บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
คุณนายทำกับพี่ชายคุณเหมือนเขาเป็นของเล่นเบื่อแล้วขว้างทิ้งจนเขาชอกช้ำถึงตาย ไม่ฆ่าก็เหมือนค่ากันทางอ้อม ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังหนีไม่รับผิดชอบ ฟังนะว่าเจ้าหล่อนพูดว่ายังไง...คุณอะโอะกิฆ่าตัวตายไม่ใช่เพราะดิฉัน เขาตายเพราะความอ่อนแอต่างหาก...ฟังเจ้าหล่อนพูดซีครับ และไม่เท่านั้น...”
ยิ่งพูดดูเหมือนอารมณ์ของสุภาพบุรุษจะยิ่งพลุ่งพล่านขึ้น
6
สุภาพบุรุษกราดเกรี้ยวต่อไป
“ไม่ใช่เท่านั้น หล่อนฆ่าคุณอะโอะกิทางอ้อมคนเดียวไม่พอ ยังเอื้อมมือมาที่คุณ...น้องชายของคุณอะโอะกิอีก...”
“พอเถอะครับ พอแล้ว”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเหมือนห้าม
“ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจดีทีเดียว แค่คุณมีหลักฐานไหม หลักฐานที่ว่าพี่ชายผมถูกเจ้าหล่อนหลอกเล่นรักด้วยจนเจ็บช้ำจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย มีไหมครับ”
ชายหนุ่มคาดคั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายกล้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มีซีครับ ผมจะให้ดู แต่ไม่ต้องตื่นเต้น สงบสติอารมณ์เอาไว้”
สุภาพบุรุษพูดพลาง ลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางไว้ตรงมุมห้อง เปิดออกแล้วหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง
“นี่ครับ คุณจำลายมือคนเขียนได้ไหม”
เขาถามขณะวางสมุดเล่มนั้นลงบนโต๊ะหวาย ชายหนุ่มจ้องเขม็งราวกับจะให้ทะลุลงไป บนปกเขียนชื่อ อะโอะกิ จุน ด้วยลายมือของพี่ชายอันแสนจะคุ้นเคย
“ผมดูนะ”
ชายหนุ่มเอื้อมมือที่สั่นน้อย ๆ ไปหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา
ความเงียบอย่างน่ากลัวที่ครอบคลุมไปทั่วห้องทั้งห้อง ถูกทำลายด้วยเสียงพลิกกระดาษทีละแผ่นที่เสียดแทรกเข้ามาเป็นจังหวะ
ชายหนุ่มอ่านอยู่เงียบ ๆ ราวสองสามนาที เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เริ่มมีเสียงเคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อย จากแรงสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีดของคนนั่ง
สุภาพบุรุษโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามามองไปที่สมุดเล่มนั้นพลางเอ่ยขึ้นว่า
“เป็นยังไงล่ะครับ ไม่มีหลักฐานอะไรจะแน่นแฟ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ที่นี้คุณคงเข้าใจความรู้สึกของคุณพี่คุณตอนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ได้ดีว่ามันสาหัสสากรรจ์แค่ไหน ถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุเสียก่อนที่กลางทาง คุณพี่จะต้องไปจบชีวิตตนเองที่อะตะมิหรือไม่ก็ที่ไหนสักแห่งแน่”
ใบหน้างามคมคายของชายหนุ่มซีดเขียวและบึ้งตึงไปด้วยความโกรธ ถ้อยคำที่สุภาพบุรุษพูดต่อไปยิ่งป่วนอารมณ์ของคนฟังให้คลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น
“คุณเห็นเรื่องนาฬิกาแพลทินัมที่คุณพี่คุณเขียนถึงใช่ไหม คุณพี่อ้อนวอนผมจนลมหายใจสุดท้ายให้ผมเอาไปคืนเจ้าของให้ได้ นาฬิกาที่คุณพี่ได้รับเป็นของขวัญจอมปลอมเรือนนั้นเปื้อนเลือดโดยบังเอิญ คิดว่าตอนรถชนกระจกหน้าปัดคงแตกบาดเอาจนเลือดไหล”
“แล้วนาฬิกาเรือนนั้นเป็นยังไง เป็นยังไงช่วยบอกผมที”
อารมณ์ของชายหนุ่มพลุ่งพล่านราวทะเลเป็นบ้า
“แน่นอน ผมคืนเจ้าหล่อนไปแล้ว ตอนเอาไปคืนคิดว่าจะเอาไปโยนให้ต่อหน้า แล้วระบายความเคียดแค้นที่รับฝากมาจากคุณพี่คุณให้สมกับที่ได้อัดอั้นรอโอกาสมานาน แต่เสียใจครับ...หล่อนไม่ให้โอกาสผมทำอะไรห้าวหาญเช่นนั้นแต่กลับใช้เสน่ห์ความเป็นหญิงงาม เสน่ห์ราวนางโลมที่มากด้วยมารยาลวงล่อจนผมอดเคลิบเคลิ้มไปด้วยไม่ได้เป็นหลายครั้ง ผู้ชายอย่างเราไม่มีอะไรจะมาทัดทานมารยาสารพัดพิษของหล่อนได้ ผมเสียใจจริง ๆ”
“หล่อนคือนางโลม นางงามเมือง หล่อน...”
ชายหนุ่มปล่อยคำผรุสวาทรุนแรงออกมาอีกหลายคำด้วยเสียงดังราวคนเสียสติ
“คำมอบหมายของคุณพี่คุณเป็นภาระหนักหนาที่ผมแบกติดตัวอยู่อยู่ ผมมีโอกาสที่จะปลดเปลื้องมันออกไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ต้องสูญเสียมันไปอย่างไม่วันหวนกลับไปอีก เพราะความลุ่มหลงตัวเดียวแท้ ๆ ผมไม่อาจทำตามที่คุณพี่คุณมอบหมายแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ผมคิดจะช่วยคุณแทน ช่วยคุณให้พ้นออกมาจากผู้หญิงคนนี้ ผมคิดว่านั่นเป็นความรับผิดชอบของผมที่จะต้องช่วยดึงคุณขึ้นมาจากห้วงเหวแห่งประสบชะตากรรม ไม่ให้คุณต้องพลาดพลั้งเช่นเดียวกับคุณพี่
ผมตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับหล่อนอีกต่อไป แต่ก่อนผละออกมาผมได้พยายามพูดโน้มน้าวใจหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายให้สำนึกถึงสิ่งที่ได้ทำกับคุณพี่คุณ และขอให้เว้นน้องชายของเขาสักคน อย่าเห็นเขาเป็นเครื่องเล่นของหล่อนไปอีกคนหนึ่งเลย จนครั้งนี้ผมจึงได้ประจักษ์ใจแล้วว่า นอกจากจะสลัดคำขอร้องของผมทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้ว ยังหยามน้ำหน้าผมด้วยการพาคุณมาที่นี่ด้วย”
7
สุภาพบุรุษลดความแรงของถ้อยคำจนเกือบเป็นปลอบ เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแดงเข้มขึ้นด้วยความโกรธจัดราวสะท้อนแสงจากเปลวไฟที่กำลังลุกโชติช่วง
“ไม่แปลกที่คุณจะต้องโกรธและตกใจกับความร้ายกาจเกินคาดของผู้หญิงคนนี้ แต่ผมขอร้อง อย่าเข้าใกล้เจ้าหล่อนเป็นดีที่สุด ถ้าคุณโกรธแค้นและพยายามเอาคืน ไม่นานคุณจะเข้าไปติดกับที่เจ้าหล่อนวางไว้ คุณจะหลุดเข้าไปติดอยู่ในใยแมงมุมที่เจ้าหล่อนขึงดักไว้รัดจนกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือไปเสียให้พ้น ไปเสียให้ไกลโดยเร็ว โบราณเขาว่าไว้...รู้ว่าร้ายแล้วอย่าเข้าไปจับต้อง...เจ้าหล่อนนั้นร้ายเสียยิ่งกว่าร้าย”
สุภาพบถรุษหัวเราะเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าพยายามผ่อนคลายบรรยากาศที่ออกจะตึงเครียด
“ผมดีใจที่ได้มีโอกาสพุดกับคุณ รู้สึกผ่อนคลายลงมากที่ได้รับผิดชอบทำตามที่คุณพี่คุณสั่งเสียเอาไว้ ถ้าคุณฟังคำเตือนของผม ผมก็จะดีใจเป็นที่สุด นี่ถ้าพบคุณช้าเกินไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง”
สีหน้าของสุภาพบุรุษแสดงความดีใจจริง ๆ ตามคำพูด แต่คำเตือนของเขาทันเวลาจริงหรือ
ไม่ทัน...สายไปเสียแล้ว สายไปแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ดังนั้น คำพูดของเขาจึงไม่ใช่คำเตือน ไม่ใช่คำที่เหมือนลมเป่าให้ไฟที่กำลังคุขึ้นมาดับลงก่อนที่จะลุกโพลงขึ้น แต่กลับเป็นคำที่เหมือนลมกระโชกพัดกระพือให้ดวงไฟนั้นลุกโชติช่วงขึ้น
ชายหนุ่มผละหนีออกมาได้หลังจากที่คุณนายโฉมงามพราวเสน่ห์ย่ำยีจนยับเยินราวของเล่น ความแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกถูกกระพือพัดให้หมุนคว้างราวกับจะระเบิดออกมา จิตใต้สำนึกร้องบอกเขาว่า...ไม่ใช่นายเท่านั้น นางทำกับคุณพี่ของนายมาแล้ว คุณพี่ถูกผู้หญิงคนนี้ย่ำยีเกียรติศักดิ์ความเป็นชาย ถูกนางใช้เสน่ห์ชักนำให้ลุ่มหลง จนสูญสิ้นทั้งใจและกาย...
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเตือน”
ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ อารมณ์สะเทือนใจอย่างหนักทำให้เขาเซไปคล้ายจะเป็นลม สุภาพบุปราดเข้ามาพยุงไว้
“อย่าพลุ่งพล่านไปเลยครับ สงบจิตสงบใจเอาไว้”
ชายหนุ่มสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม
“ช่างเถอะครับ ปล่อยผม ผมไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรครับ”
ชายหนุ่มเดินเซน้อย ๆ ออกไปที่เฉลียงทางเดิน ถึงปากจะบอกว่า...ไม่เป็นไร...แต่ท่าทางของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่พูด
พายุอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรง ความโกรธและความแค้นที่ประดังขึ้นมาท่วมท้นอยู่ในอก ดับดวงไฟแห่งสติและสัมปชัญญะหมดสิ้น
“ทำกับคุณพี่ไม่พอ ยังตามรังควาญมาถึงฉัน”
คิดมาถึงตรงนี้ เลือดทั้งตัวก็เดือดพล่าน
“หว่านเสน่ห์ล่อให้คุณพี่หลงอย่างนั้น ไม่ฆ่าก็เหมือนฆ่า แล้วยังไม่ทันจะสองเดือนก็หันมาจองเวรเรา...เพื่ออะไรกัน...พาฉันมาถึงฮาโกเน่แล้วหยามน้ำหน้า ฉีกหน้าให้ฉันอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน...เพื่ออะไร”
เลือดที่เดือดพล่านพลุ่งขึ้นไปที่สมอง กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งกระตุก
ประเทศชาติ สังคม กฎหมาย พ่อแม่พี่น้อง ความกลัวความละอาย ความรักและความใคร่...ไม่เหลือสำนึกใด ๆ ในสมอง นอกจากความเคียดแค้นรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัว ความเคียดแค้นราวดินปืนถูกจุดให้ระเบิดพุ่งแรงกระทบสะท้อนไปมาและขึ้นลงสะท้านสะเทือนอยู่ในอก
ประโยคหนึ่งในบันทึกของพี่ชายติดตรึงอยู่ในใจเหมือนถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน
“ใช่...ฉันควรตาย เพื่อให้หล่อนรู้เสียทีว่าการหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายใจบริสุทธิ์สักคนหลงรักแล้วสลัดทิ้งนั้นมันอัตรายเพียงใด”
อนิจจา...ความตายของคุณพี่ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้สำนึกอะไรเลยจนนิด เอาละ..หากหล่อนเป็นคนกิเลศหนาและไร้ยางอายถึงขนาดมองความตายของคุณพี่ด้วยสายตาเย็นชาเช่นนั้นก็ต้องเห็นดีกัน ใช่...คอยดูก็แล้วกันว่าฉันจะทำอย่างไรให้หล่อนสำนึก
เลือดทั้งหมดในกายตัวของชายหนุ่มแล่นพล่านทวนกระแสขึ้นไปปั่นป่วนสมองที่สับสนราวเป็นบ้าอยู่แล้ว ด้วยพลังทำลายล้างรุนแรงดั่งคลื่นยักษ์สึนามิ
8
ที่สวนโกระ อารมณ์ของมินะโกะและรุริโกะผ่องแผ้ว จิตใจอิ่มเอิบเมื่อได้เผยความในใจและรู้ซึ้งถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อกัน ทั้งสองกลับมายังมิยะโนะชิตะหลังจากอยู่ที่สวนกว่าชั่วโมง เมื่อราวสี่ทุ่ม
แม้จะกังวลเรื่องชายหนุ่มแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถึง แต่พอเข้าไปในห้องพักรุริโกะก็อดที่จะเดินไปที่ประตูห้องนอนของชายหนุ่มไม่ได้
“คุณอะโอะกินอนหรือยังไม่รู้”
เธอหันมาเปรยกับมินะโกะก่อนเอื้อมมือไปที่ประตู และพบว่าติดล็อกข้างในซึ่งผิดจากธรรมดา
“หลับแล้วละ”
รุริโกะบอกอย่างโล่งใจ
ทั้งสองกลับไปที่ห้องพักซึ่งนอนด้วยกันและขึ้นเตียงนอนเมื่อห้าทุ่มล่วงแล้ว หลังดับไฟมินะโกะยังคุยกับแม่เลี้ยงของเธอต่อไปอีกพักหนึ่งจนนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน สาวน้อยพยามยามข่มตาให้หลับลงแต่ความตื่นเต้นจากเหตุการณ์ที่ได้ประสบมา...เหตุการณ์รุนแรงและสับสนที่เธอไม่เคยพานพบตั้งแต่เกิดมา ยังตามมารบกวนจิตประสาทไม่หยุดหย่อน ยิ่งพยายามหลับเพียงใดสติก็ยิ่งแจ่มชัด ภาพเหตุการณ์ตอนหัวค่ำวนเวียนเข้ามาในห้วงคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่บูดบึ้งไปด้วยความโกรธแวบเข้ามาแล้วเลือนไปซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน
ยิ่งข่มใจให้หลับเพียงไรจิตประสาทก็ยิ่งตื่นตัว รื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาไม่หยุด ภาพตนเองในวัยเด็ก ความตายของแม่ ความตายของพ่อ เรื่องราวของพี่ชาย ประดังประเดกันเข้ามาในสมอง จนตีหนึ่ง
รุริโกะที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ ซึ่งดูเหมือนจะนอนไม่หลับอยู่พักหนึ่งเหมือนกันนั้น ตอนนี้เริ่มได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ เป็นจังหวะแสดงว่าหลับแล้ว
มินะโกะยิ่งกระสับกระส่ายเมื่อรู้ว่าแม่เลี้ยงหลับไปก่อน พยายามนับเลข พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อสงบจิตสงบใจแต่ก็ไร้ผล เสียงกราดเกรี้ยวของชายหนุ่มที่เพิ่งได้ยินเมื่อหัวค่ำ สะท้อนกลับมารบกวนอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งนาฬิกาตีบอกเวลาตีสอง มินะโกะก็ยังไม่หลับทั้ง ๆ ที่สมองและดวงตาที่เหนื่อยล้าน่าจะสงบสักทีได้แล้ว จนตีสาม ประสาทรับรู้ของสาวน้อยอ่อนเพลียเต็มทีตาที่แข็งขืนอยู่เริ่มหนักอึ้ง เธอกระสับกระส่ายอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่พักหนึ่ง พอเคลิ้มหลับไปได้นิดหนึ่งก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา จนในที่สุดก็หลับไปเหมือนถูกดึงลงไปในหนองน้ำอันลึกล้ำและมืดสนิท
ขณะที่มินะโกะกำลังหลงอยู่ในห้วงกึ่งจริงกึ่งฝันร้ายนั้นเอง สาวน้อยรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจะเข้ามาทำร้าย รู้สึกเหมือนบานประตูห้องนอนเคลื่อนไหว รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนที่จะเข้ามาทำร้ายเธอ แต่ประสาทรับรู้อยู่ในภาวะสับสนและเฉื่อยชาเกินกว่าจะบังคับให้ลืมตาตื่นขึ้นมาดูให้แน่ว่านั่นเป็นความฝันหรือความจริง
ในที่สุดฝันร้ายก็เข้าครอง ในฝัน...เธอกับแม่เดินอยู่ด้วยกันบนทางในชนบทที่ไหนสักแห่ง แม่ในสำนึกแห่งความฝันนั้นคือแม่แท้ ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว...คือแม่เลี้ยงของเธอคนนี้ ทันใดนั้นมีอะไรขาว ๆ ปรากฏขึ้นมาที่ขอบพื้นราบแล้วพุ่งเข้าหาเธอกับแม่ด้วยพลังแรงราวลูกธนู พอมันพุ่งข้ามลำธารตรงหน้าจึงได้รู้ว่ามันคือวัวกระทิงสีขาวสะอาด วัวกระทิงพุ่งตัวเข้าใส่สองแม่ลูกที่กำลังยืนตะลึง มินะโกะกรีดร้องแล้ววิ่งหนี
แม่หนีไม่ทัน...วัวกระทิงกระโจนเข้าขวิด และในพริบตานั้นเอง มินะโกะไม่ทันที่จะร้องอะไรออกมา วัวกระทิงก็ขวิดเขาแหลมราวคมของเหล็กกล้าเข้าที่ท้องของแม่...แม่กรีดร้องสุดเสียงสะเทือนขวัญมินะโกะเป็นที่สุด
มินะโกะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย แต่น่าแปลก...ทำไมเสียงร้องครวญครางยังไม่สิ้น
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
คุณนายทำกับพี่ชายคุณเหมือนเขาเป็นของเล่นเบื่อแล้วขว้างทิ้งจนเขาชอกช้ำถึงตาย ไม่ฆ่าก็เหมือนค่ากันทางอ้อม ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังหนีไม่รับผิดชอบ ฟังนะว่าเจ้าหล่อนพูดว่ายังไง...คุณอะโอะกิฆ่าตัวตายไม่ใช่เพราะดิฉัน เขาตายเพราะความอ่อนแอต่างหาก...ฟังเจ้าหล่อนพูดซีครับ และไม่เท่านั้น...”
ยิ่งพูดดูเหมือนอารมณ์ของสุภาพบุรุษจะยิ่งพลุ่งพล่านขึ้น
6
สุภาพบุรุษกราดเกรี้ยวต่อไป
“ไม่ใช่เท่านั้น หล่อนฆ่าคุณอะโอะกิทางอ้อมคนเดียวไม่พอ ยังเอื้อมมือมาที่คุณ...น้องชายของคุณอะโอะกิอีก...”
“พอเถอะครับ พอแล้ว”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเหมือนห้าม
“ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจดีทีเดียว แค่คุณมีหลักฐานไหม หลักฐานที่ว่าพี่ชายผมถูกเจ้าหล่อนหลอกเล่นรักด้วยจนเจ็บช้ำจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย มีไหมครับ”
ชายหนุ่มคาดคั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายกล้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มีซีครับ ผมจะให้ดู แต่ไม่ต้องตื่นเต้น สงบสติอารมณ์เอาไว้”
สุภาพบุรุษพูดพลาง ลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางไว้ตรงมุมห้อง เปิดออกแล้วหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง
“นี่ครับ คุณจำลายมือคนเขียนได้ไหม”
เขาถามขณะวางสมุดเล่มนั้นลงบนโต๊ะหวาย ชายหนุ่มจ้องเขม็งราวกับจะให้ทะลุลงไป บนปกเขียนชื่อ อะโอะกิ จุน ด้วยลายมือของพี่ชายอันแสนจะคุ้นเคย
“ผมดูนะ”
ชายหนุ่มเอื้อมมือที่สั่นน้อย ๆ ไปหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา
ความเงียบอย่างน่ากลัวที่ครอบคลุมไปทั่วห้องทั้งห้อง ถูกทำลายด้วยเสียงพลิกกระดาษทีละแผ่นที่เสียดแทรกเข้ามาเป็นจังหวะ
ชายหนุ่มอ่านอยู่เงียบ ๆ ราวสองสามนาที เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เริ่มมีเสียงเคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อย จากแรงสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีดของคนนั่ง
สุภาพบุรุษโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามามองไปที่สมุดเล่มนั้นพลางเอ่ยขึ้นว่า
“เป็นยังไงล่ะครับ ไม่มีหลักฐานอะไรจะแน่นแฟ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ที่นี้คุณคงเข้าใจความรู้สึกของคุณพี่คุณตอนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ได้ดีว่ามันสาหัสสากรรจ์แค่ไหน ถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุเสียก่อนที่กลางทาง คุณพี่จะต้องไปจบชีวิตตนเองที่อะตะมิหรือไม่ก็ที่ไหนสักแห่งแน่”
ใบหน้างามคมคายของชายหนุ่มซีดเขียวและบึ้งตึงไปด้วยความโกรธ ถ้อยคำที่สุภาพบุรุษพูดต่อไปยิ่งป่วนอารมณ์ของคนฟังให้คลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น
“คุณเห็นเรื่องนาฬิกาแพลทินัมที่คุณพี่คุณเขียนถึงใช่ไหม คุณพี่อ้อนวอนผมจนลมหายใจสุดท้ายให้ผมเอาไปคืนเจ้าของให้ได้ นาฬิกาที่คุณพี่ได้รับเป็นของขวัญจอมปลอมเรือนนั้นเปื้อนเลือดโดยบังเอิญ คิดว่าตอนรถชนกระจกหน้าปัดคงแตกบาดเอาจนเลือดไหล”
“แล้วนาฬิกาเรือนนั้นเป็นยังไง เป็นยังไงช่วยบอกผมที”
อารมณ์ของชายหนุ่มพลุ่งพล่านราวทะเลเป็นบ้า
“แน่นอน ผมคืนเจ้าหล่อนไปแล้ว ตอนเอาไปคืนคิดว่าจะเอาไปโยนให้ต่อหน้า แล้วระบายความเคียดแค้นที่รับฝากมาจากคุณพี่คุณให้สมกับที่ได้อัดอั้นรอโอกาสมานาน แต่เสียใจครับ...หล่อนไม่ให้โอกาสผมทำอะไรห้าวหาญเช่นนั้นแต่กลับใช้เสน่ห์ความเป็นหญิงงาม เสน่ห์ราวนางโลมที่มากด้วยมารยาลวงล่อจนผมอดเคลิบเคลิ้มไปด้วยไม่ได้เป็นหลายครั้ง ผู้ชายอย่างเราไม่มีอะไรจะมาทัดทานมารยาสารพัดพิษของหล่อนได้ ผมเสียใจจริง ๆ”
“หล่อนคือนางโลม นางงามเมือง หล่อน...”
ชายหนุ่มปล่อยคำผรุสวาทรุนแรงออกมาอีกหลายคำด้วยเสียงดังราวคนเสียสติ
“คำมอบหมายของคุณพี่คุณเป็นภาระหนักหนาที่ผมแบกติดตัวอยู่อยู่ ผมมีโอกาสที่จะปลดเปลื้องมันออกไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ต้องสูญเสียมันไปอย่างไม่วันหวนกลับไปอีก เพราะความลุ่มหลงตัวเดียวแท้ ๆ ผมไม่อาจทำตามที่คุณพี่คุณมอบหมายแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ผมคิดจะช่วยคุณแทน ช่วยคุณให้พ้นออกมาจากผู้หญิงคนนี้ ผมคิดว่านั่นเป็นความรับผิดชอบของผมที่จะต้องช่วยดึงคุณขึ้นมาจากห้วงเหวแห่งประสบชะตากรรม ไม่ให้คุณต้องพลาดพลั้งเช่นเดียวกับคุณพี่
ผมตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับหล่อนอีกต่อไป แต่ก่อนผละออกมาผมได้พยายามพูดโน้มน้าวใจหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายให้สำนึกถึงสิ่งที่ได้ทำกับคุณพี่คุณ และขอให้เว้นน้องชายของเขาสักคน อย่าเห็นเขาเป็นเครื่องเล่นของหล่อนไปอีกคนหนึ่งเลย จนครั้งนี้ผมจึงได้ประจักษ์ใจแล้วว่า นอกจากจะสลัดคำขอร้องของผมทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้ว ยังหยามน้ำหน้าผมด้วยการพาคุณมาที่นี่ด้วย”
7
สุภาพบุรุษลดความแรงของถ้อยคำจนเกือบเป็นปลอบ เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแดงเข้มขึ้นด้วยความโกรธจัดราวสะท้อนแสงจากเปลวไฟที่กำลังลุกโชติช่วง
“ไม่แปลกที่คุณจะต้องโกรธและตกใจกับความร้ายกาจเกินคาดของผู้หญิงคนนี้ แต่ผมขอร้อง อย่าเข้าใกล้เจ้าหล่อนเป็นดีที่สุด ถ้าคุณโกรธแค้นและพยายามเอาคืน ไม่นานคุณจะเข้าไปติดกับที่เจ้าหล่อนวางไว้ คุณจะหลุดเข้าไปติดอยู่ในใยแมงมุมที่เจ้าหล่อนขึงดักไว้รัดจนกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือไปเสียให้พ้น ไปเสียให้ไกลโดยเร็ว โบราณเขาว่าไว้...รู้ว่าร้ายแล้วอย่าเข้าไปจับต้อง...เจ้าหล่อนนั้นร้ายเสียยิ่งกว่าร้าย”
สุภาพบถรุษหัวเราะเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าพยายามผ่อนคลายบรรยากาศที่ออกจะตึงเครียด
“ผมดีใจที่ได้มีโอกาสพุดกับคุณ รู้สึกผ่อนคลายลงมากที่ได้รับผิดชอบทำตามที่คุณพี่คุณสั่งเสียเอาไว้ ถ้าคุณฟังคำเตือนของผม ผมก็จะดีใจเป็นที่สุด นี่ถ้าพบคุณช้าเกินไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง”
สีหน้าของสุภาพบุรุษแสดงความดีใจจริง ๆ ตามคำพูด แต่คำเตือนของเขาทันเวลาจริงหรือ
ไม่ทัน...สายไปเสียแล้ว สายไปแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ดังนั้น คำพูดของเขาจึงไม่ใช่คำเตือน ไม่ใช่คำที่เหมือนลมเป่าให้ไฟที่กำลังคุขึ้นมาดับลงก่อนที่จะลุกโพลงขึ้น แต่กลับเป็นคำที่เหมือนลมกระโชกพัดกระพือให้ดวงไฟนั้นลุกโชติช่วงขึ้น
ชายหนุ่มผละหนีออกมาได้หลังจากที่คุณนายโฉมงามพราวเสน่ห์ย่ำยีจนยับเยินราวของเล่น ความแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกถูกกระพือพัดให้หมุนคว้างราวกับจะระเบิดออกมา จิตใต้สำนึกร้องบอกเขาว่า...ไม่ใช่นายเท่านั้น นางทำกับคุณพี่ของนายมาแล้ว คุณพี่ถูกผู้หญิงคนนี้ย่ำยีเกียรติศักดิ์ความเป็นชาย ถูกนางใช้เสน่ห์ชักนำให้ลุ่มหลง จนสูญสิ้นทั้งใจและกาย...
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเตือน”
ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ อารมณ์สะเทือนใจอย่างหนักทำให้เขาเซไปคล้ายจะเป็นลม สุภาพบุปราดเข้ามาพยุงไว้
“อย่าพลุ่งพล่านไปเลยครับ สงบจิตสงบใจเอาไว้”
ชายหนุ่มสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม
“ช่างเถอะครับ ปล่อยผม ผมไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรครับ”
ชายหนุ่มเดินเซน้อย ๆ ออกไปที่เฉลียงทางเดิน ถึงปากจะบอกว่า...ไม่เป็นไร...แต่ท่าทางของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่พูด
พายุอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรง ความโกรธและความแค้นที่ประดังขึ้นมาท่วมท้นอยู่ในอก ดับดวงไฟแห่งสติและสัมปชัญญะหมดสิ้น
“ทำกับคุณพี่ไม่พอ ยังตามรังควาญมาถึงฉัน”
คิดมาถึงตรงนี้ เลือดทั้งตัวก็เดือดพล่าน
“หว่านเสน่ห์ล่อให้คุณพี่หลงอย่างนั้น ไม่ฆ่าก็เหมือนฆ่า แล้วยังไม่ทันจะสองเดือนก็หันมาจองเวรเรา...เพื่ออะไรกัน...พาฉันมาถึงฮาโกเน่แล้วหยามน้ำหน้า ฉีกหน้าให้ฉันอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน...เพื่ออะไร”
เลือดที่เดือดพล่านพลุ่งขึ้นไปที่สมอง กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งกระตุก
ประเทศชาติ สังคม กฎหมาย พ่อแม่พี่น้อง ความกลัวความละอาย ความรักและความใคร่...ไม่เหลือสำนึกใด ๆ ในสมอง นอกจากความเคียดแค้นรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัว ความเคียดแค้นราวดินปืนถูกจุดให้ระเบิดพุ่งแรงกระทบสะท้อนไปมาและขึ้นลงสะท้านสะเทือนอยู่ในอก
ประโยคหนึ่งในบันทึกของพี่ชายติดตรึงอยู่ในใจเหมือนถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน
“ใช่...ฉันควรตาย เพื่อให้หล่อนรู้เสียทีว่าการหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายใจบริสุทธิ์สักคนหลงรักแล้วสลัดทิ้งนั้นมันอัตรายเพียงใด”
อนิจจา...ความตายของคุณพี่ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้สำนึกอะไรเลยจนนิด เอาละ..หากหล่อนเป็นคนกิเลศหนาและไร้ยางอายถึงขนาดมองความตายของคุณพี่ด้วยสายตาเย็นชาเช่นนั้นก็ต้องเห็นดีกัน ใช่...คอยดูก็แล้วกันว่าฉันจะทำอย่างไรให้หล่อนสำนึก
เลือดทั้งหมดในกายตัวของชายหนุ่มแล่นพล่านทวนกระแสขึ้นไปปั่นป่วนสมองที่สับสนราวเป็นบ้าอยู่แล้ว ด้วยพลังทำลายล้างรุนแรงดั่งคลื่นยักษ์สึนามิ
8
ที่สวนโกระ อารมณ์ของมินะโกะและรุริโกะผ่องแผ้ว จิตใจอิ่มเอิบเมื่อได้เผยความในใจและรู้ซึ้งถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อกัน ทั้งสองกลับมายังมิยะโนะชิตะหลังจากอยู่ที่สวนกว่าชั่วโมง เมื่อราวสี่ทุ่ม
แม้จะกังวลเรื่องชายหนุ่มแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถึง แต่พอเข้าไปในห้องพักรุริโกะก็อดที่จะเดินไปที่ประตูห้องนอนของชายหนุ่มไม่ได้
“คุณอะโอะกินอนหรือยังไม่รู้”
เธอหันมาเปรยกับมินะโกะก่อนเอื้อมมือไปที่ประตู และพบว่าติดล็อกข้างในซึ่งผิดจากธรรมดา
“หลับแล้วละ”
รุริโกะบอกอย่างโล่งใจ
ทั้งสองกลับไปที่ห้องพักซึ่งนอนด้วยกันและขึ้นเตียงนอนเมื่อห้าทุ่มล่วงแล้ว หลังดับไฟมินะโกะยังคุยกับแม่เลี้ยงของเธอต่อไปอีกพักหนึ่งจนนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน สาวน้อยพยามยามข่มตาให้หลับลงแต่ความตื่นเต้นจากเหตุการณ์ที่ได้ประสบมา...เหตุการณ์รุนแรงและสับสนที่เธอไม่เคยพานพบตั้งแต่เกิดมา ยังตามมารบกวนจิตประสาทไม่หยุดหย่อน ยิ่งพยายามหลับเพียงใดสติก็ยิ่งแจ่มชัด ภาพเหตุการณ์ตอนหัวค่ำวนเวียนเข้ามาในห้วงคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่บูดบึ้งไปด้วยความโกรธแวบเข้ามาแล้วเลือนไปซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน
ยิ่งข่มใจให้หลับเพียงไรจิตประสาทก็ยิ่งตื่นตัว รื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาไม่หยุด ภาพตนเองในวัยเด็ก ความตายของแม่ ความตายของพ่อ เรื่องราวของพี่ชาย ประดังประเดกันเข้ามาในสมอง จนตีหนึ่ง
รุริโกะที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ ซึ่งดูเหมือนจะนอนไม่หลับอยู่พักหนึ่งเหมือนกันนั้น ตอนนี้เริ่มได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ เป็นจังหวะแสดงว่าหลับแล้ว
มินะโกะยิ่งกระสับกระส่ายเมื่อรู้ว่าแม่เลี้ยงหลับไปก่อน พยายามนับเลข พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อสงบจิตสงบใจแต่ก็ไร้ผล เสียงกราดเกรี้ยวของชายหนุ่มที่เพิ่งได้ยินเมื่อหัวค่ำ สะท้อนกลับมารบกวนอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งนาฬิกาตีบอกเวลาตีสอง มินะโกะก็ยังไม่หลับทั้ง ๆ ที่สมองและดวงตาที่เหนื่อยล้าน่าจะสงบสักทีได้แล้ว จนตีสาม ประสาทรับรู้ของสาวน้อยอ่อนเพลียเต็มทีตาที่แข็งขืนอยู่เริ่มหนักอึ้ง เธอกระสับกระส่ายอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่พักหนึ่ง พอเคลิ้มหลับไปได้นิดหนึ่งก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา จนในที่สุดก็หลับไปเหมือนถูกดึงลงไปในหนองน้ำอันลึกล้ำและมืดสนิท
ขณะที่มินะโกะกำลังหลงอยู่ในห้วงกึ่งจริงกึ่งฝันร้ายนั้นเอง สาวน้อยรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจะเข้ามาทำร้าย รู้สึกเหมือนบานประตูห้องนอนเคลื่อนไหว รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนที่จะเข้ามาทำร้ายเธอ แต่ประสาทรับรู้อยู่ในภาวะสับสนและเฉื่อยชาเกินกว่าจะบังคับให้ลืมตาตื่นขึ้นมาดูให้แน่ว่านั่นเป็นความฝันหรือความจริง
ในที่สุดฝันร้ายก็เข้าครอง ในฝัน...เธอกับแม่เดินอยู่ด้วยกันบนทางในชนบทที่ไหนสักแห่ง แม่ในสำนึกแห่งความฝันนั้นคือแม่แท้ ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว...คือแม่เลี้ยงของเธอคนนี้ ทันใดนั้นมีอะไรขาว ๆ ปรากฏขึ้นมาที่ขอบพื้นราบแล้วพุ่งเข้าหาเธอกับแม่ด้วยพลังแรงราวลูกธนู พอมันพุ่งข้ามลำธารตรงหน้าจึงได้รู้ว่ามันคือวัวกระทิงสีขาวสะอาด วัวกระทิงพุ่งตัวเข้าใส่สองแม่ลูกที่กำลังยืนตะลึง มินะโกะกรีดร้องแล้ววิ่งหนี
แม่หนีไม่ทัน...วัวกระทิงกระโจนเข้าขวิด และในพริบตานั้นเอง มินะโกะไม่ทันที่จะร้องอะไรออกมา วัวกระทิงก็ขวิดเขาแหลมราวคมของเหล็กกล้าเข้าที่ท้องของแม่...แม่กรีดร้องสุดเสียงสะเทือนขวัญมินะโกะเป็นที่สุด
มินะโกะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย แต่น่าแปลก...ทำไมเสียงร้องครวญครางยังไม่สิ้น