ชีวิตชีวา ของเหล่านั้นปลอบประโลมผมได้โดยธรรมชาติ
สถานที่ที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่ตอนที่ชีวิตยังไม่ตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมก็อย่างเช่นร้านมารุเซ็น ออเดอโคโลญจน์และน้ำยาบำรุงผมขวดสีแดงและเหลือง ขวดน้ำหอมสีอำพันและสีหยกที่มีลายแก้วเจียระไนเก๋ไก๋และมีลายนูนของศิลปะโรโกโกอันงามสง่า กล้องยาสูบ มีดพก สบู่ บุหรี่ มีบางครั้งที่ผมใช้เวลาดูของเหล่านั้นถึงราวหนึ่งชั่วโมง แต่นี่ก็เหมือนกัน สำหรับผมตอนนั้น มันกลับกลายเป็นเพียงสถานที่ที่น่าหดหู่เสียแล้ว สำหรับผม หนังสือ นักศึกษา แท่นคิดเงิน เหล่านี้ล้วนดูไม่ต่างกับวิญญาณท้วงหนี้ไปเสียสิ้น
ระยะนั้นผมดำรงชีวิตโดยอาศัยเช่าบ้านเพื่อนอยู่และย้ายเป็นระยะจากเพื่อน ก ไปยังเพื่อน ข เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศว่างเปล่าหลังจากเพื่อนออกไปโรงเรียนและผมถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง ผมต้องออกตระเวนไปจากตรงนั้นอีก เหมือนมีอะไรบางอย่างไล่กวดผม แล้วผมก็ตะลอนจากย่านนี้สู่ย่านโน้น เดินไปตามถนนด้านหลังแบบที่กล่าวเมื่อครู่ หยุดที่หน้าร้านขายขนมธรรมดา ๆ จ้องมองกุ้งแห้ง ปลาคอดตากแห้ง และฟองเต้าหู้แห้งที่ร้านขายของแห้ง และในที่สุดก็มุ่งสู่ถนนนิโจ เข้าสู่ย่านเทรามาจิ แล้วหยุดเท้าที่ร้านผลไม้ตรงนั้น อยากจะแนะนำให้รู้จักร้านผลไม้ร้านนั้นกันตรงนี้เสียหน่อย ร้านผลไม้แห่งนั้นเป็นร้านที่ผมชอบที่สุดในบรรดาร้านที่ผมรู้จัก แน่นอนว่าที่นั่นไม่ใช่ร้านเลิศหรูอะไร แต่เป็นร้านที่ชวนให้รู้สึกถึงความงามเฉพาะตนในฐานะร้านผลไม้ได้อย่างชัดเจน มีผลไม้วางเรียงอยู่บนชั้นเอียงที่ค่อนข้างชัน ชั้นวางนั้นมองเห็นเป็นแผ่นไม้ลงน้ำยาชักเงาสีดำเก่าคร่ำคร่า มีดนตรีส่งกระแสเสียงเร่งเร้ารื่นหูอยู่ในร้าน เหล่าผลไม้ที่วางตั้งอยู่ก็มีสีสันและปริมาณไม่แพ้เสียงดนตรี ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนแน่นิ่งดุจคนที่กลายเป็นหินเมื่อมองหน้ากากปีศาจของสัตว์ประหลาดกอร์กอนในตำนานกรีก แน่ทีเดียว ผักก็เช่นกัน ยิ่งลึกเข้าไป ก็ยิ่งเทินกันเป็นกองสูง—ความสวยของใบแครอตที่นั่นก็ช่างเลิศเลอเสียจริง ไหนจะถั่วและพืชจำพวกขาเขียดที่แช่น้ำอีกเล่า
และความงดงามของร้านนั้นคือยามราตรี ถนนเทรามาจิคึกคักตลอดเวลา แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้น เมื่อเทียบกับโตเกียวและโอซากาแล้ว ย่อมถือว่าเงียบกว่ากันเยอะ อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รอบร้านนั้นถึงได้มืดอย่างประหลาด เนื่องจากถนนทางด้านนิโจมักจะมืดอยู่แล้ว การที่พื้นที่บริเวณนั้นมืดจึงเป็นเรื่องปกติ แต่ร้านนี้อยู่ที่ถนนเทรามาจิแท้ ๆ กลับมืดอย่างเห็นได้ชัด และถ้าร้านนั้นไม่มืด ผมก็คงไม่สะดุดใจถึงขนาดนั้น อีกเรื่องหนึ่งคือ มีซุ้มหลังคายื่นออกมา แลดูเหมือนร้านนี้สวมหมวกและดึงกะบังลงมาปิดตาไว้ ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ จึงอดคิดไม่ได้ว่า “เอ๊ะ ร้านตรงโน้นใส่หมวกนี่นา” และด้วยพื้นที่รายรอบมืดมิดอย่างนั้น ความมลังเมลืองที่ดวงไฟจำนวนหนึ่งของร้านสาดส่องราวกับฝนไล่ช้าง จึงทอแสงงามตาชวนให้ปรารถนาจะได้ครอง และไม่มีทางที่จะถูกใครแถวนั้นพรากไปได้ การมองภาพร้านผลไม้แห่งนี้ ไม่ว่าจะยืนมองที่ถนนซึ่งไฟอันเปลือยเปล่าส่งแสงเป็นแท่งเกลียวลีบยาวแยงตา หรือโผล่ออกมามองจากหน้าต่างกระจกชั้นสองของร้านกุญแจที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าพอใจชนิดที่หายากเต็มทีสำหรับผมแม้แต่ในย่านเทรามาจิ
วันนั้นผมซื้อของที่ร้านผลไม้อย่างที่ไม่ค่อยทำ ซื้อเพราะร้านนั้นมีเลมอนที่หายากอยู่ด้วย เลมอนมีออกเกลื่อนกล่น แต่เพราะร้านนั้นเป็นแค่ร้านขายผักผลไม้ธรรมดา ๆ ที่ไม่ถึงกับซ่อมซอ ผมจึงไม่ค่อยเห็นผ่านตาเท่าไรจวบจนถึงตอนนั้น เดิมผมชอบเลมอนอยู่แล้ว สีของมันเรียบง่ายเหมือนสีเหลืองเลมอนของสีวาดภาพที่บีบออกจากหลอด และยังมีรูปร่างคล้ายกรวยสูง ๆ อีกด้วย ผลสุดท้าย ผมตัดสินใจซื้อเลมอนแค่ลูกเดียว
จากนั้นผมจะเดินไปไหนและจะไปอย่างไรเล่า ผมเดินอยู่นาน รู้สึกว่าก้อนอุบาทว์เกินหยั่งรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ที่กดทับใจผมอยู่ตลอดคลายตัวบ้างแล้วตั้งแต่กำเลมอน ผมรู้สึกเป็นสุขยิ่งบนถนน ความหดหู่ที่เซ้าซี้อยู่อย่างนั้นผ่านการปัดเป่าให้หลีกเร้นไปด้วยเลมอนหนึ่งลูก
แต่กระนั้นก็ตาม เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหัวใจนี่ช่างน่าพิศวงอะไรเยี่ยงนี้
ความเย็นของเลมอนลูกนั้นไม่มีอะไรจะเปรียบได้ ช่วงนั้นผมอยู่ในสภาพที่ยอดปอดกำลังย่ำแย่ และเป็นไข้ตัวร้อนอยู่ตลอด คงด้วยความร้อนกระมัง ความเย็นที่มาจากฝ่ามือและแผ่ซอนซ่านเข้าไปในกายจึงเป็นความรู้สึกสบาย ผมนำเลมอนขึ้นจ่อจมูก ดมครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้นสูดอากาศรวยรื่นเข้าไปลึกยิ่งจนเต็มปอด ความผ่าวร้อนอันอ้อยอิ่งของโลหิตอุ่น ๆ ก็พร่างพรูขึ้นตามร่างกายและที่ใบหน้าของผมผู้ไม่เคยได้หายใจเต็มปอดแม้เพียงครั้ง แล้วความกระชุ่มกระชวยก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมฉงนฉงายที่ความรู้สึกเย็น สัมผัส และการรับรู้ทางสายตาอันเป็นประสาทสัมผัสพื้น ๆ เกิดขึ้นอย่างพอเหมาะพอเจาะแก่ผมจริง ๆ จนอยากจะเอ่ยว่านี่คือสิ่งที่ผมเพียรเสาะหามาตลอดตั้งแต่เมื่อก่อน ซึ่งเป็นเรื่องของเมื่อครั้งกระโน้น
ผมกระดอนจากอดีตกลับมาสู่ความตื่นเต้นอ่อน ๆ และขณะที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอิ่มเอมชนิดหนึ่ง ก็เดินพลางคิดคำนึงถึงกวีที่แต่งตัวงามงดออกมาเดินเล่นในเมือง ลองเอาเลมอนวางบนผ้าเช็ดหน้าเปรอะเปื้อน ลองเอาประกบบนเสื้อคลุม ลองวัดการสะท้อนแสงของสี แล้วก็คิดพลางไถ่ถามและงงงวยกับน้ำหนักของเลมอน คิดเรื่องไร้แก่นสารจากจิตใจเปี่ยมอารมณ์ขันซึ่งเกิดความผยองขึ้นมาว่า นี่แหละ น้ำหนักอย่างนี้นี่แหละ ไม่ผิดแน่แล้ว น้ำหนักนี้คือน้ำหนักที่คำนวณโดยแปลงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่งดงาม ให้กลายมาเป็นความหนัก
ผมเดินอยู่ที่ไหนและเดินอย่างไรกันเล่า ท้ายสุดถึงได้ไปยืนอยู่หน้าร้านมารุเซ็น ซึ่งตามปกติแล้วผมจะหลบเลี่ยง แต่ตอนนั้น ผมคิดว่าจะเข้าไปร้านได้อย่างง่ายดาย
“วันนี้ ลองเข้าไปสักตั้ง”
แล้วผมจึงเข้าไปโดยไม่ครั่นคร้าม
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุอันใดกันเล่า ความรู้สึกผาสุกที่เปี่ยมหัวใจของผมถึงได้ค่อย ๆ หลบลี้หนีหาย ผมคิดว่าคงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินวนไปโน้นไปนี่ ผมลองไปที่หน้าชั้นวางหนังสือภาพเขียน และรู้สึกว่าแม้แต่การหยิบหนังสือรวมภาพเล่มหนักออกมาก็จำเป็นต้องใช้แรงมากกว่าปกติ! แต่ผมก็ลองดึงออกมาทีละเล่มและเปิดดู ความรู้สึกที่จะพลิกเปิดดูอย่างละเอียดไม่ผุดขึ้นมาเลย แต่ยังคงดึงเอาเล่มต่อไปออกมาอีกเล่มหนึ่งราวกับต้องคำสาป กับเล่มใหม่ก็ทำเหมือนกัน เป็นอยู่อย่างนั้น และถ้าไม่พลิกให้ผ่าน ๆ ไป ความรู้สึกก็จะไม่สงบลง แต่ผมทนมากกว่านั้นไม่ไหวแล้ว จึงวางมันทิ้งไว้ตรงนั้น ไม่มีแม้แต่พละกำลังจะวางคืนกลับเข้าที่เดิม
ผมทำเช่นนั้นซ้ำหลายครั้ง ความเหนื่อยล้ายังคงอยู่ที่กล้ามเนื้อมือ ผมรู้สึกหดหู่ มองหนังสือที่ตัวเองดึงออกมาแล้วทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นกองพะเนินเทินทึก
“อ้า ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
ตอนนั้นผมนึกถึงเลมอนที่อยู่ในแขนเสื้อกิโมโนขึ้นมา จึงลองเอาหนังสือมาสุมให้สีคละกัน แล้วถ้าลองใช้เลมอนลูกนี้สักครั้งล่ะ จะเป็นยังไง? “ใช่แล้ว”
ความตื่นเต้นอ่อน ๆ เมื่อครู่หวนกลับมาสู่ผม ผมเอาหนังสือเล่มใกล้มือค่อย ๆ สุมขึ้นก่อน แล้วรื้อลงอย่างเร่งร้อน แล้วก็สร้างขึ้นอย่างเร่งร้อน
ในที่สุดก็ทำเสร็จ ต่อมาก็ปรามใจที่ลิงโลดหน่อย ๆ พลางวางเลมอนลงไปบนยอดกำแพงปราสาทด้วยใจตุ๋ม ๆ ต่อม ๆ ครั้นแล้วสิ่งนั้นก็เสร็จสิ้น
พอมองกราดไป ก็เห็นสีสันของเลมอนดูดซับสีอันคละเคล้าเข้าไปในตัวอย่างเร้นลับ...แล้วคืนกลับใสแจ๋ว ผมรู้สึกราวกับว่า ในอากาศระคนฝุ่นภายในร้านมารุเซ็นนั้นมีแต่อากาศรอบ ๆ เลมอนเท่านั้นที่เขม็งตึงอย่างประหลาด ผมมองดูสภาพนั้นครู่หนึ่ง
แล้วจู่ ๆ ความคิดที่สองก็วาบขึ้น แผนแปลก ๆ ทำให้ผมตระหนก—ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ แล้วผมก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินออกไปข้างนอก—เกิดความรู้สึกจักจี้ขึ้นอย่างประหลาดในตัวผม
“ออกไปดีกว่ามั้ง ใช่ ออกไปดีกว่า”
ผมจ้ำพรวด ๆ ออกไป
ความรู้สึกจักจี้แปลก ๆ ทำให้ผมซึ่งอยู่บนถนนยิ้มออก ชายคนร้ายลึกลับผู้วางกับดักกระสุนอันน่ากลัวที่ส่องประกายสีเหลืองทองสู่ชั้นวางของในร้านมารุเซ็นคือผม และหลังจากนั้นสิบนาที หากร้านมารุเซ็นเกิดระเบิดครั้งใหญ่โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ชั้นวางศิลปวัตถุขึ้นมาละก็ จะสนุกขนาดไหนกันนะ
ผมครุ่นรำลึกสู่จินตนาการนี้อย่างจริงจัง
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ร้านมารุเซ็นอันน่าอึดอัดก็จะกลายผุยผง”
และแล้วผมก็เดินสู่ยานเคียวโงกุที่มีป้ายโฆษณาหนังแต่งแต้มสีสันให้แก่ถนนด้วยบรรยากาศแปลก ๆ
ส่งท้าย
บางทีคนเราก็มีช่วงเวลานึกสนุกอยากทำอะไรแผลง ๆ ดังเช่นชายในเรื่อง “เลมอน” ซึ่งเป็นเรื่องสั้นฝีมือของโมโตจิโร คาจิอิ (梶井基次郎; Kajii Motojirō ; พ.ศ. 2444 – 2475) หลังจากเรื่องเลมอนเผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2467 ปรากฏว่ามีคนทำพฤติกรรมเลียนแบบโดยการนำลูกเลมอนไปวางที่ร้านมารุเซ็นจริง ๆ ดังที่ตัวเอกของเรื่องทำ (ร้านมารุเซ็นอยู่ในเกียวโต แต่ปิดตัวลงแล้วเมื่อปลายปี 2543)
ระยะนี้มีโอกาสได้หยิบผลงานของโมโตจิโร คาจิอิมาอ่านติด ๆ กัน จึงอยากนำเรื่องนี้มาแปลเรียบเรียงและชวนกันอ่าน เผื่อนักอ่านชาวไทยจะได้คุ้นชื่อนักเขียนญี่ปุ่นคนนี้เพิ่มขึ้นอีกหน่อยในขณะที่วรรณกรรมแปลของญี่ปุ่นได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งรุ่นคลาสสิกและร่วมสมัย
ชื่อของคาจิอิแทบไม่เป็นที่รู้จักเลยสำหรับนักอ่านชาวไทย เหตุผลหลักคือนักเขียนผู้นี้เพราะอายุสั้น ซึ่งทำให้ระยะเวลาสร้างสรรค์ผลงานสั้นไปด้วยและการแปลเป็นภาษาต่างประเทศก็มีไม่มากนัก แต่ก็มีผลงานประจำตัวที่รู้จักกว้างขวางในญี่ปุ่นคือเรื่อง “เลมอน” (檸檬;Remon) และอีกเรื่องหนึ่งคือ “ใต้ต้นซากุระ” (https://mgronline.com/japan/detail/9610000030045)
สำหรับเรื่องเลมอน นักเขียนญี่ปุ่นรุ่นหลัง ๆ และนักวิจารณ์ประเมินคุณค่าไว้สูงด้วยเหตุผลที่ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสะท้อนความรู้สึกซุกซนหรือคึกคะนองที่แฝงอยู่ในตัวทุกคน ส่วนนักอ่านชาวไทยที่ได้ลองอ่าน จะรู้สึกอย่างไรหรือวิจารณ์อย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับภูมิหลังทางด้านการอ่านของแต่ละคนและรสนิยมในฐานะคนไทยด้วย แต่อย่างน้อยในช่วงอากาศร้อน ๆ ของเดือนเมษายน ก็หวังว่าบรรยากาศเย็น ๆ ของ “เลมอน” จะช่วยให้คลายร้อนกันได้บ้าง
**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com