รัฐบาลญี่ปุ่นเร่งรวบรวมข้อมูลเพื่อสานสัมพันธ์กับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ โดย นายกฯ ชินโซ อะเบะ จะเดินทางไปพบกับนายทรัมป์ที่นครนิวยอร์กในสัปดาห์หน้า
รัฐบาลญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาวะอลหม่านหลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากญี่ปุ่นคาดการณ์มาตลอดว่า นางฮิลลารี คลินตัน จะชนะเลือกตั้ง และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจะดำเนินต่อเนื่องราบรื่น
กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น มีข้อมูลเกี่ยวกับนายทรัมป์ค่อนข้างน้อย และแทบไม่มีสายสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิดกับเขาเลยเมื่อเทียบกับนางฮิลลารีที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี นี่ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลว่าจะติดต่อกับผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯแบบใด ยิ่งเมื่อบุคลิกของนายทรัมป์ที่แทบจะ “จับทางไม่ถูก” ด้วยแล้วยิ่งทำให้คาดเดาแนวนโยบายของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯได้ยากยิ่ง
สื่อมวลชนญี่ปุ่นระบุว่า นายกฯชินโซ อะเบะ คาดการณ์ได้ไม่กี่วันล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งว่านายทรัมป์อาจชนะเลือกตั้ง เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจน ผู้นำญี่ปุ่นจึงไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจ และกล่าวเพียงว่า “ตอนนี้ผู้คนอาจต้องการนักการเมืองโผงผางพูดจริงทำจริง”
“อะเบะ” บินด่วนพบ “ทรัมป์” ตัวต่อตัว
นายกรัฐมนตรี ชินโซ อะเบะ ได้สนทนากับนายทรัมป์ทางโทรศัพท์เป็นเวลาราว 20 นาทีในวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน ทั้งคู่จะตกลงกันว่าจะมีการพบหารือในวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ก่อนที่นายอะเบะจะไปร่วมการประชุมสุดยอดเอเปกที่เปรู
ผู้นำญี่ปุ่นไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายทรัมป์เคยระบุว่าจะให้ญี่ปุ่นแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดของฐานทัพสหรัฐฯในญี่ปุ่น หรือเรื่องที่จะยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรี ผู้นำญี่ปุ่น กล่าวเพียงว่า พันธมิตรที่แข็งแกร่งระหว่างญี่ปุ่น กับสหรัฐฯ เป็นสิ่งจำเป็นต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก
การพบปะแบบส่วนตัวระหว่างนายอะเบะ กับ นายทรัมป์ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการเร่งสานสัมพันธ์กับผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ นายทรัมป์ ยังไม่ได้สาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยในเวทีการทูตของญี่ปุ่น
รีพับลิกันยึดสภาคองเกรส ส่งทรัมป์เป็น “ซูเปอร์ประธานาธิบดี”
กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลญี่ปุ่นเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องสานสัมพันธ์กับว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเร็วที่สุด เพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาของสหรัฐฯ ทำให้ทรัมป์สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ได้อย่างสะดวก ไม่ติดขัดเหมือนเช่นประธานาธิบดีคนก่อนๆ
ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นควรกังวลไม่ใช่เรื่องฐานทัพสหรัฐฯหรือประเด็นความมั่นคง แต่เป็นจุดยืนของนายทรัมป์ที่มีแนวคิดปกป้องการค้า
ทรัมป์เคยประกาศว่า จะขึ้นภาษีร้อยละ 45 กับสินค้าที่นำเข้าจากจีน และเม็กซิโก ซึ่งบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นจำนวนมากผลิตรถในเม็กซิโกและประเทศในลาตินอเมริกาอื่นๆ และส่งออกไปยังตลาดในทวีปอเมริกาเหนือ การเปลี่ยนนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อยุทธศาสตร์ทางธุรกิจในระดับโลกของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ ได้เสนอที่จะเพิ่มเงินงบประมาณกลางของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นจำนวนเงิน 5.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯตลอดระยะเวลา 10 ปี ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นมองว่า หากการเพิ่มงบประมาณนี้เป็นการลงทุนด้านสาธารณูปโภคในสหรัฐฯแล้ว อาจเป็นโอกาสทางธุรกิจให้ญี่ปุ่นส่งออกเทคโนโลยีได้ ดังนั้น รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์จึงมีทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับการขยายธุรกิจของญี่ปุ่น.