บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
1
“คุณแม่ต่อต้านพวกผู้ชาย หยิ่งเชิด มีทิฐิกับพวกเขา แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเขาเดือดร้อนอะไร แต่ครั้งนี้คุณแม่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่านิสัยแย่ ๆ ของตัวเองจะทำคนที่แม่สนิทสนมด้วยที่สุดเจ็บช้ำได้ถึงขนาดนี้ มันช่างเหมือนกรรมตามสนองอะไรอย่างนั้น”
จิตใจของรุริโกะดูเหมือนจะหวั่นไหวรุนแรงขึ้นทุกที
“ชีวิตที่เริงร่าไม่มีแก่นสารของคุณแม่กำลังจะล่มสลายในไม่ช้า คุณแม่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าบาปของคุณแม่จะมาตกลงที่หนู คนที่คุณแม่รักที่สุดคนนี้”
เสียงของรุริโกะสั่นสะท้าน
“ในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากใจเพียงไรคุณแม่ไม่เคยสะดุ้งสะเทือน ถึงจะต้องพลีตนเพื่อรักษาเกียรติยศชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเอาไว้คุณแม่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน คุณแม่ภาคภูมิกับการเชิดหน้าหยิ่งผยองราวนางพญาหงส์เอาชนะพวกผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เหยียบย่ำพวกเขา ทำตัวเหนือพวกเขา แต่ไม่เคยนึกเลยว่าจะต้องมาเหยียบย่ำผู้หญิงกันเอง ยิ่งกว่านั้นยังเป็น มินะโกะ ลูกสาวที่คุณแม่รักที่สุดคนนี้...ช้ำใจจริง ๆ เสียใจที่สุด”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงจังของแม่เลี้ยงซึมซาบลงไปในส่วนลึกของหัวใจมินะโกะ สาวน้อยเข้าใจแล้วว่าแม่เลี้ยงเสียใจเพียงใดที่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำ และรู้ใจตนเองในนาทีนี้ว่าเธอสามารถเสียสละทุกสิ่งเพื่อแม่เลี้ยงที่รักเธอมากคนนี้
“คุณแม่พูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณอะโอะกิ ไม่มีอะไรจริง ๆ”
สาวน้อยพูดออกไปแต่ใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นมาฟ้องความรู้สึกในใจ
“มินะโกะ ที่หนูรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรหรอกนะคะ รักแรกของสาวน้อยผู้บริสุทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างที่เมื่อได้มาครอบครองครั้งหนึ่งงแล้วจะหาที่ไหนมาแทนไม่ได้อีก สาวบริสุทธิ์ที่ถูกสลัดรักครั้งแรกนั้น เท่ากับว่าชีวิตของเธอถูกย่ำยีแหลกสลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง มินะโกะ...คุณแม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นมาแล้ว คุณแม่จำได้ดี จำติดใจไม่เคยลืม”
เสีงพูดที่แผ่วเบาอยู่แล้วดูเหมือนจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ รุริโกะผู้ได้ชื่อว่าเป็นหญิงใจแข็งหาญกล้ามีลักษณะเป็นผู้นำให้ใคร ๆ ได้พึ่งพา ยกแขนเสื้อกิโมโนแบบลำลองที่สวมใส่อยู่ขึ้นบังหน้า
“คุณแม่จำความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นได้ดี เลยอ่านใจหนูถูก เอาใจหนูมาใส่ใจตัวเอง เทียบกันกับตัวเองแล้วถึงค่อย ๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยมา”
ฟังคำของแม่เลี้ยงมาถึงตรงนี้ ความเศร้าสะเทือนใจที่มินะโกะอัดอั้นไว้ในอกก็ท่วมท้นออกมาซ่านซึมไปทั่วทั้งตัว เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นรุนแรงของสาวน้อยกลบเสียงกระซิกแผ่วของรุริโกะจนสิ้น
รุริโกะพลอยร้องไห้อย่างหมดใจออกมาด้วยราวกับกลับไปเป็นหญิงสาวคนเดิมที่ไร้สิ้นซึ่งจริตมารยา ทั้งสองร่ำไห้เนิ่นนานราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด คนที่หยุดเช็ดน้ำตาก่อนคือสาวน้อย
“คุณแม่เจ้าขา ไม่ควรเลยที่ต้องมาขอโทษดิฉันอย่างนั้น คนผิดคือคุณพ่อดิฉันเอง คุณแม่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยสักนิด บาปที่คุณพ่อเหยียบขยี้ความรักครั้งแรกของคุณแม่ ตกมาถึงดิฉันผู้เป็นลูกอย่างทันตาเห็น เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคุณแม่แน่นอน”
มินะโกะพูดพลางกระเถิบเข้าไปจนแนบชิดกับตัวรุริโกะ ด้วยประจักษ์ใจในความรักอันแท้จริงที่เธอมีต่อแม่เลี้ยงแสนดีคนนี้ รุริโกะยกมือขึ้นโอบไหล่สาวน้อยก่อนเอ่ยว่า
“หนูคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือคะมินะโกะ สำหรับคุณแม่ ขอให้มินะโกะรักคุณแม่เท่านั้น ต่อให้คนทั้งโลกเป็นศัตรู คุณแม่ก็ไม่มีวันที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว”
รุริโกะกับมินะโกะแนบแก้มขาวนวลชิดสนิทกัน ด้วยความรักความเห็นใจอยู่ในความสลัวลางของคืนเดือนมืดกลางฤดูร้อน
2
ชายหนุ่มร้อนรุ่มราวถูกสุมอยู่กลางกองไฟ ความโกรธเกรี้ยวและความเคียดแค้นชิงชังรุมเร้าใจเขาจนร้อนรนบ้าคลั่ง
เขาวิ่งเตลิดไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกอยากระบายมันออกมาด้วยการปะทะกับอะไรสักอย่างให้แหลกรานไปกับมือชายหนุ่มวิ่งฝ่าความมืดไปข้างหน้าราวกับกรวดก้อนเล็ก ๆ ที่ถูกขว้างออกไปด้วยกำลังแรง ชายหนุ่มไม่ทางที่จะควบคุมความปั่นป่วนใจราวพายุใหญ่ไว้ได้ด้วยวิธีอื่น นอกจากวิ่งเตลิดไปอย่างไม่มีทิศมีทางเช่นนี้ เขาได้แต่วิ่งไป และวิ่งไปอย่างไม่รู้สึกรู้สมกับอะไรทั้งนั้น ชนต้นไม้ ชนโขดหินก็ให้มันชนไป ตกแม่น้ำตกเหวก็ให้มันตกไป
ชายหนุ่มวิ่งรวดเดียวถึงสถานีรถไฟโกระ แต่ปรากฎว่าไม่มีแม้แต่เงาของรถไฟ เขารออยู่อย่างกระวนกระวายได้เพียงสองสามนาทีเท่านั้น ก็ไม่อาจสงบความพลุ่งพล่านราวลมพายุของอารมณ์ที่หันหวนขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพื่อรอรถไฟต่อไปได้อีกแม้แต่นาทีเดียว
ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งต่อไปจนถึงมิยะโนะชิตะ การที่มีจุดหมายที่แน่วแน่เช่นนั้นทำให้เขาวิ่งลงไปตามทางที่มีบ้านพักตากอากาศเรียงรายอยู่สองฟากด้วยความเร็วกว่าเดิม ระหว่างวิ่งในช่วงแรกสมองของเขาไม่มีอะไรอื่นนอกจากใบหน้าของรุริโกะผู้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาให้ได้อาย ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แยกตัวออกไป หลายสิบ หลายร้อย ภาพนับไม่ถ้วน หมุนคว้างวกวน
แต่เมื่อเริ่มออกวิ่งอีกครั้งผ่านแนวบ้านเรือนออกไปที่ริมฝั่งแม่น้ำฮะยะคะวะ ร่างกายที่เริ่มคลายความลุกลี้ลุกลนลงไปเนื่องจากความเหนื่อยเพลีย ช่วยนำพาให้จิตใจของเขาพลอยสงบลงไปด้วยตามลำดับ เมื่อวิ่งช้าลงสมองก็เริ่มมีเวลาคิดถึงเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น
ภาพตนเองตามพี่ชายที่ตายไปเข้าออกบ้านของนายโชดะช่วงต้น ๆ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ
ภาพใบหน้างามเฉิดโฉมทรงเสน่ห์ ร่างระหงทรงสง่าราวนางพญาหงส์ของคุณนายโชดะ ท่วงทีกิริยาสมศักดิ์ความเป็นกุลสตรีตระกูลผู้ดีเก่า เพียบพร้อมไปด้วยการศึกษาและความรอบรู้ รสนิยมและแนวคิดสูงส่งล้ำสมัย ความทรงจำช่วงที่พี่ชายและตนเองนิยมชมชอบคุณนายโฉมงามผู้นี้ เลื่อนเข้ามาในความทรงจำทีละฉาก
คุณนายโฉมงามแสดงความรักใคร่ใยดีพี่ชายกับเขามากกว่าผู้ชายคนอื่นที่รุมล้อมรอบข้าง ทำให้สองพี่น้องยิ่งพยายามให้ได้ความรักจากคุณนายยิ่ง ๆ ขึ้นไป ระหว่างนั้นพี่ชายของเขาถึงกับตกอยู่ในอาการอย่างที่เรียกว่าคลั่งรักรุนแรงจนเขาอดที่จะอิจฉาไม่ได้ ภาพเหล่านั้น...ความรู้สึกเหล่านั้น ฉายวูบวาบขึ้นในห้วงคิดอย่างไม่หยุดยั้ง
ตอนที่รู้ว่าความรักของพี่ชายที่มีต่อคุณนายโฉมงามร้อนแรงจนถอนตัวไม่ขึ้นนั้น ชายหนุ่มต้องพยายามระงับใจด้วยความเกรงใจอย่างที่สุดไม่ให้ความรักของเขาที่มีต่อคุณนายไปขัดขวางพี่ชายที่รักของเขา เขาตกใจและโศกเศร้ากับความตายอย่างกระทันหันของพี่ชายอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ แต่ในเวลาเดียวกันความเกรงใจที่มีต่อพี่ชายก็อันตรธานไป ใจรักของเขาที่มีต่อคุณนายโฉมงามก็ถูกกดกลั้นเอาไว้ก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระในที่สุด
คุณนายโฉมงามเอื้อมมือเข้ามาโอบอุ้มเขาราวกับเฝ้าคอยโอกาสอยู่ ความตายอย่างไม่มีผู้ใดคาดคิดของพี่ชายกลับกลายเป็นโอกาสให้คุณนายกับชายหนุ่มได้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มได้ฟังคำหวานเปรียบปานน้ำผึ้งที่คุณนายเอ่ยเอื้อนกับเขาไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่หน จนเขาสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าคุณนายจะไม่รักเขาจริง มันทำให้เขามั่นใจถึงกับเอ่ยปากขอเจ้าหล่อนแต่งงาน
“ดิฉันก็อยากให้เป็นเช่นเช่นนั้น แต่ต้องขอเวลาคิดหน่อยนะคะ ...ไปฮาโกเน่ด้วยกันไหม ฤดูร้อนปีนี้ดิฉันมีแผนไปพักตากอากาศที่ฮาโกเน่ พอไปถึงที่นั่นดิฉันจะค่อย ๆ คิดแล้วจึงให้คำตอบ”
คุณนายตอบคำขอแต่งงานของเขาด้วยใบหน้าระบายรอยยิ้มแจ่มใส
คุณนายโฉมงามชวนเขาไปฮาโกเน่...ชายหนุ่มคิดว่านั่นคือ 90% ของคำตอบ และคิดว่าชีวิตที่สถานพักผ่อนตาก
อากาศฮาโกเน่จะต้องเป็นสวรรค์สำหรับเขาเลยทีเดียว
ที่ไหนได้ ประตูนรกเปิดอ้ารอเขาอยู่ที่นั่น
“ทรยศ นางหญิงทรยศ”
ขณะวิ่ง มือขวาของชายหนุ่มที่ถือไม้เท้าไว้กระชับแน่นขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว
3
ชายหนุ่มวิ่งกลับมาถึงโรงแรม ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งทางไกลไม่ได้ช่วยบรรเทาความโกรธของลงเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องเข้าไปเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กระเป๋าเดินทาง แล้วออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดก่อนที่คุณนายจะกลับมา เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว
เขาวิ่งผลุนผลันขึ้นบันไดโรงแรมไปด้วยความเร็วอย่างไม่ใยดีกับสายตาผู้ใด พนักงานหนุ่มที่คอยยืนให้บริการอยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของเขา
ก็ไม่แปลกหรอกที่พนักงานหนุ่มจะไม่ตกตะลึง เพราะคนที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่ชายหนุ่มรูปงามท่าทางเป็นผู้ลากมากดีคนเดิม เพราะตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ หน้าซีดขาว บูดบึ้งราวจะไปกินเลือดกินเนื้อใครสักคน
ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เขาปรายหางตาไปที่พนักงานหนุ่มนิดหนึ่งขณะวิ่งผ่านไปตามระเบียงทางเดินเพื่อขึ้นบันไดไปชั้นบน ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบโดยไม่มองซ้ายมองขวานั้นเอง ก็เลยชนกันอย่างแรงกับคนที่กำลังเดินลงบันไดมา
ความแรงที่ชนประกอบกับความเหนื่อยอ่อนแรงทำให้ชายหนุ่มเซตกบันไดลงไปสองสามขั้น
“โอ๊ะ...ขอโทษครับ”
อีกฝ่ายขอโทษพร้อมกับรีบยื่นมือเข้ามาช่วยเกาะกุมไว้ ทั้ง ๆ ที่เขาซึ่งเป็นคนวิ่งขึ้นไปเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอง...”
ชายหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย แล้ววิ่งขึ้นบันไดต่อไปโดยไม่พักดูใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดเจน แต่พอเขาขึ้นไปถึงราวขั้นที่ 6 หรือ 7 ชายผู้นั้นก็หยุดชะงักแล้วตะโกนถามขึ้นมาว่า
“คุณอะโอะกิ นั่นคุณอะโอะกิใช่ไหม”
ชายหนุ่มตกใจหยุดชะงักอยู่กลางบันไดเมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนมาเรียกชื่อเช่นนั้น
“อะไรหรือครับ”
ชายหนุ่มอุทานด้วยเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบหรือตกใจกันแน่
“ถ้าผมทักผิดก็ต้องขออภัย คุณคือคุณอะโอะกิ น้องชายของคุณอะโอะกิ จุน ใช่ไหม”
ชายผู้นั้นร้องถามด้วยเสียงราบเรียบขึ้นมาจากบันไดขั้นล่าง และพอชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนร้องทัก ก็จำได้ว่าเขาคือสุภาพบุรุษแปลกหน้าที่พบภายใต้แสงสลัวของดวงไฟหน้าโรงแรมตอนที่เขาสามคนจะออกไปเดินเล่นกันนั่นเอง ชายหนุ่มตอบทั้ง ๆ ที่สงสัยว่าทำไมชายผู้นั้นจึงรู้จักชื่อเขา
“ครับ ผมอะโอะกิ คุณล่ะครับ”
“คุณไม่รู้จักผมหรอกครับ”
สุภาพบุรุษผู้นั้นเดินขึ้นบันไดสองสามขั้นขึ้นมาหาชายหนุ่ม
“ผมรู้จักกับพี่ชายคุณ ก็แค่รู้จักแต่ไม่ได้สนิทสนมกัน คือ...” สุภาพบุรุษหยุดราวกับหาคำมาพูดต่อไม่ถูก
ชายหนุ่มหงุดหงิดที่ถูกสุภาพบุรุษทักด้วยเรื่องไม่มีสาระ ขณะที่เขากำลังหัวเสียสุดขีด แต่ก็ต้องสงบสติตอบไปอย่างพยายามรักษามารยาทเต็มที่
“อย่างนั้นหรือครับ คิดว่าเราคงได้พบคุยกันวันหลัง ตอนนี้ต้องขอตัวก่อนเพราะกำลังรีบ ขอโทษนะครับ”
พูดจบก็ตั้งท่าจะวิ่งขึ้นบันไดต่อไป คราวนี้สุภาพบุรุษเรียกไว้อีกด้วยเสียงขึงขัง
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน ผมก็มีเรื่องอยากพูดกับคุณด่วนเหมือนกัน”
4
...มีเรื่องอย่างพูดด้วยด่วน...คำพูดเหมือนสั่งของสุภาพบุรุษแปลกหน้าทำให้ชายหนุ่มชะงัก แล้วรู้สึกฉุนขึ้นมาว่าช่างเป็นคนไม่มีมารยาทเอาเลย
“ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคุณอยากพูดเรื่องอะไร แต่ผมไม่มีเวลาอยู่ฟังคุณหรอกครับ” หางเสียงเขาแสดงความรำคาญอย่างรู้สึกได้ชัด ชายหนุ่มทำท่าจะวิ่งขึ้นบันไดไปจริง ๆ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ คราวนี้ขึ้นเสียงแข็งเลยทีเดียว
“คุณอะโอะกิ หยุดก่อน คุณไม่อยากฟังคำสั่งเสียของพี่ชายคุณรึ ใช่...คำสั่งเสียมาถึงคุณ โดยเฉพาะเป็นคำสั่งเสียที่คุณจำเป็นต้องรับรู้ในตอนนี้”
พอได้ยินเขาเอ่ยถึงพี่ชาย ชายหนุ่มก็ชะงักเท้าที่กำลังจะออกวิ่ง
“คำสั่งเสีย... มีอะไรแบบนั้นด้วยหรือครับ”
ชายหนุ่มถามเสียสะบัดอย่างคนอารมณ์ไม่ดี
“มีซีครับ...มี ยิ่งเห็นสีหน้าคุณตอนนี้ผมยิ่งคิดว่าต้องพูด รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังยืนอยู่ริมเหวลึกที่เสี่ยงอันตรายเป็นที่สุด และผมก็ทนดูคุณตกเหวลงไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ผมต้องเตือนคุณแม้เพียงคำเดียวก็ต้องเตือนให้ได้เพราะมันเป็นหน้าที่ เป็นคำมั่นสัญญาที่ผมให้ไว้กับพี่ชายคุณ”
สุภาพบุรุษพูดพลางเดินขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นที่ชายหนุ่มยืนอยู่
“ใช่...เหวลึกเสี่ยงอันตรายที่พี่ชายคุณพลัดตกลงไปคนหนึ่งแล้ว และตอนนี้คุณก็กำลังจะตกตามลงไปอีกคน”
ชายหนุ่มมองหน้าสุภาพบุรุษแปลกหน้าให้ชัด ๆ ใหม่อีกครั้ง แล้วก็เข้าใจได้ทันทีถึงความจริงจังและความหวังดีจากใจจริงที่สุภาพบุรุษผู้นี้มีต่อเขา แม้จะยังหงุดหงิดกับการพูดเป็นนัยอ้อมค้อมไม่รู้จบ
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะครับ ผมไม่เข้าใจ”
ชายหนุ่มขึ้นเสียงสูงใส่อารมณ์อย่างไม่เกรงใจ
“เอาละเมื่อคุณพร้อมฟังผมก็จะพูดตรง ๆ คุณอะโอะกิ...คุณต้องออกมาให้ห่างจากคุณนายโชดะโดยเร็วที่สุด คุณนายคนนี้แหละคือเหวลึกที่ดูดกลืนพี่ชายคุณลงไป”
สุภาพบุรุษพูดแล้วจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเพ่งพิศ
“คุณต้องไม่พลาดตามรอยพี่ชายไปอีกคน นี่ไม่ใช่คำเตือนของผม แต่เป็นคำสั่งเสียของพี่ชายคุณ ผมอยากให้คุณจำใส่ใจเอาไว้”
สุภาพบุรุษพูดจบก็ก้มศีรษะเป็นเชิงอำลาแล้วก้าวดุ่ม ๆ ขึ้นบันไดไป ท่าทางของเขาดูเหมือนโล่งอกที่ได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไป คราวนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายร้องเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
“คุณครับ รอเดี๋ยว...คุณพี่พูดอย่างนั้นจริง ๆ หรือครับ”
สุภาพบุรุษเหลียวหน้ามามอง
“คุณพี่ของคุณไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ทุกคำพูดอย่างนั้น แต่พูดกับผมในความหมายอย่างที่ผมบอกคุณ”
“เมื่อไร ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มถามระล่ำระลัก
“ก่อนสิ้นใจไม่กี่วินาที”
สุภาพบุรุษยิ้มเศร้า ๆ
“ก่อนสิ้นใจ หมายความว่าคุณอยู่กับคุณพี่ตอนสิ้นใจอย่างนั้นหรือครับ” ชายหนุ่มถามเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ครับ ผมเป็นคนเดียวที่อยู่กับคุณพี่คุณตอนสิ้นใจ และเป็นคนเดียวที่ได้ฟังคำสั่งเสียของเขาก่อนสิ้นลม”
สุภาพบุรุษพูดด้วยเสียงเบา ๆ ด้วยอารมณ์ที่สงบราบเรียบ
“คำสั่งเสียของคุณพี่ คุณพี่พูดอะไรบ้างครับ พูดอะไรบ้าง คุณปิดบังคำสั่งเสียของคุณพี่เอาไว้ได้ยังไงตั้งนาน โดยไม่บอกไม่กล่าวพวกญาติ ๆ
ชายหนุ่มถามอย่างตำหนิ อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
“เปล่าครับ ไม่ได้ปิดบังอะไร ผมกำลังบอกคุณอยู่นี่ยังไง”
5
ชายหนุ่มดื่มด่ำคำพูดของสุภาพบุรุษเข้าไว้เต็มใจ
“คุณอยู่กับคุณพี่ตอนสิ้นใจจริง ๆ หรือครับ คุณพี่พูดอะไรบ้าง ก่อนตายคุณพี่พูดอะไรบ้างครับ”
ชายหนุ่มปล่อยอารมณ์ออกมาเต็มที่เพราะยังระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
“ครับ เรื่องนี้ผมอยากพูดกับคุณให้เป็นเรื่องเป็นราว ยืนพูดกันอย่างนี้เห็นจะไม่เหมาะ เชิญมาที่ห้องผมครับ ถ้าไม่รังเกียจ”
“ยินดีครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้ครับ พอดีภรรยาผมไปแช่น้ำแร่ ในห้องไม่มีใคร”
พอเข้าไปในห้องพักซึ่งเป็นห้องที่สองทางซ้ายของบันได สุภาพบุรุษก็เชิญให้ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ของชุดรับแขก ส่วนตนเองทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกัน
“ผมแนะนำตัวช้าไปหน่อย ผมอะสึมิครับ” สุภาพบุรุษเริ่มด้วยคำทักทายตามธรรมเนียม “ความจริงผมตั้งใจจะหาโอกาสพบคุณสักครั้งให้ได้ก่อนจะออกเดินทางมาตากอากาศที่นี่ เพราะมีเรื่องอยากบอกคุณ ผมโทรศัพท์ไปที่บ้านคุณ ถามได้ความว่าคุณมาพักร้อนอยู่ที่มิยะชิตะ แต่แรกผมคิดว่าจะไปทางโคะวะกุดะนิ แต่พอรู้ว่าคุณมาที่นี่ก็เลยเปลี่ยนแผนคิดว่าจะอยู่สักสองสามวันเผื่อว่าจะพบคุณ ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพบกันจัง ๆ ที่หน้าโรงแรมนั่นเอง และไม่คิดด้วยว่าคุณจะมากับคุณนายโชดะ”
สุภาพบุรุษพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ อย่างมีนัย
“ตามข่าวที่ว่ามีนักเดินทางคนหนึ่งขึ้นรถไปด้วยกันกับคุณพี่คุณตอนเกิดอุบัติเหตุ ผมคือนักเดินทางคนนั้นครับ”
“จริงหรือครับ”
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง
“การตายของคุณพี่คุณเป็นอุบัติเหตุคามการวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ แต่ความจริงแล้วเป็นการฆ่าตัวตายครับ ผมกล้าพูดได้เต็มปาก คุณพี่คุณออกเดินทางหาที่จบชีวิต จากมิโฮะไปซุโซวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญนั่นเป็นเพียงตัวเร่งให้การค่าตัวตายของเขาเร็วขึ้นเท่านั้น”
สีหน้าของสุภาพบุรุษขณะพูดจริงจังมาก ไม่มีร่องรอยที่จะทำให้คิดได้ว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้น
“ฆ่าตัวตาย...คุณพี่ตั้งใจทำอย่างนั้นหรือครับ”
ชายหนุ่มถามด้วยความตระหนก
“ใช่ครับ และอีกไม่นานคุณก็จะเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นของคุณพี่”
“ฆ่าตัวตาย...ความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายน่ะหรือครับ ถ้ามีความตั้งใจอย่างนั้นจริง พี่ชายฆ่าตัวตายเพราะอะไรครับ”
“ก็เพราะคุณนายคนนั้นครับ เพราะถูกคุณนายโฉมงามจูงจมูกเหมือนของเล่น”
สุภาพบุรุษพูดด้วยเสียงขื่น ๆ
“ถูกคุณนายจูงจมูกเหมือนของเล่น”
ชายหนุ่มทวนคำ ใบหน้าของเขาค่อย ๆ ซีดลงเมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่โหดร้าย
“จริงหรือครับ คุณมีหลักฐานอะไรไหมถึงได้กล้าพูดอย่างนั้น”
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสะท้อนความระทึกใจภายใน
“มีซิคุณ ก็ในคำสั่งเสียนั่นแหละ คุณพี่คุณฝากคำสั่งเสียไปยังคุณนายโฉมงามคนนั้น คนที่ใช้เสน่ห์ปั่นหัวคุณพี่คุณให้ลุ่มหลง ทำกับเขาราวกับเป็นของเล่น”
“หือ” ชายหนุ่มครางในลำคอ
“ผมไปพบคุณนายก็เพื่อถ่ายทอดความคับแค้นของพี่ชายคุณให้เจ้าหล่อนรับรู้เอาไว้ แต่คุณนายไม่แยแสเลยสักนิด และไม่เท่านั้น เจ้าหล่อนยังพูดเหยียดหยามคุณพี่คุณอย่างไม่มีดี คุณนายทำกับพี่ชายคุณเหมือนเขาเป็นของเล่นเบื่อแล้วขว้างทิ้งจนเขาชอกช้ำถึงตาย ไม่ฆ่าก็เหมือนค่ากันทางอ้อม ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังหนีไม่รับผิดชอบ ฟังนะว่าเจ้าหล่อนพูดว่ายังไง...คุณอะโอะกิฆ่าตัวตายไม่ใช่เพราะดิฉัน เขาตายเพราะความอ่อนแอต่างหาก...ฟังเจ้าหล่อนพูดซีครับ และไม่เท่านั้น...”
ยิ่งพูดดูเหมือนอารมณ์ของสุภาพบุรุษจะยิ่งพลุ่งพล่านขึ้น
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
1
“คุณแม่ต่อต้านพวกผู้ชาย หยิ่งเชิด มีทิฐิกับพวกเขา แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเขาเดือดร้อนอะไร แต่ครั้งนี้คุณแม่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่านิสัยแย่ ๆ ของตัวเองจะทำคนที่แม่สนิทสนมด้วยที่สุดเจ็บช้ำได้ถึงขนาดนี้ มันช่างเหมือนกรรมตามสนองอะไรอย่างนั้น”
จิตใจของรุริโกะดูเหมือนจะหวั่นไหวรุนแรงขึ้นทุกที
“ชีวิตที่เริงร่าไม่มีแก่นสารของคุณแม่กำลังจะล่มสลายในไม่ช้า คุณแม่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าบาปของคุณแม่จะมาตกลงที่หนู คนที่คุณแม่รักที่สุดคนนี้”
เสียงของรุริโกะสั่นสะท้าน
“ในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากใจเพียงไรคุณแม่ไม่เคยสะดุ้งสะเทือน ถึงจะต้องพลีตนเพื่อรักษาเกียรติยศชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเอาไว้คุณแม่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน คุณแม่ภาคภูมิกับการเชิดหน้าหยิ่งผยองราวนางพญาหงส์เอาชนะพวกผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เหยียบย่ำพวกเขา ทำตัวเหนือพวกเขา แต่ไม่เคยนึกเลยว่าจะต้องมาเหยียบย่ำผู้หญิงกันเอง ยิ่งกว่านั้นยังเป็น มินะโกะ ลูกสาวที่คุณแม่รักที่สุดคนนี้...ช้ำใจจริง ๆ เสียใจที่สุด”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงจังของแม่เลี้ยงซึมซาบลงไปในส่วนลึกของหัวใจมินะโกะ สาวน้อยเข้าใจแล้วว่าแม่เลี้ยงเสียใจเพียงใดที่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำ และรู้ใจตนเองในนาทีนี้ว่าเธอสามารถเสียสละทุกสิ่งเพื่อแม่เลี้ยงที่รักเธอมากคนนี้
“คุณแม่พูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณอะโอะกิ ไม่มีอะไรจริง ๆ”
สาวน้อยพูดออกไปแต่ใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นมาฟ้องความรู้สึกในใจ
“มินะโกะ ที่หนูรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรหรอกนะคะ รักแรกของสาวน้อยผู้บริสุทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างที่เมื่อได้มาครอบครองครั้งหนึ่งงแล้วจะหาที่ไหนมาแทนไม่ได้อีก สาวบริสุทธิ์ที่ถูกสลัดรักครั้งแรกนั้น เท่ากับว่าชีวิตของเธอถูกย่ำยีแหลกสลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง มินะโกะ...คุณแม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นมาแล้ว คุณแม่จำได้ดี จำติดใจไม่เคยลืม”
เสีงพูดที่แผ่วเบาอยู่แล้วดูเหมือนจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ รุริโกะผู้ได้ชื่อว่าเป็นหญิงใจแข็งหาญกล้ามีลักษณะเป็นผู้นำให้ใคร ๆ ได้พึ่งพา ยกแขนเสื้อกิโมโนแบบลำลองที่สวมใส่อยู่ขึ้นบังหน้า
“คุณแม่จำความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นได้ดี เลยอ่านใจหนูถูก เอาใจหนูมาใส่ใจตัวเอง เทียบกันกับตัวเองแล้วถึงค่อย ๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยมา”
ฟังคำของแม่เลี้ยงมาถึงตรงนี้ ความเศร้าสะเทือนใจที่มินะโกะอัดอั้นไว้ในอกก็ท่วมท้นออกมาซ่านซึมไปทั่วทั้งตัว เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นรุนแรงของสาวน้อยกลบเสียงกระซิกแผ่วของรุริโกะจนสิ้น
รุริโกะพลอยร้องไห้อย่างหมดใจออกมาด้วยราวกับกลับไปเป็นหญิงสาวคนเดิมที่ไร้สิ้นซึ่งจริตมารยา ทั้งสองร่ำไห้เนิ่นนานราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด คนที่หยุดเช็ดน้ำตาก่อนคือสาวน้อย
“คุณแม่เจ้าขา ไม่ควรเลยที่ต้องมาขอโทษดิฉันอย่างนั้น คนผิดคือคุณพ่อดิฉันเอง คุณแม่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยสักนิด บาปที่คุณพ่อเหยียบขยี้ความรักครั้งแรกของคุณแม่ ตกมาถึงดิฉันผู้เป็นลูกอย่างทันตาเห็น เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคุณแม่แน่นอน”
มินะโกะพูดพลางกระเถิบเข้าไปจนแนบชิดกับตัวรุริโกะ ด้วยประจักษ์ใจในความรักอันแท้จริงที่เธอมีต่อแม่เลี้ยงแสนดีคนนี้ รุริโกะยกมือขึ้นโอบไหล่สาวน้อยก่อนเอ่ยว่า
“หนูคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือคะมินะโกะ สำหรับคุณแม่ ขอให้มินะโกะรักคุณแม่เท่านั้น ต่อให้คนทั้งโลกเป็นศัตรู คุณแม่ก็ไม่มีวันที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว”
รุริโกะกับมินะโกะแนบแก้มขาวนวลชิดสนิทกัน ด้วยความรักความเห็นใจอยู่ในความสลัวลางของคืนเดือนมืดกลางฤดูร้อน
2
ชายหนุ่มร้อนรุ่มราวถูกสุมอยู่กลางกองไฟ ความโกรธเกรี้ยวและความเคียดแค้นชิงชังรุมเร้าใจเขาจนร้อนรนบ้าคลั่ง
เขาวิ่งเตลิดไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกอยากระบายมันออกมาด้วยการปะทะกับอะไรสักอย่างให้แหลกรานไปกับมือชายหนุ่มวิ่งฝ่าความมืดไปข้างหน้าราวกับกรวดก้อนเล็ก ๆ ที่ถูกขว้างออกไปด้วยกำลังแรง ชายหนุ่มไม่ทางที่จะควบคุมความปั่นป่วนใจราวพายุใหญ่ไว้ได้ด้วยวิธีอื่น นอกจากวิ่งเตลิดไปอย่างไม่มีทิศมีทางเช่นนี้ เขาได้แต่วิ่งไป และวิ่งไปอย่างไม่รู้สึกรู้สมกับอะไรทั้งนั้น ชนต้นไม้ ชนโขดหินก็ให้มันชนไป ตกแม่น้ำตกเหวก็ให้มันตกไป
ชายหนุ่มวิ่งรวดเดียวถึงสถานีรถไฟโกระ แต่ปรากฎว่าไม่มีแม้แต่เงาของรถไฟ เขารออยู่อย่างกระวนกระวายได้เพียงสองสามนาทีเท่านั้น ก็ไม่อาจสงบความพลุ่งพล่านราวลมพายุของอารมณ์ที่หันหวนขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพื่อรอรถไฟต่อไปได้อีกแม้แต่นาทีเดียว
ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งต่อไปจนถึงมิยะโนะชิตะ การที่มีจุดหมายที่แน่วแน่เช่นนั้นทำให้เขาวิ่งลงไปตามทางที่มีบ้านพักตากอากาศเรียงรายอยู่สองฟากด้วยความเร็วกว่าเดิม ระหว่างวิ่งในช่วงแรกสมองของเขาไม่มีอะไรอื่นนอกจากใบหน้าของรุริโกะผู้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาให้ได้อาย ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แยกตัวออกไป หลายสิบ หลายร้อย ภาพนับไม่ถ้วน หมุนคว้างวกวน
แต่เมื่อเริ่มออกวิ่งอีกครั้งผ่านแนวบ้านเรือนออกไปที่ริมฝั่งแม่น้ำฮะยะคะวะ ร่างกายที่เริ่มคลายความลุกลี้ลุกลนลงไปเนื่องจากความเหนื่อยเพลีย ช่วยนำพาให้จิตใจของเขาพลอยสงบลงไปด้วยตามลำดับ เมื่อวิ่งช้าลงสมองก็เริ่มมีเวลาคิดถึงเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น
ภาพตนเองตามพี่ชายที่ตายไปเข้าออกบ้านของนายโชดะช่วงต้น ๆ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ
ภาพใบหน้างามเฉิดโฉมทรงเสน่ห์ ร่างระหงทรงสง่าราวนางพญาหงส์ของคุณนายโชดะ ท่วงทีกิริยาสมศักดิ์ความเป็นกุลสตรีตระกูลผู้ดีเก่า เพียบพร้อมไปด้วยการศึกษาและความรอบรู้ รสนิยมและแนวคิดสูงส่งล้ำสมัย ความทรงจำช่วงที่พี่ชายและตนเองนิยมชมชอบคุณนายโฉมงามผู้นี้ เลื่อนเข้ามาในความทรงจำทีละฉาก
คุณนายโฉมงามแสดงความรักใคร่ใยดีพี่ชายกับเขามากกว่าผู้ชายคนอื่นที่รุมล้อมรอบข้าง ทำให้สองพี่น้องยิ่งพยายามให้ได้ความรักจากคุณนายยิ่ง ๆ ขึ้นไป ระหว่างนั้นพี่ชายของเขาถึงกับตกอยู่ในอาการอย่างที่เรียกว่าคลั่งรักรุนแรงจนเขาอดที่จะอิจฉาไม่ได้ ภาพเหล่านั้น...ความรู้สึกเหล่านั้น ฉายวูบวาบขึ้นในห้วงคิดอย่างไม่หยุดยั้ง
ตอนที่รู้ว่าความรักของพี่ชายที่มีต่อคุณนายโฉมงามร้อนแรงจนถอนตัวไม่ขึ้นนั้น ชายหนุ่มต้องพยายามระงับใจด้วยความเกรงใจอย่างที่สุดไม่ให้ความรักของเขาที่มีต่อคุณนายไปขัดขวางพี่ชายที่รักของเขา เขาตกใจและโศกเศร้ากับความตายอย่างกระทันหันของพี่ชายอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ แต่ในเวลาเดียวกันความเกรงใจที่มีต่อพี่ชายก็อันตรธานไป ใจรักของเขาที่มีต่อคุณนายโฉมงามก็ถูกกดกลั้นเอาไว้ก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระในที่สุด
คุณนายโฉมงามเอื้อมมือเข้ามาโอบอุ้มเขาราวกับเฝ้าคอยโอกาสอยู่ ความตายอย่างไม่มีผู้ใดคาดคิดของพี่ชายกลับกลายเป็นโอกาสให้คุณนายกับชายหนุ่มได้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มได้ฟังคำหวานเปรียบปานน้ำผึ้งที่คุณนายเอ่ยเอื้อนกับเขาไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่หน จนเขาสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าคุณนายจะไม่รักเขาจริง มันทำให้เขามั่นใจถึงกับเอ่ยปากขอเจ้าหล่อนแต่งงาน
“ดิฉันก็อยากให้เป็นเช่นเช่นนั้น แต่ต้องขอเวลาคิดหน่อยนะคะ ...ไปฮาโกเน่ด้วยกันไหม ฤดูร้อนปีนี้ดิฉันมีแผนไปพักตากอากาศที่ฮาโกเน่ พอไปถึงที่นั่นดิฉันจะค่อย ๆ คิดแล้วจึงให้คำตอบ”
คุณนายตอบคำขอแต่งงานของเขาด้วยใบหน้าระบายรอยยิ้มแจ่มใส
คุณนายโฉมงามชวนเขาไปฮาโกเน่...ชายหนุ่มคิดว่านั่นคือ 90% ของคำตอบ และคิดว่าชีวิตที่สถานพักผ่อนตาก
อากาศฮาโกเน่จะต้องเป็นสวรรค์สำหรับเขาเลยทีเดียว
ที่ไหนได้ ประตูนรกเปิดอ้ารอเขาอยู่ที่นั่น
“ทรยศ นางหญิงทรยศ”
ขณะวิ่ง มือขวาของชายหนุ่มที่ถือไม้เท้าไว้กระชับแน่นขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว
3
ชายหนุ่มวิ่งกลับมาถึงโรงแรม ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งทางไกลไม่ได้ช่วยบรรเทาความโกรธของลงเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องเข้าไปเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กระเป๋าเดินทาง แล้วออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดก่อนที่คุณนายจะกลับมา เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว
เขาวิ่งผลุนผลันขึ้นบันไดโรงแรมไปด้วยความเร็วอย่างไม่ใยดีกับสายตาผู้ใด พนักงานหนุ่มที่คอยยืนให้บริการอยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของเขา
ก็ไม่แปลกหรอกที่พนักงานหนุ่มจะไม่ตกตะลึง เพราะคนที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่ชายหนุ่มรูปงามท่าทางเป็นผู้ลากมากดีคนเดิม เพราะตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ หน้าซีดขาว บูดบึ้งราวจะไปกินเลือดกินเนื้อใครสักคน
ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เขาปรายหางตาไปที่พนักงานหนุ่มนิดหนึ่งขณะวิ่งผ่านไปตามระเบียงทางเดินเพื่อขึ้นบันไดไปชั้นบน ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบโดยไม่มองซ้ายมองขวานั้นเอง ก็เลยชนกันอย่างแรงกับคนที่กำลังเดินลงบันไดมา
ความแรงที่ชนประกอบกับความเหนื่อยอ่อนแรงทำให้ชายหนุ่มเซตกบันไดลงไปสองสามขั้น
“โอ๊ะ...ขอโทษครับ”
อีกฝ่ายขอโทษพร้อมกับรีบยื่นมือเข้ามาช่วยเกาะกุมไว้ ทั้ง ๆ ที่เขาซึ่งเป็นคนวิ่งขึ้นไปเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอง...”
ชายหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย แล้ววิ่งขึ้นบันไดต่อไปโดยไม่พักดูใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดเจน แต่พอเขาขึ้นไปถึงราวขั้นที่ 6 หรือ 7 ชายผู้นั้นก็หยุดชะงักแล้วตะโกนถามขึ้นมาว่า
“คุณอะโอะกิ นั่นคุณอะโอะกิใช่ไหม”
ชายหนุ่มตกใจหยุดชะงักอยู่กลางบันไดเมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนมาเรียกชื่อเช่นนั้น
“อะไรหรือครับ”
ชายหนุ่มอุทานด้วยเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบหรือตกใจกันแน่
“ถ้าผมทักผิดก็ต้องขออภัย คุณคือคุณอะโอะกิ น้องชายของคุณอะโอะกิ จุน ใช่ไหม”
ชายผู้นั้นร้องถามด้วยเสียงราบเรียบขึ้นมาจากบันไดขั้นล่าง และพอชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนร้องทัก ก็จำได้ว่าเขาคือสุภาพบุรุษแปลกหน้าที่พบภายใต้แสงสลัวของดวงไฟหน้าโรงแรมตอนที่เขาสามคนจะออกไปเดินเล่นกันนั่นเอง ชายหนุ่มตอบทั้ง ๆ ที่สงสัยว่าทำไมชายผู้นั้นจึงรู้จักชื่อเขา
“ครับ ผมอะโอะกิ คุณล่ะครับ”
“คุณไม่รู้จักผมหรอกครับ”
สุภาพบุรุษผู้นั้นเดินขึ้นบันไดสองสามขั้นขึ้นมาหาชายหนุ่ม
“ผมรู้จักกับพี่ชายคุณ ก็แค่รู้จักแต่ไม่ได้สนิทสนมกัน คือ...” สุภาพบุรุษหยุดราวกับหาคำมาพูดต่อไม่ถูก
ชายหนุ่มหงุดหงิดที่ถูกสุภาพบุรุษทักด้วยเรื่องไม่มีสาระ ขณะที่เขากำลังหัวเสียสุดขีด แต่ก็ต้องสงบสติตอบไปอย่างพยายามรักษามารยาทเต็มที่
“อย่างนั้นหรือครับ คิดว่าเราคงได้พบคุยกันวันหลัง ตอนนี้ต้องขอตัวก่อนเพราะกำลังรีบ ขอโทษนะครับ”
พูดจบก็ตั้งท่าจะวิ่งขึ้นบันไดต่อไป คราวนี้สุภาพบุรุษเรียกไว้อีกด้วยเสียงขึงขัง
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน ผมก็มีเรื่องอยากพูดกับคุณด่วนเหมือนกัน”
4
...มีเรื่องอย่างพูดด้วยด่วน...คำพูดเหมือนสั่งของสุภาพบุรุษแปลกหน้าทำให้ชายหนุ่มชะงัก แล้วรู้สึกฉุนขึ้นมาว่าช่างเป็นคนไม่มีมารยาทเอาเลย
“ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคุณอยากพูดเรื่องอะไร แต่ผมไม่มีเวลาอยู่ฟังคุณหรอกครับ” หางเสียงเขาแสดงความรำคาญอย่างรู้สึกได้ชัด ชายหนุ่มทำท่าจะวิ่งขึ้นบันไดไปจริง ๆ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ คราวนี้ขึ้นเสียงแข็งเลยทีเดียว
“คุณอะโอะกิ หยุดก่อน คุณไม่อยากฟังคำสั่งเสียของพี่ชายคุณรึ ใช่...คำสั่งเสียมาถึงคุณ โดยเฉพาะเป็นคำสั่งเสียที่คุณจำเป็นต้องรับรู้ในตอนนี้”
พอได้ยินเขาเอ่ยถึงพี่ชาย ชายหนุ่มก็ชะงักเท้าที่กำลังจะออกวิ่ง
“คำสั่งเสีย... มีอะไรแบบนั้นด้วยหรือครับ”
ชายหนุ่มถามเสียสะบัดอย่างคนอารมณ์ไม่ดี
“มีซีครับ...มี ยิ่งเห็นสีหน้าคุณตอนนี้ผมยิ่งคิดว่าต้องพูด รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังยืนอยู่ริมเหวลึกที่เสี่ยงอันตรายเป็นที่สุด และผมก็ทนดูคุณตกเหวลงไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ผมต้องเตือนคุณแม้เพียงคำเดียวก็ต้องเตือนให้ได้เพราะมันเป็นหน้าที่ เป็นคำมั่นสัญญาที่ผมให้ไว้กับพี่ชายคุณ”
สุภาพบุรุษพูดพลางเดินขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นที่ชายหนุ่มยืนอยู่
“ใช่...เหวลึกเสี่ยงอันตรายที่พี่ชายคุณพลัดตกลงไปคนหนึ่งแล้ว และตอนนี้คุณก็กำลังจะตกตามลงไปอีกคน”
ชายหนุ่มมองหน้าสุภาพบุรุษแปลกหน้าให้ชัด ๆ ใหม่อีกครั้ง แล้วก็เข้าใจได้ทันทีถึงความจริงจังและความหวังดีจากใจจริงที่สุภาพบุรุษผู้นี้มีต่อเขา แม้จะยังหงุดหงิดกับการพูดเป็นนัยอ้อมค้อมไม่รู้จบ
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะครับ ผมไม่เข้าใจ”
ชายหนุ่มขึ้นเสียงสูงใส่อารมณ์อย่างไม่เกรงใจ
“เอาละเมื่อคุณพร้อมฟังผมก็จะพูดตรง ๆ คุณอะโอะกิ...คุณต้องออกมาให้ห่างจากคุณนายโชดะโดยเร็วที่สุด คุณนายคนนี้แหละคือเหวลึกที่ดูดกลืนพี่ชายคุณลงไป”
สุภาพบุรุษพูดแล้วจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเพ่งพิศ
“คุณต้องไม่พลาดตามรอยพี่ชายไปอีกคน นี่ไม่ใช่คำเตือนของผม แต่เป็นคำสั่งเสียของพี่ชายคุณ ผมอยากให้คุณจำใส่ใจเอาไว้”
สุภาพบุรุษพูดจบก็ก้มศีรษะเป็นเชิงอำลาแล้วก้าวดุ่ม ๆ ขึ้นบันไดไป ท่าทางของเขาดูเหมือนโล่งอกที่ได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไป คราวนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายร้องเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
“คุณครับ รอเดี๋ยว...คุณพี่พูดอย่างนั้นจริง ๆ หรือครับ”
สุภาพบุรุษเหลียวหน้ามามอง
“คุณพี่ของคุณไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ทุกคำพูดอย่างนั้น แต่พูดกับผมในความหมายอย่างที่ผมบอกคุณ”
“เมื่อไร ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มถามระล่ำระลัก
“ก่อนสิ้นใจไม่กี่วินาที”
สุภาพบุรุษยิ้มเศร้า ๆ
“ก่อนสิ้นใจ หมายความว่าคุณอยู่กับคุณพี่ตอนสิ้นใจอย่างนั้นหรือครับ” ชายหนุ่มถามเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ครับ ผมเป็นคนเดียวที่อยู่กับคุณพี่คุณตอนสิ้นใจ และเป็นคนเดียวที่ได้ฟังคำสั่งเสียของเขาก่อนสิ้นลม”
สุภาพบุรุษพูดด้วยเสียงเบา ๆ ด้วยอารมณ์ที่สงบราบเรียบ
“คำสั่งเสียของคุณพี่ คุณพี่พูดอะไรบ้างครับ พูดอะไรบ้าง คุณปิดบังคำสั่งเสียของคุณพี่เอาไว้ได้ยังไงตั้งนาน โดยไม่บอกไม่กล่าวพวกญาติ ๆ
ชายหนุ่มถามอย่างตำหนิ อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
“เปล่าครับ ไม่ได้ปิดบังอะไร ผมกำลังบอกคุณอยู่นี่ยังไง”
5
ชายหนุ่มดื่มด่ำคำพูดของสุภาพบุรุษเข้าไว้เต็มใจ
“คุณอยู่กับคุณพี่ตอนสิ้นใจจริง ๆ หรือครับ คุณพี่พูดอะไรบ้าง ก่อนตายคุณพี่พูดอะไรบ้างครับ”
ชายหนุ่มปล่อยอารมณ์ออกมาเต็มที่เพราะยังระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
“ครับ เรื่องนี้ผมอยากพูดกับคุณให้เป็นเรื่องเป็นราว ยืนพูดกันอย่างนี้เห็นจะไม่เหมาะ เชิญมาที่ห้องผมครับ ถ้าไม่รังเกียจ”
“ยินดีครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้ครับ พอดีภรรยาผมไปแช่น้ำแร่ ในห้องไม่มีใคร”
พอเข้าไปในห้องพักซึ่งเป็นห้องที่สองทางซ้ายของบันได สุภาพบุรุษก็เชิญให้ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ของชุดรับแขก ส่วนตนเองทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกัน
“ผมแนะนำตัวช้าไปหน่อย ผมอะสึมิครับ” สุภาพบุรุษเริ่มด้วยคำทักทายตามธรรมเนียม “ความจริงผมตั้งใจจะหาโอกาสพบคุณสักครั้งให้ได้ก่อนจะออกเดินทางมาตากอากาศที่นี่ เพราะมีเรื่องอยากบอกคุณ ผมโทรศัพท์ไปที่บ้านคุณ ถามได้ความว่าคุณมาพักร้อนอยู่ที่มิยะชิตะ แต่แรกผมคิดว่าจะไปทางโคะวะกุดะนิ แต่พอรู้ว่าคุณมาที่นี่ก็เลยเปลี่ยนแผนคิดว่าจะอยู่สักสองสามวันเผื่อว่าจะพบคุณ ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพบกันจัง ๆ ที่หน้าโรงแรมนั่นเอง และไม่คิดด้วยว่าคุณจะมากับคุณนายโชดะ”
สุภาพบุรุษพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ อย่างมีนัย
“ตามข่าวที่ว่ามีนักเดินทางคนหนึ่งขึ้นรถไปด้วยกันกับคุณพี่คุณตอนเกิดอุบัติเหตุ ผมคือนักเดินทางคนนั้นครับ”
“จริงหรือครับ”
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง
“การตายของคุณพี่คุณเป็นอุบัติเหตุคามการวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ แต่ความจริงแล้วเป็นการฆ่าตัวตายครับ ผมกล้าพูดได้เต็มปาก คุณพี่คุณออกเดินทางหาที่จบชีวิต จากมิโฮะไปซุโซวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญนั่นเป็นเพียงตัวเร่งให้การค่าตัวตายของเขาเร็วขึ้นเท่านั้น”
สีหน้าของสุภาพบุรุษขณะพูดจริงจังมาก ไม่มีร่องรอยที่จะทำให้คิดได้ว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้น
“ฆ่าตัวตาย...คุณพี่ตั้งใจทำอย่างนั้นหรือครับ”
ชายหนุ่มถามด้วยความตระหนก
“ใช่ครับ และอีกไม่นานคุณก็จะเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นของคุณพี่”
“ฆ่าตัวตาย...ความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายน่ะหรือครับ ถ้ามีความตั้งใจอย่างนั้นจริง พี่ชายฆ่าตัวตายเพราะอะไรครับ”
“ก็เพราะคุณนายคนนั้นครับ เพราะถูกคุณนายโฉมงามจูงจมูกเหมือนของเล่น”
สุภาพบุรุษพูดด้วยเสียงขื่น ๆ
“ถูกคุณนายจูงจมูกเหมือนของเล่น”
ชายหนุ่มทวนคำ ใบหน้าของเขาค่อย ๆ ซีดลงเมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่โหดร้าย
“จริงหรือครับ คุณมีหลักฐานอะไรไหมถึงได้กล้าพูดอย่างนั้น”
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสะท้อนความระทึกใจภายใน
“มีซิคุณ ก็ในคำสั่งเสียนั่นแหละ คุณพี่คุณฝากคำสั่งเสียไปยังคุณนายโฉมงามคนนั้น คนที่ใช้เสน่ห์ปั่นหัวคุณพี่คุณให้ลุ่มหลง ทำกับเขาราวกับเป็นของเล่น”
“หือ” ชายหนุ่มครางในลำคอ
“ผมไปพบคุณนายก็เพื่อถ่ายทอดความคับแค้นของพี่ชายคุณให้เจ้าหล่อนรับรู้เอาไว้ แต่คุณนายไม่แยแสเลยสักนิด และไม่เท่านั้น เจ้าหล่อนยังพูดเหยียดหยามคุณพี่คุณอย่างไม่มีดี คุณนายทำกับพี่ชายคุณเหมือนเขาเป็นของเล่นเบื่อแล้วขว้างทิ้งจนเขาชอกช้ำถึงตาย ไม่ฆ่าก็เหมือนค่ากันทางอ้อม ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังหนีไม่รับผิดชอบ ฟังนะว่าเจ้าหล่อนพูดว่ายังไง...คุณอะโอะกิฆ่าตัวตายไม่ใช่เพราะดิฉัน เขาตายเพราะความอ่อนแอต่างหาก...ฟังเจ้าหล่อนพูดซีครับ และไม่เท่านั้น...”
ยิ่งพูดดูเหมือนอารมณ์ของสุภาพบุรุษจะยิ่งพลุ่งพล่านขึ้น