รัฐบาลและประชาชนชาวญี่ปุ่นมีท่าทีสนับสนุน นางฮิลลารี คลินตัน ให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป เพราะกลัวท่าทีมุทะลุของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกระทบความเป็นพันธมิตรระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
ถึงแม้ในญี่ปุ่นจะมีทั้งผู้ที่ชอบและชังสหรัฐอเมริกา แต่ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งนี้ ทั้งรัฐบาล, สื่อมวลชน และประชาชนชาวญี่ปุ่นต่างค่อนข้างเทใจสนับสนุน นางฮิลลารี คลินตัน อย่างชัดเจน เนื่องจากความเป็น “นักเลงปากเปราะ” ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นทั้งกลุ่มอนุรักษ์ และกลุ่มเสรีนิยมต่างหวั่นใจหากเขาได้เป็นผู้นำสูงสุดของอเมริกา
นายทรัมป์เคยประกาศให้ชาวสหรัฐฯเลิกใช้รถยนต์ญี่ปุ่น และบอกว่า รัฐบาลญี่ปุ่นควรจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจากการที่สหรัฐฯช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้ญี่ปุ่น รวมทั้งยังเคยกล่าวด้วยว่า ญี่ปุ่นควรมีขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้ เพื่อรับมือกับเกาหลีเหนือ สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวญี่ปุ่นรับไม่ได้
สหรัฐฯมีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรหลักในเอเชีย และพึ่งพากองกำลังสหรัฐฯในการปกป้องประเทศ นโยบายทั้งด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเดินตามสหรัฐฯมาตลอด
ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นวิเคราะห์การเลือกตั้งสหรัฐฯผ่านสถานีโทรทัศน์ NHK ว่า ถ้านายทรัมป์ได้รับชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบไม่น้อยต่อญี่ปุ่น เพราะนายทรัมป์เคยกล่าวว่าสนธิสัญญาความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯนั้น เป็นสนธิสัญญาข้างเดียว และญี่ปุ่นควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการให้กองกำลังสหรัฐฯในญี่ปุ่น เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของญี่ปุ่นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเผชิญกับภัยคุมคามมากขึ้นจากกิจกรรมทางทะเลของจีน และโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ระบุว่า นายทรัมป์เรียกคะแนนเสียงจากชาวอเมริกัน โดยอาศัยความสิ้นหวังและความโกรธของบรรดาคนจนในสหรัฐฯที่ “ความฝันแบบอเมริกัน” ตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้คนพากันมองอนาคตในแง่ลบกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อาศัยในพื้นที่ชนบทของสหรัฐฯ เช่น บริเวณตอนใต้ของรัฐโอไฮโอ ซึ่งมีคนไม่มีงานทำเป็นจำนวนมาก
คนเหล่านี้รู้สึกสิ้นหวังและเชื่อในคำกล่าวของนายทรัมป์ที่กล่าวโทษว่าความยากลำบากของคนเหล่านี้เป็นเพราะประเทศอื่น หรือเป็นเพราะ “สถาบันหลักทรงอำนาจ” ซึ่งหมายถึงนางคลินตันและบรรดานักการเมืองคนอื่นๆ
แย่พอกัน แต่เลือก “ฮิลลารี” อุ่นใจกว่า
สื่อมวลชนญี่ปุ่น ซึ่งโดยปกติแล้วจะแบ่งค่ายอนุรักษนิยม และเสรีนิยม อย่างชัดเจน แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กลับมีจุดยืนหนุนนางฮิลลารีแทบทุกค่าย และวาดภาพให้นายทรัมป์ เป็น “เศรษฐีผู้บ้าระห่ำ”
สื่อญี่ปุ่นระบุว่า นางฮิลลารี พัวพันกรณีคอร์รับชันหลายเรื่องและยังมีมุมมืดมากมาย แต่ก็ยังดีกว่านายทรัมป์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นก็ค่อนข้างอุ่นใจหากนางฮิลลารีได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ เนื่องจากคุ้นเคยและมีข้อมูลเกี่ยวกับเธอมากกว่านายทรัมป์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความมั่นคงที่แตกต่างกันสุดขั้วระหว่างนางฮิลลารี และนายทรัมป์ ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นประเมินว่า หากนางฮิลลารีได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะง่ายในการติดต่อและเป็นผลดีต่อญี่ปุ่นมากกว่า
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ได้สั่งให้รวบรวมข้อมูลและจับตาท่าทีของนายทรัมป์อย่างจริงจัง เพื่อเตรียมรับมือหากนายทรัมป์ได้เป็นผู้นำสหรัฐฯขึ้นมาจริงๆ
ญี่ปุ่นที่ไม่เป็น “เบี้ยล่าง” สหรัฐฯ
สื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่ง ระบุว่า ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีก็ตาม นโยบายของสหรัฐฯโดยพื้นฐานก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีแรงกดดันหลากหลายจากในรัฐสภาสหรัฐและจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
หากแต่แนวโน้มที่ชัดเจนตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดี โอบามา คือ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าควรสนใจเรื่องปากท้องตัวเอง มากกว่าจะไปยุ่มย่ามกับเรื่องนอกบ้าน ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยจึงเห็นว่า ญี่ปุ่นควรใช้โอกาสนี้กำหนดนโยบายที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ ทั้งโดยการผูกมิตรกับเพื่อนบ้านอย่างเกาหลี, จีน และชาติอาเซียน รวมทั้งเสริมสร้างบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเองให้รับมือภัยคุกคามได้กว้างขวางยิ่งขึ้น