บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน...?"
1
หน้าตาท่าทางตลอดจนเครื่องแต่งกายของชายหนุ่มวัยราว 30 กว่าปีที่ลงมาจากรถยนต์คันนั้นบ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว แว่นตาขอบทองเสริมใบหน้าขาวนวลให้ดูคมคายชวนชม ชุดสากลทันสมัยสีขาวสะอาดกับเข้ากับรูปทรงเหมาะเจาะดูสง่างาม ชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียว หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มวัยราวต้นยี่สิบซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของเขาก้าวตามลงมาติด ๆ
มินะโกะไม่เคยเห็นหน้าสามีภรรยาคู่นี้มาก่อน ผิดกับรุริโกะ...คุณนายโฉมงามสะดุ้งชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หยุดยืนตะลึงทันทีที่เห็นหน้าคนทั้งสอง ชายหนุ่มก็หยุดยืนนิ่งขึงไปเช่นกัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นหน้ารุริโกะ
สุภาพบุรุษหนุ่มกับรุริโกะสบตากันนิ่ง...สิบ...ยี่สิบ...สามสิบวินาทีด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายชายทำท่าลังเลว่าจะทักดีหรือไม่ แต่พอรุริโกะนิ่งขึงและเบือนหน้าไปทางอื่น เขาก็นิ่งเงียบและเบือนหน้าอย่างไม่ยอมแพ้กัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่ทันที่จะเห็นหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางขวาของริริโกะ และเมื่อเห็นถนัดเขาก็ยิ่งตกใจทำหน้าคล้ายกับจะอุทานอะไรออกมาดัง ๆ
เขาหันไปมองรุริโกะอีกครั้งแล้วกลับมามองที่ชายหนุ่มคนนั้นอีกที แล้วก็อีกที แล้วทำสีหน้าเหมือนได้เห็นอะไรที่น่ารังเกียจ ก่อนชวนภรรยาของเขาเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนบรรไดโรงแรม
มินะโกะอยากรู้ว่าสุภาพบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นคือใคร แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแม่เลี้ยงโฉมงามยามนั้นแล้วก็คิดว่าไม่เป็นการไม่สมควรจึงไม่เอ่ยปากถามออกไป แต่กลับเป็นชายหนุ่มซึ่งนิ่งเงียบมาตลอด ที่เป็นคนเอ่ยถามรุริโกะขึ้นขณะกำลังเดินออกประตูใหญ่ของโรงแรม
“สุภาพบุรุษคนนั้นคือใครครับ คุณนายรู้จักใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเป็นคนไม่มีมารยาท จ้องพวกเราเขม็งอย่างนั้น”
รุริโกะตอบอย่างเชิดหยิ่ง แต่ถ้าฟังดี ๆ จะรู้สึกว่าในน้ำเสียงนั้นไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นเคย
“ไม่รู้จักหรอกหรือครับ แต่คุณคนนั้นดูเหมือนจะรู้จักพวกเราดี”
ชายหนุ่มนิ่วหน้านิดหนึ่งด้วยความสงสัย แต่รุริโกะทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ตอบ
ทั้งสามเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงสถานีมิยะโนะชิตะแล้วขึ้นรถไฟมุ่งไปทางโกระ ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนคนที่พากันมาเดินเล่นแม้แต่นิดเดียว
มินะโกะมาอย่างเสียไม่ได้ตามคำคะยั้นคะยอของแม่เลี้ยงโฉมงาม ส่วนชายหนุ่มปฏิเสธการมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ คนที่กำลังเจ็บช้ำน้ำใจจากการถูกเลื่อนเวลาให้คำตอบจะมีอารมณ์ออกไปเดินเล่นได้อย่างไร รุริโกะนั้นเล่า แม้จะเป็นตัวตั้งตัวตีชวนแล้วชวนอีกจนมินะโกะกับชายหนุ่มยอมออกไปเดินเล่นด้วย แต่ตั้งแต่พบสุภาพบุรุษหนุ่มผู้นั้นที่หน้าโรงแรม ใบหน้างามจับตาของเจ้าหล่อนดูหมองไปเหมือนมีเงามืดดำอะไรซ่อนอยู่แต่ไม่อาจปิดไว้ได้มิด
รถไฟวิ่งล้อกระทบรางเสียงดังกึงกัง ไฟหน้าส่องสว่างฝ่าความมืดและเลียบไหล่เขาที่เขียวชอุ่มไปด้วยแมกไม้ของ ฮาโกเน่ ไม่นานก็มาสุดทางที่สถานีโกระ พอลงรถไฟและเดินขึ้นเนินลาดชันไปอีกไม่ไกลนักก็ถึงประตูทางเข้าสวน โกระ
นับตั้งแต่เมื่อรถไฟเปิดเดินสายมาถึงโกระ บริเวณนี้มีบ้านพักตากอากาศผุดขึ้นมามากมายราวดอกเห็ด และปีนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนเดินทางมาพักร้อนกันมากพอดูเลยทีเดียว
เสียงสรวลเสเฮฮาดังลอดออกมาจากหน้าต่างที่เปิดไฟสว่างไสวของร้านอาหารฝรั่งซึ่งตั้งอยู่สุดทางเดินจากประตูทางเข้าสวนด้านหน้า
ลึกเข้าไปด้านในของสวนโกระ มีคนมาเดินผ่อนอารมณ์รับลมเย็นยามค่ำตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ไม่ถึงกับคับคั่งแต่ก็ไม่ถึงกับโหรงเหรง
2
ทั้งสามเดินเลี้ยวไปทางซ้ายของร้านอาหารฝรั่ง เลียบผนังคอนกรีตของสระว่ายน้ำขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ สวนสาธารณะเล็ก ๆ แบบตะวันตกบนไหล่เขาแห่งนี้ แม้จะเป็นบริเวณเดียวในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของภูเขาฮาโกเน่ที่จัดแต่งขึ้นด้วยฝีมือมนุุษย์ แต่ก็มีความกลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง
ตรงกลางสวนมีน้ำพุที่ดูเหมือนจะทำน้ำลงมาจากบนภูเขา ใครก็ตามที่เดินเฉียดใกล้จะสดชื่นชุ่มฉ่ำใจไปกับละอองน้ำที่กระเซ็นมาถูกผิวกายเป็นครั้งคราวจนเกือบหนาว
ทั้งสามเดินเงียบ ๆ ไปทางนั้นทางนี้ภายในสวน ไม่มีใครปริปากพูดกับใครราวกับริมฝีปากถูกปิดผนึกไปเสียทุกคน เดินจนเมื่อยไปตาม ๆ กันแล้ว พอพบก้อนหินเรียบ ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ก็เลยทรุดตัวลงนั่งราวกับนัดกันไว้
ตอนนั้นเองที่อยู่ ๆ รุริโกะก็ทำลายความเงียบอันยาวนานโดยหันไปพูดกับชายหนุ่มอย่างเอาการเอางานว่า
“คุณอะโอะกิ เรื่องที่พูดกันวันนั้น”
ชายหนุ่มยังตั้งรับไม่ทันจึงยังงงอยู่ว่ารุริโกะพูดถึงเรื่องอะไร
“ครับ...คือ”
เขาถามด้วยท่าทางเงอะงะเต็มที
“ก็เรื่องที่พูดกันตอนนั้นยังไงเล่าคะ”
รุริโกะทวนคำด้วยเสียงที่แข็งและเยียบเย็นราวเหล็กกล้า
“เรื่องที่พูดกันเมื่อตอนนั้น”
ชายหนุ่มขึ้นหางเสียงเป็นคำถาม เอียงคอน้อย ๆ อย่างคนที่ยังจับเรื่องไม่ถูก
มินะโกะซึ่งนั่งอยู่กลางระหว่างแม่เลี้ยงของเธอกับชายหนุ่ม เริ่มอึดอัดที่แม่เลี้ยงกับชายหนุ่มเริ่มสนทนากันด้วยเรื่องที่ไม่น่าจะสบอารมณ์ผ่านหัวเธอไปมา อีกทั้งเธอเองก็ยังเดาไปถูกเหมือนกันว่าแม่เลี้ยงจะมาท่าไหนกันแน่
“ลืมแล้วหรือ ก็เรื่องเมื่อคืนก่อนอย่างไรเล่าคะ”
น้ำเสียงของรุริโกะเต็มไปด้วยความจริงจังไม่มีติดตลกแม้แต่น้อย
“เมื่อคืนก่อน เมื่อไรกันครับ” เสียงของชายหนุ่มเริ่มเครียดขึ้นตามลำดับ
“ไม่น่าลืม เมื่อคืนวานซืนนี้ค่ะ”
มินะโกะเห็นได้ชัดชายหนุ่มหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เธอเองก็ตกใจไม่แพ้กันจนอกใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ นี่หมายความว่ารุริโกะกำลังจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนวานซืนนี้ต่อหน้าเธออย่างนั้นหรือ...แค่คิดก็ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นเสียแล้ว
“เมื่อคืนวานซืน” ชายหนุ่มพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “เมื่อคืนวานซืนผมพูดอะไรกับคุณนายเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางของชายหนุ่มที่พยายามหาทางเลี่ยงไม่พูดเรื่องนั้นต่อหน้าเธอทำให้มินะโกะรู้สึกสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งอกใจก็ยังเต้นระทึกราวกับเป็นเรื่องของตนเองขณะกลั้นใจฟังว่าแม่เลี้ยงจะพูดอะไรออกมา
“ลืมไปแล้วหรือคะ”
รุริโกะพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้ลดความเย็นชาลงเลย ไม่มีสำเนียงติดตลก ไม่มีการเย้าแหย่หรือยั่วยวน คืนนี้รุริโกะจริงใจราวกับเป็นคนละคนกับคุณนายโฉมงามคนเดิม
“ลืมแล้วหรือ...คืนเมื่อวานซืนนี้” ชายหนุ่มขึ้นเสียงสูงเป็นคำถามที่ท้ายประโยค “ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด เมื่อคืนวานซืนนี้ ผมบอกอะไรคุณนายหรือ” มินะโกะรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มพยายามทำเสียงแข็งเป็นเชิงปรามผู้พูด แต่น่าเวทนายิ่งนักที่เสียงนั้นสั่นไหวอย่างไม่เป็นท่า
คำพูดของรุริโกะเย็นชาไร้ความปราณีใด ๆ ทั้งสิ้น
“คืนนี้ ดิฉันจะให้คำตอบสำหรับเรื่องที่เราพูดกันเมื่อคืนวานซืน”
คงจะเป็นเพราะแรงลม ละอองเย็นฉ่ำของน้ำพุจึงกระเซ็นมากระทบผิวกายของคนทั้งสาม
3
คำพูดที่รุริโกะเอ่ยออกมาแต่ละคำฟังช่างหนักแน่นราวกับผู้พิพากษากำลังจะเริ่มอ่านคำพิพากษาตัดสินคดีอุกฉกรรจ์ขั้นเด็ดขาด
ณ นาทีนี้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มก็ทนนิ่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อคำพูดแม่ม่ายโฉมงามที่เคยติดตลกให้ขำขัน ยักย้ายบ่ายเบี่ยง ใส่จริตให้สมองของเขามึนงงจิตใจของเขาปั่นป่วนมาหลายต่อหลายครั้ง กลายเป็นคมมีดขาววับพร้อมที่จะจ้วงลงมาเฉือดเฉือนหัวใจของเขาขึ้นมาจริง ๆ โดยที่เขาไม่มีทางหนีไปไหนนอกจากต้องหันหน้าเข้าสู้กันตรง ๆ
“คุณนายครับ ผมไม่รู้ว่าคุณนายกำลังจะพูดอะไร แต่อยากถามว่าคุณนายลืมคำสัญญาที่ให้ไว้แล้วหรือครับ ลืมคำสัญญาสำคัญที่ให้ไว้กับผมแล้วหรืออย่างไร”
ชายหนุ่มอารมณ์พลุ่งพล่านร้อนแรงขึ้นจนเหมือนกับจะลืมไปแล้วว่ามีมินะโกะนั่งคั่นกลางอยู่ทั้งคน ลมหายใจอุ่นระอุที่พลุ่งออกมาพร้อมทุกคำพูดกระทบผิวแก้มที่เย็นเยียบของสาวน้อย
“คำสัญญา” รุริโกะขึ้นเสียงที่ท้ายคำเป็นคำถาม “ก็เพราะไม่ลืมน่ะซีคะ ดิฉันถึงบอกว่าจะให้คำตอบคืนนี้”
ชายหนุ่มผลุดลุกขึ้นยืนทันที ทนไม่ไหวแล้วที่จะต้องพูดข้ามหัวมินะโกะไปมาอยู่อย่างนั้น เขาก้าวไปประจันหน้าคู่สนทนาแล้วคาดคั้นเสียงกร้าว
“อะไรนะ อะไรนะครับ”
มินะโกะก้มหน้างุดเหมือนเด็กเล็ก ๆ เมื่อเห็นอะไรที่น่ากลัวสะเทือนขวัญ
“คุณนาย...นี่คุณนายกำลังพูดอะไรออกมา ผม...ผม...นี่หมายความว่าคุณนายกำลังจะให้คำตอบเรื่องนั้น เรื่องที่ผมขอเอาไว้เมื่อคืนวานซืนนี้ เดี๋ยวนี้ และที่นี่ อย่างนั้นหรือครับ”
ชายหนุ่มตัวสั่นสะท้านไปด้วยฤทธิ์ของอารมณ์ที่ร้อนแรงถึงขีดสุด เสียงของเขาแตกพร่า คำพูดติดอยู่ในลำคอเป็นห้วง ๆ ยากนักที่จะเค้นออกมาได้ทีละคำ
“นั่งลงให้ใจเย็นก่อนดีไหม คุณมีอารมณ์อย่างนี้จะพูดอะไรก็คงไม่เข้าใจกัน นั่งลงสงบสติอารมณ์แล้วพูดกันดี ๆ เพราะคืนนี้ดิฉันอยากพูดให้เข้าใจกันดีสักที”
รุริโกะพูดด้วยสีหน้าและท่าทีที่เยียบเย็นเหมือนน้ำใสยามเหมันตฤดู ชายหนุ่มกลับไปนั่งตามเดิมเมื่อถูกเตือนแม้ไม่เต็มใจ แต่ก็ยังระงับอารมณ์พลุ่งพล่านไว้ไม่อยู่ ไอจากลมหายใจร้อนเร่ายังพลุ่งออกมาพร้อมกับทุกคำพูด
“นั่งก็ได้ครับ แต่คุณนายจะพูดเรื่องนั้นตรงนี้ได้ยังไง ช่วยคิดหน่อยเถิดครับเพราะนั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวของผมคนเดียว คุณคิดยังไงถึงจะเอาเรื่องส่วนตัวของผมมาพูดตรงนี้ มันไม่ทารุณจิตใจของผมไปหน่อยรึ...จำไม่ได้หรือครับว่าคืนนั้นผมพูดเอาไว้ว่ายังไง คุณนายจำคำพูดของผมคืนนั้นไม่ได้เลยหรือครับ”
ชายหนุ่มกำลังอยู่ในอารมณ์คลั่งจนไม่คำนึงอีกต่อไปว่า ณ ที่นั่นยังมีมินะโกะอยู่อีกคนที่ได้ยินได้ฟังทุกคำพูดของเขาด้วย
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว มินะโกะเองก็ทนไม่ได้อีกต่อไปกับการที่ต้องมานั่งคั่นกลางการสนทนาที่ขัดแย้งกันรุนแรงเช่นนั้น สาวน้อยรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนั้นว่า
“คุณแม่คะ ดิฉันอยากขอตัวไปเดินเล่นแถวนี้สักหน่อย จะกลับมาเมื่อกะว่าเรื่องที่พูดกันคงจบแล้ว”
มินะโกะพูดซื่อ ๆ ตามนิสัยไม่ได้คิดว่าจะประชดประชันแต่อย่างใด ชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในสภาพเหมือนคนจวนจะจมน้ำแล้วพบฟางเส้นสุดท้าย รีบเห็นพ้องด้วยแทบไม่ทัน
“จริงด้วยครับ คุณนาย ถ้าคุณนายจะให้คำตอบเรื่องคืนนั้น ผมก็ต้องขอความกรุณาจากคุณมินะโกะ ขอโอกาสให้เราได้พูดกันสองคนเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของผม คุณนายครับ ถ้าเป็นคำตอบของเรื่องนั้นละก็ ผมอยากได้รับเมื่อมีผมอยู่เพียงคนเดียว”
รุริโกะด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังร้อนรุ่มรู้สึกเหมือนถูกรดราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
“ไม่ค่ะ เรื่องนี้ดิฉันอยากให้มินะโกะฟังด้วย คืนนั้นก็เหมือนกัน ถ้าฉันรู้ว่าเราจะพูดเรื่องนั้นกันละก็ดิฉันคงต้องให้มินะโกะมาร่วมฟังเป็นพยานด้วย เพราะคิดว่าเรื่องเช่นนั้นไม่ควรพูดกันตามลำพังสองคน ถ้าสังคมเอาไปลือกันคนที่เสียหายก็คือดิฉัน เรื่องเช่นนั้นดิฉันคิดว่าจะต้องจัดการให้เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจนโดยไม่มีอะไรตกค้างได้เป็นดีที่สุด มินะโกะ...หนูจะอยู่ฟังเรื่องนี้เป็นพยานให้คุณแม่ด้วยใช่ไหมคะ”
“คุณนาย...คุณ...คุณ...โธ่โว้ย”
ชายหนุ่มแผดเสียงลั่นราวกับคนเสียสติ ลุกขึ้นยืนกระทืบเท้าจนแผ่นดินแทบสะเทือน
4
รุริโกะพูดต่อด้วยกิริยาอันสงบนิ่ง มิใยว่าคู่สนทนาจะตกอยู่ในอารมณ์บ้าคลั่งเพียงใด
“มินะโกะ คุณแม่ไม่ได้บอกหนูว่าเมื่อคืนวานซืนนี้ คุณแม่ได้รับคำขอแต่งงานจากคุณอะโอะกิอย่างกระทันหันโดยที่คุณแม่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน และจะให้คำตอบแก่เขาว่าจะรับหรือปฏิเสธคำขอนั้นตามที่ได้สัญญาไว้ในคืนนี้ บอกตรง ๆ ว่าคุณแม่ลำบากใจมากที่ได้รับคำขอแต่งงานตรง ๆ อย่างนั้น และคิดว่าอย่างน้อยตอนให้คำตอบมีหนูอยู่เป็นพยานด้วยสักคนก็ยังดี”
มินะโกะตกอยู่ในฐานะที่พูดไม่ออกตอบไม่ถูก สาวน้อยพอจะจับนัยจากคำพูดนั้นได้ว่ารุริโกะรู้ว่าเธอได้ยินได้ฟังความลับของตนกับชายหนุ่ม และคงเห็นตอนที่เธอวิ่งหนีกลับเข้าโรงแรมด้วยเป็นแน่ แล้วอย่างนี้จะให้เธอตอบว่าอย่างไร ในเมื่อแม่เลี้ยงผู้ฉลาดแหลมคมอ่านใจเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วเช่นนั้น
ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ดวงตาเท่านั้นที่แวววาวเป็นประกายจัดจ้าอยู่ในความมืดสลัว
“เอาละค่ะ คุณอะโอะกิ สงบอารมณ์แล้วฟังให้ดี ๆ ดิฉันคิดทบทวนคำขอของคุณหลายครั้ง คิดอย่างถี่ถ้วนด้วยความจริงแล้วทุกครั้ง แต่ก็ต้องเสียใจมากที่ต้องบอกว่าดิฉันไม่อาจทำตามคำขอของคุณได้”
คำพูดของรุริโกะพุ่งเข้าเป้าราวกับปฏักของนักสู้วัวที่พุ่งตรงเสียบจุดสังหารปลิดชีวิตวัวกระทิงลงในพริบตา ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มโงนเงนเซไปข้างหลัง เขายกสองมือขึ้นกุมศีรษะบิดตัวไปมาพร้อมกับครางอยู่ในลำคอ ไม่ใช่ทั้งเสียงอุทานและไม่ใช่ทั้งเสียงพึมพำคำสบถ
มินะโกะแทบจะทนดูอยู่ไม่ได้ นี่ถ้าไม่มีแม่เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ สาวน้อยคงวิ่งเข้าไปประคองร่างสูงสง่าของชายหนุ่มและปลอบโยนเขาให้สมใจ ชายหนุ่มดิ้นรนอยู่ในห้วงแห่งความปวดร้าวอยู่สองสามนาทีก่อนที่จะคืบคลานกลับขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยความลำบากยากเย็น
ความเจ็บช้ำระคนอับอายที่ถูกรุริโกะปฏิเสธเกลื่อนอยู่บนทุกส่วนของใบหน้า ดวงตาทั้งสองแดงระเรื่อ รอยย่นลึกที่ปลายหางตาบ่งบอกความปวดร้าวใจของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“สำหรับผม คำพูดของคุณนายไม่ใช่คำปฏิเสธแต่มันเป็นคำหยามน้ำหน้าให้ผมได้อาย คุณนายเอาคำขอจากใจจริงที่ผมสู้อุตส่าห์ถนุถนอมมามอบให้ มาพูด...มาพูดเหมือนประจานผมต่อหน้าคุณหนูมินะโกะอย่างนี้ มันเหมือนแกล้งให้ผมอับอาย ใช่คุณหนูมินะโกะเป็นลูกสาวคุณนาย เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่สำหรับผมคุณหนูเป็นคนอื่น ผมอายครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยถูกหยามน้ำหน้าให้ได้อายเหมือนครั้งนี้”
ยิ่งพูดก็ยิ่งแค้น ยิ่งโกรธ ชายหนุ่มเค้นคำพูดออกมาสุดแรงแทบจะกระอักเป็นเลือด กำหมัดแผดเสียงเกรี้ยวกราดราวกับเสียสติ พ่นคำผรุสวาทอย่างลืมความเป็นผู้ดีเก่าเง่าผู้ดีที่เคยสงวนท่าทีเอาไว้
“คุณนาย...ผมพูดได้เต็มปากเดี๋ยวนี้เลยว่าคุณคือนางโลม คุณคือหญิงงามเมือง ผมผิดเองที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมด้วยเพราะคิดว่าเป็นผู้ลากมากดี ผมผิดเองที่เชื่อว่าคำที่คุณนายบอกรักผมนั้นเป็นความจริง ผมคิดผิดหมดทุกอย่าง ผมรักคุณนายด้วยใจจริงและคิดว่าคุณนายก็รักผมด้วยใจบริสุทธิ์เช่นกัน ผมมีความสุขครับ...มีความสุขมาก คุณนายครับ...คุณใช้มารยาร้อยแปดใช้คำหวานไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคำเย้ายวนให้ผมหลงรัก หลงเชื่อจนตัดสินใจขอแต่งงาน แล้วยังไง...คุณนายปฏิเสธผม ตลบหลังผมอย่างเลือดเย็น เท่านั้นไม่พอ...ยังหยามน้ำหน้าผมให้ต้องอับอาย หยามเกียรติศักดิ์ความเป็นลูกผู้ชายของผมอย่างที่สุด จำเอาไว้...จำเอาไว้นะคุณนาย แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
รุริโกะปล่อยให้ชายหนุ่มก่นคำผรุสวาทระบายความคั่งแค้นยืดยาวโดยไม่คิดที่จะโต้แย้ง จนกระทั่งสิ้นเสียงเธอจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“คุณอะโอะกิ คุณไม่ต้องโกรธถึงขนาดนั้นหรอก ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าที่คุณพูดคล้ายกับว่าความรักของดิฉันที่มีต่อคุณเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดนั้นน่ะ มันออกจะเป็นการปรักปรำดิฉันมากไป เพราะดิฉันรักคุณจริง แต่ไม่ใช่ความรักเฉกเช่นภรรยารักสามี มันเป็นความรักของพี่สาวที่พึงมีต่อน้องชาย เมื่อวานนี้ดิฉันนั่งคิดทั้งวันจนในที่สุดก็เข้าใจชัดเจนเช่นนั้น ดิฉันคิดอยากมีน้องชายอย่างคุณสักคน แต่ไม่เคยคิดฝันที่จะมีคุณเป็นสามี ดิฉันอยากคบกับคุณด้วยความสนิทสนมที่สุดรองจากสามีที่ล่วงลับ ต่อไปอีกนานเท่านาน มินะโกะคงเข้าใจความรู้สึกของคุณแม่นะคะ”
รุริโกะหันไปถามมินะโกะอย่างแฝงนัยความหมายบางอย่าง มินะโกะรู้สึกเหมือนมีลำแสงสว่างวาบแวบเข้ามากลางความมืด สาวน้อยเพิ่งเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของแม่เลี้ยงในค่ำคืนนี้เอง
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน...?"
1
หน้าตาท่าทางตลอดจนเครื่องแต่งกายของชายหนุ่มวัยราว 30 กว่าปีที่ลงมาจากรถยนต์คันนั้นบ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว แว่นตาขอบทองเสริมใบหน้าขาวนวลให้ดูคมคายชวนชม ชุดสากลทันสมัยสีขาวสะอาดกับเข้ากับรูปทรงเหมาะเจาะดูสง่างาม ชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียว หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มวัยราวต้นยี่สิบซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของเขาก้าวตามลงมาติด ๆ
มินะโกะไม่เคยเห็นหน้าสามีภรรยาคู่นี้มาก่อน ผิดกับรุริโกะ...คุณนายโฉมงามสะดุ้งชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หยุดยืนตะลึงทันทีที่เห็นหน้าคนทั้งสอง ชายหนุ่มก็หยุดยืนนิ่งขึงไปเช่นกัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นหน้ารุริโกะ
สุภาพบุรุษหนุ่มกับรุริโกะสบตากันนิ่ง...สิบ...ยี่สิบ...สามสิบวินาทีด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายชายทำท่าลังเลว่าจะทักดีหรือไม่ แต่พอรุริโกะนิ่งขึงและเบือนหน้าไปทางอื่น เขาก็นิ่งเงียบและเบือนหน้าอย่างไม่ยอมแพ้กัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่ทันที่จะเห็นหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางขวาของริริโกะ และเมื่อเห็นถนัดเขาก็ยิ่งตกใจทำหน้าคล้ายกับจะอุทานอะไรออกมาดัง ๆ
เขาหันไปมองรุริโกะอีกครั้งแล้วกลับมามองที่ชายหนุ่มคนนั้นอีกที แล้วก็อีกที แล้วทำสีหน้าเหมือนได้เห็นอะไรที่น่ารังเกียจ ก่อนชวนภรรยาของเขาเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนบรรไดโรงแรม
มินะโกะอยากรู้ว่าสุภาพบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นคือใคร แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแม่เลี้ยงโฉมงามยามนั้นแล้วก็คิดว่าไม่เป็นการไม่สมควรจึงไม่เอ่ยปากถามออกไป แต่กลับเป็นชายหนุ่มซึ่งนิ่งเงียบมาตลอด ที่เป็นคนเอ่ยถามรุริโกะขึ้นขณะกำลังเดินออกประตูใหญ่ของโรงแรม
“สุภาพบุรุษคนนั้นคือใครครับ คุณนายรู้จักใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเป็นคนไม่มีมารยาท จ้องพวกเราเขม็งอย่างนั้น”
รุริโกะตอบอย่างเชิดหยิ่ง แต่ถ้าฟังดี ๆ จะรู้สึกว่าในน้ำเสียงนั้นไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นเคย
“ไม่รู้จักหรอกหรือครับ แต่คุณคนนั้นดูเหมือนจะรู้จักพวกเราดี”
ชายหนุ่มนิ่วหน้านิดหนึ่งด้วยความสงสัย แต่รุริโกะทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ตอบ
ทั้งสามเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงสถานีมิยะโนะชิตะแล้วขึ้นรถไฟมุ่งไปทางโกระ ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนคนที่พากันมาเดินเล่นแม้แต่นิดเดียว
มินะโกะมาอย่างเสียไม่ได้ตามคำคะยั้นคะยอของแม่เลี้ยงโฉมงาม ส่วนชายหนุ่มปฏิเสธการมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ คนที่กำลังเจ็บช้ำน้ำใจจากการถูกเลื่อนเวลาให้คำตอบจะมีอารมณ์ออกไปเดินเล่นได้อย่างไร รุริโกะนั้นเล่า แม้จะเป็นตัวตั้งตัวตีชวนแล้วชวนอีกจนมินะโกะกับชายหนุ่มยอมออกไปเดินเล่นด้วย แต่ตั้งแต่พบสุภาพบุรุษหนุ่มผู้นั้นที่หน้าโรงแรม ใบหน้างามจับตาของเจ้าหล่อนดูหมองไปเหมือนมีเงามืดดำอะไรซ่อนอยู่แต่ไม่อาจปิดไว้ได้มิด
รถไฟวิ่งล้อกระทบรางเสียงดังกึงกัง ไฟหน้าส่องสว่างฝ่าความมืดและเลียบไหล่เขาที่เขียวชอุ่มไปด้วยแมกไม้ของ ฮาโกเน่ ไม่นานก็มาสุดทางที่สถานีโกระ พอลงรถไฟและเดินขึ้นเนินลาดชันไปอีกไม่ไกลนักก็ถึงประตูทางเข้าสวน โกระ
นับตั้งแต่เมื่อรถไฟเปิดเดินสายมาถึงโกระ บริเวณนี้มีบ้านพักตากอากาศผุดขึ้นมามากมายราวดอกเห็ด และปีนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนเดินทางมาพักร้อนกันมากพอดูเลยทีเดียว
เสียงสรวลเสเฮฮาดังลอดออกมาจากหน้าต่างที่เปิดไฟสว่างไสวของร้านอาหารฝรั่งซึ่งตั้งอยู่สุดทางเดินจากประตูทางเข้าสวนด้านหน้า
ลึกเข้าไปด้านในของสวนโกระ มีคนมาเดินผ่อนอารมณ์รับลมเย็นยามค่ำตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ไม่ถึงกับคับคั่งแต่ก็ไม่ถึงกับโหรงเหรง
2
ทั้งสามเดินเลี้ยวไปทางซ้ายของร้านอาหารฝรั่ง เลียบผนังคอนกรีตของสระว่ายน้ำขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ สวนสาธารณะเล็ก ๆ แบบตะวันตกบนไหล่เขาแห่งนี้ แม้จะเป็นบริเวณเดียวในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของภูเขาฮาโกเน่ที่จัดแต่งขึ้นด้วยฝีมือมนุุษย์ แต่ก็มีความกลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง
ตรงกลางสวนมีน้ำพุที่ดูเหมือนจะทำน้ำลงมาจากบนภูเขา ใครก็ตามที่เดินเฉียดใกล้จะสดชื่นชุ่มฉ่ำใจไปกับละอองน้ำที่กระเซ็นมาถูกผิวกายเป็นครั้งคราวจนเกือบหนาว
ทั้งสามเดินเงียบ ๆ ไปทางนั้นทางนี้ภายในสวน ไม่มีใครปริปากพูดกับใครราวกับริมฝีปากถูกปิดผนึกไปเสียทุกคน เดินจนเมื่อยไปตาม ๆ กันแล้ว พอพบก้อนหินเรียบ ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ก็เลยทรุดตัวลงนั่งราวกับนัดกันไว้
ตอนนั้นเองที่อยู่ ๆ รุริโกะก็ทำลายความเงียบอันยาวนานโดยหันไปพูดกับชายหนุ่มอย่างเอาการเอางานว่า
“คุณอะโอะกิ เรื่องที่พูดกันวันนั้น”
ชายหนุ่มยังตั้งรับไม่ทันจึงยังงงอยู่ว่ารุริโกะพูดถึงเรื่องอะไร
“ครับ...คือ”
เขาถามด้วยท่าทางเงอะงะเต็มที
“ก็เรื่องที่พูดกันตอนนั้นยังไงเล่าคะ”
รุริโกะทวนคำด้วยเสียงที่แข็งและเยียบเย็นราวเหล็กกล้า
“เรื่องที่พูดกันเมื่อตอนนั้น”
ชายหนุ่มขึ้นหางเสียงเป็นคำถาม เอียงคอน้อย ๆ อย่างคนที่ยังจับเรื่องไม่ถูก
มินะโกะซึ่งนั่งอยู่กลางระหว่างแม่เลี้ยงของเธอกับชายหนุ่ม เริ่มอึดอัดที่แม่เลี้ยงกับชายหนุ่มเริ่มสนทนากันด้วยเรื่องที่ไม่น่าจะสบอารมณ์ผ่านหัวเธอไปมา อีกทั้งเธอเองก็ยังเดาไปถูกเหมือนกันว่าแม่เลี้ยงจะมาท่าไหนกันแน่
“ลืมแล้วหรือ ก็เรื่องเมื่อคืนก่อนอย่างไรเล่าคะ”
น้ำเสียงของรุริโกะเต็มไปด้วยความจริงจังไม่มีติดตลกแม้แต่น้อย
“เมื่อคืนก่อน เมื่อไรกันครับ” เสียงของชายหนุ่มเริ่มเครียดขึ้นตามลำดับ
“ไม่น่าลืม เมื่อคืนวานซืนนี้ค่ะ”
มินะโกะเห็นได้ชัดชายหนุ่มหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เธอเองก็ตกใจไม่แพ้กันจนอกใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ นี่หมายความว่ารุริโกะกำลังจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนวานซืนนี้ต่อหน้าเธออย่างนั้นหรือ...แค่คิดก็ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นเสียแล้ว
“เมื่อคืนวานซืน” ชายหนุ่มพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “เมื่อคืนวานซืนผมพูดอะไรกับคุณนายเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางของชายหนุ่มที่พยายามหาทางเลี่ยงไม่พูดเรื่องนั้นต่อหน้าเธอทำให้มินะโกะรู้สึกสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งอกใจก็ยังเต้นระทึกราวกับเป็นเรื่องของตนเองขณะกลั้นใจฟังว่าแม่เลี้ยงจะพูดอะไรออกมา
“ลืมไปแล้วหรือคะ”
รุริโกะพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้ลดความเย็นชาลงเลย ไม่มีสำเนียงติดตลก ไม่มีการเย้าแหย่หรือยั่วยวน คืนนี้รุริโกะจริงใจราวกับเป็นคนละคนกับคุณนายโฉมงามคนเดิม
“ลืมแล้วหรือ...คืนเมื่อวานซืนนี้” ชายหนุ่มขึ้นเสียงสูงเป็นคำถามที่ท้ายประโยค “ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด เมื่อคืนวานซืนนี้ ผมบอกอะไรคุณนายหรือ” มินะโกะรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มพยายามทำเสียงแข็งเป็นเชิงปรามผู้พูด แต่น่าเวทนายิ่งนักที่เสียงนั้นสั่นไหวอย่างไม่เป็นท่า
คำพูดของรุริโกะเย็นชาไร้ความปราณีใด ๆ ทั้งสิ้น
“คืนนี้ ดิฉันจะให้คำตอบสำหรับเรื่องที่เราพูดกันเมื่อคืนวานซืน”
คงจะเป็นเพราะแรงลม ละอองเย็นฉ่ำของน้ำพุจึงกระเซ็นมากระทบผิวกายของคนทั้งสาม
3
คำพูดที่รุริโกะเอ่ยออกมาแต่ละคำฟังช่างหนักแน่นราวกับผู้พิพากษากำลังจะเริ่มอ่านคำพิพากษาตัดสินคดีอุกฉกรรจ์ขั้นเด็ดขาด
ณ นาทีนี้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มก็ทนนิ่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อคำพูดแม่ม่ายโฉมงามที่เคยติดตลกให้ขำขัน ยักย้ายบ่ายเบี่ยง ใส่จริตให้สมองของเขามึนงงจิตใจของเขาปั่นป่วนมาหลายต่อหลายครั้ง กลายเป็นคมมีดขาววับพร้อมที่จะจ้วงลงมาเฉือดเฉือนหัวใจของเขาขึ้นมาจริง ๆ โดยที่เขาไม่มีทางหนีไปไหนนอกจากต้องหันหน้าเข้าสู้กันตรง ๆ
“คุณนายครับ ผมไม่รู้ว่าคุณนายกำลังจะพูดอะไร แต่อยากถามว่าคุณนายลืมคำสัญญาที่ให้ไว้แล้วหรือครับ ลืมคำสัญญาสำคัญที่ให้ไว้กับผมแล้วหรืออย่างไร”
ชายหนุ่มอารมณ์พลุ่งพล่านร้อนแรงขึ้นจนเหมือนกับจะลืมไปแล้วว่ามีมินะโกะนั่งคั่นกลางอยู่ทั้งคน ลมหายใจอุ่นระอุที่พลุ่งออกมาพร้อมทุกคำพูดกระทบผิวแก้มที่เย็นเยียบของสาวน้อย
“คำสัญญา” รุริโกะขึ้นเสียงที่ท้ายคำเป็นคำถาม “ก็เพราะไม่ลืมน่ะซีคะ ดิฉันถึงบอกว่าจะให้คำตอบคืนนี้”
ชายหนุ่มผลุดลุกขึ้นยืนทันที ทนไม่ไหวแล้วที่จะต้องพูดข้ามหัวมินะโกะไปมาอยู่อย่างนั้น เขาก้าวไปประจันหน้าคู่สนทนาแล้วคาดคั้นเสียงกร้าว
“อะไรนะ อะไรนะครับ”
มินะโกะก้มหน้างุดเหมือนเด็กเล็ก ๆ เมื่อเห็นอะไรที่น่ากลัวสะเทือนขวัญ
“คุณนาย...นี่คุณนายกำลังพูดอะไรออกมา ผม...ผม...นี่หมายความว่าคุณนายกำลังจะให้คำตอบเรื่องนั้น เรื่องที่ผมขอเอาไว้เมื่อคืนวานซืนนี้ เดี๋ยวนี้ และที่นี่ อย่างนั้นหรือครับ”
ชายหนุ่มตัวสั่นสะท้านไปด้วยฤทธิ์ของอารมณ์ที่ร้อนแรงถึงขีดสุด เสียงของเขาแตกพร่า คำพูดติดอยู่ในลำคอเป็นห้วง ๆ ยากนักที่จะเค้นออกมาได้ทีละคำ
“นั่งลงให้ใจเย็นก่อนดีไหม คุณมีอารมณ์อย่างนี้จะพูดอะไรก็คงไม่เข้าใจกัน นั่งลงสงบสติอารมณ์แล้วพูดกันดี ๆ เพราะคืนนี้ดิฉันอยากพูดให้เข้าใจกันดีสักที”
รุริโกะพูดด้วยสีหน้าและท่าทีที่เยียบเย็นเหมือนน้ำใสยามเหมันตฤดู ชายหนุ่มกลับไปนั่งตามเดิมเมื่อถูกเตือนแม้ไม่เต็มใจ แต่ก็ยังระงับอารมณ์พลุ่งพล่านไว้ไม่อยู่ ไอจากลมหายใจร้อนเร่ายังพลุ่งออกมาพร้อมกับทุกคำพูด
“นั่งก็ได้ครับ แต่คุณนายจะพูดเรื่องนั้นตรงนี้ได้ยังไง ช่วยคิดหน่อยเถิดครับเพราะนั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวของผมคนเดียว คุณคิดยังไงถึงจะเอาเรื่องส่วนตัวของผมมาพูดตรงนี้ มันไม่ทารุณจิตใจของผมไปหน่อยรึ...จำไม่ได้หรือครับว่าคืนนั้นผมพูดเอาไว้ว่ายังไง คุณนายจำคำพูดของผมคืนนั้นไม่ได้เลยหรือครับ”
ชายหนุ่มกำลังอยู่ในอารมณ์คลั่งจนไม่คำนึงอีกต่อไปว่า ณ ที่นั่นยังมีมินะโกะอยู่อีกคนที่ได้ยินได้ฟังทุกคำพูดของเขาด้วย
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว มินะโกะเองก็ทนไม่ได้อีกต่อไปกับการที่ต้องมานั่งคั่นกลางการสนทนาที่ขัดแย้งกันรุนแรงเช่นนั้น สาวน้อยรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนั้นว่า
“คุณแม่คะ ดิฉันอยากขอตัวไปเดินเล่นแถวนี้สักหน่อย จะกลับมาเมื่อกะว่าเรื่องที่พูดกันคงจบแล้ว”
มินะโกะพูดซื่อ ๆ ตามนิสัยไม่ได้คิดว่าจะประชดประชันแต่อย่างใด ชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในสภาพเหมือนคนจวนจะจมน้ำแล้วพบฟางเส้นสุดท้าย รีบเห็นพ้องด้วยแทบไม่ทัน
“จริงด้วยครับ คุณนาย ถ้าคุณนายจะให้คำตอบเรื่องคืนนั้น ผมก็ต้องขอความกรุณาจากคุณมินะโกะ ขอโอกาสให้เราได้พูดกันสองคนเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของผม คุณนายครับ ถ้าเป็นคำตอบของเรื่องนั้นละก็ ผมอยากได้รับเมื่อมีผมอยู่เพียงคนเดียว”
รุริโกะด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังร้อนรุ่มรู้สึกเหมือนถูกรดราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
“ไม่ค่ะ เรื่องนี้ดิฉันอยากให้มินะโกะฟังด้วย คืนนั้นก็เหมือนกัน ถ้าฉันรู้ว่าเราจะพูดเรื่องนั้นกันละก็ดิฉันคงต้องให้มินะโกะมาร่วมฟังเป็นพยานด้วย เพราะคิดว่าเรื่องเช่นนั้นไม่ควรพูดกันตามลำพังสองคน ถ้าสังคมเอาไปลือกันคนที่เสียหายก็คือดิฉัน เรื่องเช่นนั้นดิฉันคิดว่าจะต้องจัดการให้เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจนโดยไม่มีอะไรตกค้างได้เป็นดีที่สุด มินะโกะ...หนูจะอยู่ฟังเรื่องนี้เป็นพยานให้คุณแม่ด้วยใช่ไหมคะ”
“คุณนาย...คุณ...คุณ...โธ่โว้ย”
ชายหนุ่มแผดเสียงลั่นราวกับคนเสียสติ ลุกขึ้นยืนกระทืบเท้าจนแผ่นดินแทบสะเทือน
4
รุริโกะพูดต่อด้วยกิริยาอันสงบนิ่ง มิใยว่าคู่สนทนาจะตกอยู่ในอารมณ์บ้าคลั่งเพียงใด
“มินะโกะ คุณแม่ไม่ได้บอกหนูว่าเมื่อคืนวานซืนนี้ คุณแม่ได้รับคำขอแต่งงานจากคุณอะโอะกิอย่างกระทันหันโดยที่คุณแม่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน และจะให้คำตอบแก่เขาว่าจะรับหรือปฏิเสธคำขอนั้นตามที่ได้สัญญาไว้ในคืนนี้ บอกตรง ๆ ว่าคุณแม่ลำบากใจมากที่ได้รับคำขอแต่งงานตรง ๆ อย่างนั้น และคิดว่าอย่างน้อยตอนให้คำตอบมีหนูอยู่เป็นพยานด้วยสักคนก็ยังดี”
มินะโกะตกอยู่ในฐานะที่พูดไม่ออกตอบไม่ถูก สาวน้อยพอจะจับนัยจากคำพูดนั้นได้ว่ารุริโกะรู้ว่าเธอได้ยินได้ฟังความลับของตนกับชายหนุ่ม และคงเห็นตอนที่เธอวิ่งหนีกลับเข้าโรงแรมด้วยเป็นแน่ แล้วอย่างนี้จะให้เธอตอบว่าอย่างไร ในเมื่อแม่เลี้ยงผู้ฉลาดแหลมคมอ่านใจเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วเช่นนั้น
ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ดวงตาเท่านั้นที่แวววาวเป็นประกายจัดจ้าอยู่ในความมืดสลัว
“เอาละค่ะ คุณอะโอะกิ สงบอารมณ์แล้วฟังให้ดี ๆ ดิฉันคิดทบทวนคำขอของคุณหลายครั้ง คิดอย่างถี่ถ้วนด้วยความจริงแล้วทุกครั้ง แต่ก็ต้องเสียใจมากที่ต้องบอกว่าดิฉันไม่อาจทำตามคำขอของคุณได้”
คำพูดของรุริโกะพุ่งเข้าเป้าราวกับปฏักของนักสู้วัวที่พุ่งตรงเสียบจุดสังหารปลิดชีวิตวัวกระทิงลงในพริบตา ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มโงนเงนเซไปข้างหลัง เขายกสองมือขึ้นกุมศีรษะบิดตัวไปมาพร้อมกับครางอยู่ในลำคอ ไม่ใช่ทั้งเสียงอุทานและไม่ใช่ทั้งเสียงพึมพำคำสบถ
มินะโกะแทบจะทนดูอยู่ไม่ได้ นี่ถ้าไม่มีแม่เลี้ยงอยู่ข้าง ๆ สาวน้อยคงวิ่งเข้าไปประคองร่างสูงสง่าของชายหนุ่มและปลอบโยนเขาให้สมใจ ชายหนุ่มดิ้นรนอยู่ในห้วงแห่งความปวดร้าวอยู่สองสามนาทีก่อนที่จะคืบคลานกลับขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยความลำบากยากเย็น
ความเจ็บช้ำระคนอับอายที่ถูกรุริโกะปฏิเสธเกลื่อนอยู่บนทุกส่วนของใบหน้า ดวงตาทั้งสองแดงระเรื่อ รอยย่นลึกที่ปลายหางตาบ่งบอกความปวดร้าวใจของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“สำหรับผม คำพูดของคุณนายไม่ใช่คำปฏิเสธแต่มันเป็นคำหยามน้ำหน้าให้ผมได้อาย คุณนายเอาคำขอจากใจจริงที่ผมสู้อุตส่าห์ถนุถนอมมามอบให้ มาพูด...มาพูดเหมือนประจานผมต่อหน้าคุณหนูมินะโกะอย่างนี้ มันเหมือนแกล้งให้ผมอับอาย ใช่คุณหนูมินะโกะเป็นลูกสาวคุณนาย เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่สำหรับผมคุณหนูเป็นคนอื่น ผมอายครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยถูกหยามน้ำหน้าให้ได้อายเหมือนครั้งนี้”
ยิ่งพูดก็ยิ่งแค้น ยิ่งโกรธ ชายหนุ่มเค้นคำพูดออกมาสุดแรงแทบจะกระอักเป็นเลือด กำหมัดแผดเสียงเกรี้ยวกราดราวกับเสียสติ พ่นคำผรุสวาทอย่างลืมความเป็นผู้ดีเก่าเง่าผู้ดีที่เคยสงวนท่าทีเอาไว้
“คุณนาย...ผมพูดได้เต็มปากเดี๋ยวนี้เลยว่าคุณคือนางโลม คุณคือหญิงงามเมือง ผมผิดเองที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมด้วยเพราะคิดว่าเป็นผู้ลากมากดี ผมผิดเองที่เชื่อว่าคำที่คุณนายบอกรักผมนั้นเป็นความจริง ผมคิดผิดหมดทุกอย่าง ผมรักคุณนายด้วยใจจริงและคิดว่าคุณนายก็รักผมด้วยใจบริสุทธิ์เช่นกัน ผมมีความสุขครับ...มีความสุขมาก คุณนายครับ...คุณใช้มารยาร้อยแปดใช้คำหวานไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคำเย้ายวนให้ผมหลงรัก หลงเชื่อจนตัดสินใจขอแต่งงาน แล้วยังไง...คุณนายปฏิเสธผม ตลบหลังผมอย่างเลือดเย็น เท่านั้นไม่พอ...ยังหยามน้ำหน้าผมให้ต้องอับอาย หยามเกียรติศักดิ์ความเป็นลูกผู้ชายของผมอย่างที่สุด จำเอาไว้...จำเอาไว้นะคุณนาย แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
รุริโกะปล่อยให้ชายหนุ่มก่นคำผรุสวาทระบายความคั่งแค้นยืดยาวโดยไม่คิดที่จะโต้แย้ง จนกระทั่งสิ้นเสียงเธอจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“คุณอะโอะกิ คุณไม่ต้องโกรธถึงขนาดนั้นหรอก ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าที่คุณพูดคล้ายกับว่าความรักของดิฉันที่มีต่อคุณเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดนั้นน่ะ มันออกจะเป็นการปรักปรำดิฉันมากไป เพราะดิฉันรักคุณจริง แต่ไม่ใช่ความรักเฉกเช่นภรรยารักสามี มันเป็นความรักของพี่สาวที่พึงมีต่อน้องชาย เมื่อวานนี้ดิฉันนั่งคิดทั้งวันจนในที่สุดก็เข้าใจชัดเจนเช่นนั้น ดิฉันคิดอยากมีน้องชายอย่างคุณสักคน แต่ไม่เคยคิดฝันที่จะมีคุณเป็นสามี ดิฉันอยากคบกับคุณด้วยความสนิทสนมที่สุดรองจากสามีที่ล่วงลับ ต่อไปอีกนานเท่านาน มินะโกะคงเข้าใจความรู้สึกของคุณแม่นะคะ”
รุริโกะหันไปถามมินะโกะอย่างแฝงนัยความหมายบางอย่าง มินะโกะรู้สึกเหมือนมีลำแสงสว่างวาบแวบเข้ามากลางความมืด สาวน้อยเพิ่งเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของแม่เลี้ยงในค่ำคืนนี้เอง