จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
5
ชินจูโร ยูกิ หัวเราะ
“ขอบใจคุณจ่ามากที่ช่วยไปโน่นมานี่ช่วยเป็นธุระแทนผมและได้เรื่องราวถูกต้องตรงจุดอย่างไม่มีใคร ก็เพราะคุณจ่าเป็นเรี่ยวเป็นแรงให้อย่างนี้ผมถึงได้เล่นหมากรุกฝรั่งสนุกอยู่อย่างนี้ ถึงผมออกไปเดินสืบเองก็คิดว่าคงไม่ได้เรื่องมากไปกว่านี้ เอาละคุณจ่า เราไปกันเถอะ”โทระโนะซุเกะยิ้มจนแก้มแทบปริด้วยความยินดี
“โอ๊ะ จะไปไหนกันนั่น”
“ไปบ้านท่านคะโนน่ะซี”
“เอ๊ะ มีธุระอะไรรึถึงจะไปที่นั่น” คราวนี้โทระโนะซุเกะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ต้องปล่อยก้ากออกมา
“ก็คุณอิซุมิยะมะรู้ตัวฆาตกรแล้วไม่ใช่รึ น่าอายที่ผมช้าไปหน่อย แต่นี่ก็กำลังจะออกไปชี้ตัวคนร้ายละ”
ยิ่งได้ยินชินจูโรกล่าวเป็นเชิงชมเชย นักดาบร่างใหญ่ก็ยิ่งดีใจใหญ่ หัวเราะไม่หยุด
ชินจูโรหันไปสั่งเสมียนหนุ่มของเขาว่า
“อังโงะเอ็งไปพาคุณหมอคะซะมะกิมาที่บ้านท่านคะโนเดี๋ยวนี้เลยนะ คุณหมอคงกำลังรออยู่แล้วละ”

ว่าแล้วก็เดินนำสาวกทั้งสามไปยังบ้านนายโกะเฮ คะโนเหยื่อผู้ถูกสังหารโหด พอไปถึงก็พบเซเง็น ฮะยะมิ ซึ่งวันนี้ดูภูมิฐานอยู่ในเครื่องแบบผู้ว่าการตำรวจพาลูกน้องมาคอยชินจูโรอยู่อย่างกระวนกระวาย และพอเห็นตัวนักสืบหนุ่มสำอางก็ตรงรี่เข้าไปจับมือเขย่าด้วยความยินดี
“ผมไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้อีกแล้วนอกจากคุณ ถ้าจับตัวฆาตกรไม่ได้รัฐบาลจะต้องล่มสลายเป็นแน่ ประชาชนทั่วประเทศจะต้องจิตใจหวั่นไหว ผมเป็นทุกข์จนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมาตกที่นั่งต้องมารับผิดชอบเรื่องร้ายกาจขนาดนี้ รู้ตัวคนร้ายหรือยังครับ”
“ผมคิดว่าเราน่าจะพบหลักฐานว่าคนร้ายอาจอยู่ในคฤหาสน์นี้ด้วยนะครับ”
“เยี่ยม”
นายตำรวจใหญ่อุทานออกมาด้วยความลิงโลด ชินจูโรเดินตรงเข้าไปในครัว เรียกโอะคินุมาหาแล้วบอกให้ไปหยิบโถใส่บ๊วยดองที่เขาเห็นเมื่อวานออกมา นักสืบหนุ่มรูปงามเปิดฝาโถดูทำหน้าพอใจแล้วปิดลงตามเดิม
“ใครหยิบจับโถใบนี้”
“ไม่มีใครแตะต้องหรอกเจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีใครหยิบจับแน่นะ”
“ไม่มีแน่นอนเจ้าค่ะ ตู้เก็บโถใบนี้เป็นตู้ส่วนตัวของท่าน วันนี้ไม่น่ามีใครมาแตะต้องตู้ใบนี้นะเจ้าคะ”
“จริงรึ แต่มีคน ๆ หนึ่งหยิบจับโถนี้นะ เมื่อวานในโถมีบ๊วยเหลืออยู่ 6 ลูก แต่วันนี้มี 8 ลูกนะ”
โอะคินุตกใจหน้าซีด จนชินจูโรต้องปลอบว่า
“จะต้องตกใจไปทำไม ฉันไม่ได้ว่าเป็นความผิดของหล่อนสักหน่อย แต่ว่าโถใหญ่ที่เก็บลูกบ๊วยทั้งหมดน่ะอยู่ที่ไหน”
“ของ ๆ ท่านทั้งหมดอยู่ในตู้ใบเดียวกันนั่นแหละเจ้าค่ะ”
เมื่อเปิดตู้ออกดูชินจูโรก็พบว่าที่ชั้นล่างสุดมีโถใบใหญ่สำหรับเก็บบ๊วยดองวางเรียงกันอยู่ถึง 4 โถ
“เอาละ หล่อนช่วยพาเราไปพบคุณหนูทีเถอะ”
โอะคินุเดินนำคนทั้งหมดไปที่ห้องของโอะริเอะ นักสืบหนุ่มโค้งคำนับอย่างเป็นพิธีรีตรอง
“ขอโทษนะครับที่ต้องขอให้ช่วยทวนความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนวานนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องร้ายกาจเหลือเกิน คืออยากถามว่าทำไมคุณหนูถึงลงไปในงานช้าล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรที่พอจะเรียกว่าเหตุผลได้หรอกค่ะ แค่ยังไม่อยากลงไปเท่านั้นเอง ถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะลงไปเสียด้วยซ้ำ”
“แล้วไม่มีใครขึ้นมาเตือนว่าถึงเวลาแล้ว หรือไม่มีใครขึ้นมารับเลยหรือครับ”
“ไม่มีค่ะ ฉันเป็นคนคิดเองว่าจะลงไปเมื่อไร ถึงจะมีใครขึ้นมารับฉันก็ไม่ไปด้วยหรอก”
บรรยากาศของงานเต้นรำในวงสังคมชั้นสูงสมัยเมจิ ที่โระคุเมคัน
โทระโนะซุเกะขัดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า
“พูดปดยังไงก็ไม่มีใครเชื่อหรอก ตอนนั้นต้องมีคนพาคุณหนูเข้าไปในห้องจัดงานแน่เลย มองตาผมซี มองให้ดี ๆ”
ชินจูโรกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่และกำลังจะเอื้อมมือไปฉุดชายร่างใหญ่เข้ามาก็ปรากฏว่าไม่ทันเสียแล้ว โทระโนะซุเกะแผดเสียงลั่นแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ หกคะเมนลงไปดิ้นเร่า ๆ อยู่บนพื้นเสียแล้ว ก็เพราะโดนคุณหนูเอาขนนกยูงที่เธอฉวยจาก
โต๊ะข้างหลังขึ้นมากำไว้มั่นในมือแทงเข้าไปในลูกตา นักสืบหนุ่มเข้าไปประคองผู้เคราะห์ร้ายให้ลุกขึ้นแล้วบอกว่า
“ไม่มีใครสั่งให้คุณหนูทำอะไรหรอก คือที่คุณหนูเป็นลมไปตอนนั้นน่ะมันเป็นเรื่องบังเอิญ ถึงคุณหนูจะไม่เป็นลมล้มลงไป ท่านคะโนก็ต้องสิ้นชีวิตอยู่ดี จะเรียกว่าเป็นชะตากรรมก็คงได้ ตรงนี้แหละครับที่เป็นจุดใหญ่ใจความของคดีนี้ ผมมั่นใจอย่างนั้นมาตั้งแต่เมื่อคืน ขอบคุณคุณหนูมากครับที่กรุณาให้ความร่วมมือ เราจะจับตัวฆาตรกรได้ในไม่ช้านี้แหละครับ”
“เมื่อไรคะ”
“คงจะภายในประมาณครึ่งชั่วโมงนี้ ผมคิดว่าคุณหนูน่าจะรู้ชื่อฆาตกรนะครับ”
โอะริเอะพยักหน้าทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด
โทระโนะซุเกะเหล่ตาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นภาพหญิงสาวสดสวยกับหนุ่มรูปงามแสดงความสนิทชิดเชื้อจากการที่มีใจโน้มน้าวเขาหากัน
“ไม่ได้การละมังคุณยูกิ ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าฤิทธิ์พิศวาทอีกแล้ว ขนาดคนฉลาดหลักแหลมอย่างคุณยังหวั่นไหว ไม่เพียงแต่ดวงตาแห่งสมองจะพร่ามัวไปเท่านั้น แต่นี่คุณคล้อยตามกลลวงของฆาตกรตัวจริงอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว รู้ตัวหรือเปล่าน่ะ”
ชินจูโรแก้คำกล่าวหาของโทระโนะซุเกะว่า
“ไม่เลยครับ ตั้งแต่ได้พบกับคุณหนูแสนสวยคนนี้ ดวงตาแห่งสมองของผมสว่างใสขึ้นกว่าเดิมมากเหลือเกิน”
แต่พอกล่าวยิ้ม ๆ ออกไปอย่างนั้นนักสืบรูปงามก็รู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา ส่วนโอะริเอะที่เฝ้ามองอยู่ก็พลอยหน้าแดงเรื่อไปด้วย ยังไม่ทันจะคิดอะไรกันต่อไปคนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าคุณหมอคะซะมากิมาแล้ว ชินจูโรมีท่าทางตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“เอาละครับ ได้เวลาคลี่คลานปริศนาลึกลับกันเสียที เชิญคุณหนูลงไปที่ห้องโถงข้างล่างด้วยกันนะครับ”
ทั้งหมดเดินตามกันลงไปที่ห้องโถงซึ่งใช้เป็นที่ไว้ศพโกะเฮ คะโน มีคนมาชุมนุมกันอยู่มากหน้าหลายตา ทั้งญาติสนิทมิตรสหายและคนที่เคยเกื้อกูลและได้รับการเกื้อกูลจากผู้ตาย ชินจูโรทักทายทำความเคารพคุณหมอคะซะมะกิแล้วบอกว่า
“กระผมอยากขอความกรุณาคุณหมอช่วยตรวจศพคุณคะโนให้หน่อยเถิดขอรับ”
คุณหมอคะซะมะกิท่านนี้เป็นนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการแพทย์แผนตะวันตก เคยเดินทางไปค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ที่ยุโรปมาแล้ว
แต่ชินจูโรพอเอื้อมมือไปที่ฝาโลง
“อะไรกันรึขอรับ นี่เรากำลังจะตอกตะปูปิดฝาโลงกันอยู่แล้ว”
ทนายหน้าหอก้าวออกมาบอกว่า
“เหตุการณ์นี้แตกต่างจากกรณีอื่น ๆ เพราะเป็นการตายในลักษณะที่ผิดปกติ คุณนายไม่ประสงค์ที่จะเปิดหน้าท่านให้ใครดูตามธรรมเนียม เพราะจะเป็นการลบหลู่ผู้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเช้านี้จึงเปิดให้แต่ญาติสนิทจริง ๆ เข้ามาอำลา พอเสร็จแล้วก็ให้ปิดฝาโลงเลยขอรับ”
“เราจำเป็นต้องให้คุณหมอคะซะมะกิตรวจศพก่อน จึงอยากขออนุญาตคุณนายเปิดฝาโลง และอยากให้คุณนายมาเป็นพยานการตรวจของคุณหมอด้วย”
ทนายหน้าหอขึ้นไปที่ห้องพักของอะสึโกะแล้วพาตัวนางลงมา ท่าทางของอะสึโกะดูออกจะอ่อนเพลียและเศร้าโศกอยู่ไม่น้อย ชินจูโรเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจว่า
“ผมขออนุญาตเปิดฝาโลงศพของท่านนะขอรับ”
“เชิญค่ะ”
คนงานถอนตะปูที่ตอกไว้ครึ่ง ๆ แล้วเปิดฝาโลงออก คุณหมอคะซะมะกิเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ใส่ไว้ในนั้นรวมทั้งเสื้อผ้าของผู้ตายออกจนหมด แล้วจึงตรวจตา บาดแผล อย่างละเอียดจนแล้วเสร็จ และหันมาบอกชินจูโรว่า
“ฉันตรวจละเอียดแล้ววินิจฉัยได้ว่าท่านคะโนเสียชีวิตเพราะถูกวางยาพิษแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร และที่แน่ ๆ คือไม่ได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกคมมีด”
“ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าที่ท่านคะโนเอามือกุมหน้าอกซวนเซไปข้างหน้าน่ะไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทง แต่เป็นเพราะยาพิษออกฤทธิ์อย่างนั้นหรือขอรับ”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละนะคุณ คนเราเมื่อถูกแทงเข้าที่สีข้างจะต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหรือไม่ก็เหลียวหน้าไปดูคนที่ทำร้ายเขา หรือไม่ก็มีปฏิกิริยาอื่น ๆ ไม่ใช่กุมอกแล้วซวนเซไปข้างหน้าอย่างนั้น”
“ขอบพระคุณคุณหมอมากขอรับ ดูเหมือนว่ารูปคดีจะกระจ่างชัดขึ้นมาทั้งหมดแล้วด้วยความกรุณาของคุณหมอ กระผมแน่ใจมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า ฆาตกรจะต้องใช้วิธีบิดเบือนสาเหตุการตายเพราะถูกวางยาพิษไปเป็นการถูกแทงตายด้วยมีดสั้น เพราะถ้าถูกจับได้ว่าเป็นการฆ่าด้วยยาพิษ ความก็จะแตกเอาง่าย ๆ ว่าฆาตกรตัวจริงนั้นอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เอง ดูเหมือนหลายท่านจะคิดว่าคุณหนูโอะริเอะเป็นลมล้มลงไปตามที่ใครคนหนึ่งวางแผนกำหนดเวลาไว้อย่างตรงเผงเพื่อใช้เป็นสัญญาณให้ฆาตกรลงมือสังหาร แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครับ วินาทีที่คุณหนูโอะริเอะเป็นลมล้มลงไปนั้นมันไปตรงกับวินาทีที่ฆาตกรพุ่งมีดเข้าเป้าสังหารโดยบังเอิญต่างหาก ครับ แผนกำหนดเวลาอย่างตรงเผงของใครคนหนึ่งไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่มันอยู่ที่การพยายามใช้กลอุบายดึงท่านคะโนเอาไว้ให้เข้างานช้าเท่าที่จะทำได้ ท่านคะโนถูกสมุนรับใช้ของคนที่ตายเป็นผีไปนานแล้วมาล่อให้ออกไปที่ร้านยูสึกิแห่งคะระซุโมะริ คนที่วางแผนเช่นนี้จะต้องเป็นคนที่รู้นิสัยและสิ่งที่ท่านคะโนทำจนติดเป็นนิสัยดีมาก อย่างเช่นก่อนไปงานเลี้ยงที่สำคัญท่านจะต้องกินข้าวไปก่อนทุกครั้ง และเวลารีบมาก ๆ ท่านจะใช้เวลาแค่สองสามนาทีพุ้ยข้าวซาวน้ำชากับบ๊วยดองเข้าปากก่อนไป ทำไมหรือครับ...ก็เพราะฆาตกรจำเป็นต้องทำให้ท่านคะโนต้องรีบกินบ๊วยดองที่เขาใส่ยาพิษเอาไว้นั่นเองครับ”
โทระโนะซุเกะทำเสียงครืดคราดในลำคออย่างไม่สบอารมณ์
“มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ฆาตกรถือโอกาสตอนที่ใคร ๆ หันมามองคุณหนูเป็นลมล้มลงไป ปามีดมาเสียบสีข้างท่านคะโนต่างหาก ถ้าไม่ใช้โอกาสนั้นแล้วจะปามีดได้เมื่อไรล่ะครับ”
นักสืบหนุ่มรูปงามยิ้ม
“มีดสั้นไม่ได้ถูกปามาหรอกครับ ฆาตกรรู้ดีว่าอีกไม่นานยาพิษจะออกฤทธิ์แล้วท่านคะโนก็จะซวนเซล้มลง เขาจึงเฝ้าคอยโอกาสนั้นโดยการเดินตามไปรอบ ๆ งาน พอยาพิษออกฤทธิ์และท่านคะโนซวนเซจะล้มลงไปเขาก็กระโดดเข้าไปประคองทำให้ใคร ๆ เห็นว่าช่วยไม่ให้ท่านล้มลงไป และในจังหวะนั้นเองที่เขาใช้มีดสั้นแทงเข้าที่สีข้างท่านคะโน ฆาตกรซ่อนมีดสั้นไว้ในขลุ่ยของพระธุดงค์ครับ”
มีเสียงอุทานดังขึ้นโดยรอบ ทุกคนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกัน ฮะนะโนะยะกับจ่าชิกะโซปราดเข้าไปจับตัวนายทะโดะโคะโระเอาไว้ได้ทันท่วงที อิงงะ ฮะนะโนะยะซึ่งบางคนมองว่าเป็นนักสืบบ้านนอกสมัครเล่น ไม่รู้ขนบประเพณีว่าอย่างไหนเป็นพุทธหรือชินโตนั้น เดิมเคยเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลาดตระเวนที่มุทะลุดุดันและมีฝีมือดาบเป็นที่เลื่องลือกันตั้งแต่ย่านโทะบะฟุชิมิไปจนถึงวัดคังเอจิที่อุเอะโนะ ฮะนะโนะยะล็อกตัวทะโดะโคะโระเอาไว้แน่นด้วยท่าทางภาคภูมิและยินดีปรีดาเป็นที่สุดราวกับว่านั่นเป็นผลงานการวินิจฉัยรูปคดีของตน ส่วนทะโดะโคะโระที่ถูกรวบแขนสองข้างไว้ข้างหลังหลับตาลงเหมือนคนที่ปลงตกในชะตากรรมของตนเอง ชินจูโรคอยให้ความเอะอะโกลาหลรอบ ๆ ตัวสงบลงบ้างแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า
“ฆาตกรรายนี้วางแผนแยบยลมากครับ คืนนั้นคน ๆ นี้รู้เกือบทั้งหมดว่าใครแต่งแฟนซุชุดอะไร รู้ว่าคุณมะซะฮิโกะจะแต่งเป็นพระธุดงค์หรือบางทีฆาตกรคนนี้เองอาจเป็นคนแนะนำให้คุณคันดะแต่งเป็นพระธุดงค์ก็ได้ จุดสำคัญของแผนนี้คือต้องให้มีคนตามติดท่านโกะเฮจนกว่ายาพิษจะออกฤทธิ์แล้วพลางตาให้เห็นเป็นว่าถูกแทงตายด้วยมีดสั้น ฆาตกรจึงให้คุณทะโดะโคะโระแต่งชุดพระธุดงค์อีกคนหนึ่ง สวมหมวกหลุบหน้าถือขลุ่ยซ่อนมีดสั้นทำหน้าที่เดินตามคุณโกะเฮไปรอบ ๆ งาน ส่วนตนเองเข้าไปใส่ยาพิษไว้ในลูกบ๊วย ก่อนงานเริ่มฆาตกรออกอุบายให้มีคนมาหลอกคุณโกะเฮไปที่ร้านยูสึกิแห่ง คะระซุโมะริครับ”
คนในห้องตกตะลึงมองหน้ากันและกัน ฮะนะโนะยะถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หมายความว่ามีฆาตกรตัวจริงอยู่อีกคนหนึ่งหรือครับ”
“จากการตรวจศพของคุณหมอ ดูเหมือนว่าท่านโกะเฮจะไม่ได้ตายเพราะถูกแทงด้วยมีดสั้น ดังนั้นฆาตกรตัวจริงคือคนที่วางยาพิษนะครับ เราไปที่ห้องของฆาตกรตัวจริงกันดีกว่า แต่ เอ๊ะ”
ชินจูโรทำท่าแปลกใจทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะสึโกะออกไปแล้ว และยังพอจะคาดเดาได้ลาง ๆ ด้วยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในสายตาของเขาผู้หญิงคนนี้ใจเด็ดราวกับเอาหญิงผู้เหี้ยมหาญในประวัติศาสตร์อย่างนางกะระชะแห่งตระกูลโฮะโซะคะวะ กับนางโอะฮยะกุแห่งดะสึกิทารวมกัน หากแผนสังหารโกะเฮ คะโนสำเร็จตามกลอุบายแยบยลที่นางวางไว้โดยไม่มีใครอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ มันทะโรลูกชายคนเดียวของตระกูลอาจถูกสังหารและอะสึโกะก็จะยกเรียวสึเกะลูกชายคนเดียวของนางที่ติดท้องมาเมื่อสมรสกับโกะเฮขึ้นครองสมบัติมหาศาลของตระกูลคะโน
เมื่อชินจูโรกับคณะขึ้นไปถึงห้องของอะสึโกะก็พบว่าประตูติดกุญแจ จึงต้องระดมคนมาช่วยกันทลายประตูเข้าไป ทุกคนตะลึงกับภาพตรงหน้า อะสึโกะแทงเรียวสึเกะลูกชายคนเดียวแล้วเชือดคอตนเองด้วยมีดพก**เล่มเดียวกันสิ้นชีวิตอย่างสงบสมศักดิ์แห่งการเป็นธิดานักรบ *

คะสึไคชูใช้มีดพกประจำตัวกรีดเค้นเลือดร้ายออกจากกายไปพลาง ฟังโทระโนะซุเกะรายงานเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
“อือม์ เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าไม่ไปดูที่เกิดเหตุด้วยตาตนเองจะไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นการฆาตกรรมวางยาพิษ เพราะถ้าตายด้วยยาพิษละก็มองแวบเดียวก็รู้ แล้วก็จะวินิจฉัยรูปคดีไปในแนวนั้น พ่อชินจูโรรูปหล่อช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร ไอ้กลอุบายที่ว่าต้องมีคนแต่งเป็นพระธุดงค์สองคนและซ่อนมีดสั้นไว้ในขลุ่ยนั่นน่ะ ฉันมองทะลุปรุโปร่งหมดตั้งแต่ได้ฟังตอนต้นของเรื่องนี้แล้ว”
โทระโนะซุเกะฟังแล้วรู้สึกเลื่อมใสในความมีดวงตาแห่งสมองอันแหลมคมและลึกล้ำของบุคคลอันเป็นที่เคารพนับถือของเขาคนนี้ยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ นักดาบร่างใหญ่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเมฆหมอกที่บดบังดวงตาแห่งสมองของเขาเองนั้นถูกชำระล้างไปจนหมดสิ้น
เรื่องราวของ ลีลาศฆาตกรรม ก็จบลงเพียงเท่านี้
-------
หมายเหตุ
*มีดพก “ไคเค็น” ที่อะสึโกะใช้ปลิดชีวิตตนเองและลูกชายอย่างสมศักดิ์ของธิดานักรบนี้ สมัยที่ดินแดนญี่ปุ่นยังแบ่งออกเป็นแว่นแคว้นและชิงอำนาจกันอยู่นั้น การสมรสระหว่างบุตรธิดาของเจ้าครองแคว้นเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่สำคัญ อันธิดานั้นแม้จะเป็นเจ้าสาวแต่สถานภาพไม่ต่างจากตัวประกัน ดังนั้นเมื่อถึงคราวออกเรือนบิดามารดาจึงมอบ “ไคเค็น” ให้ ธิดาพกติดตัวไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน บางกรณีที่การเมืองผันผวนอาจใช้สังหารสามีและบางกรณีใช้ปลิดชีวิตตนเองก่อนที่จะถูกสังหารอย่างไร้ศักดิ์ศรี ต่อมาเมื่อประเทศชาติเป็นปึกแผ่นไม่มีสงครามอีกต่อไป “ไคเค็น” จึงกลายเป็นอาวุธป้องกันตัวสตรี และเป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งของติดตัวเจ้าสาวในพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นสืบต่อมาจนทุกวันนี้
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
5
ชินจูโร ยูกิ หัวเราะ
“ขอบใจคุณจ่ามากที่ช่วยไปโน่นมานี่ช่วยเป็นธุระแทนผมและได้เรื่องราวถูกต้องตรงจุดอย่างไม่มีใคร ก็เพราะคุณจ่าเป็นเรี่ยวเป็นแรงให้อย่างนี้ผมถึงได้เล่นหมากรุกฝรั่งสนุกอยู่อย่างนี้ ถึงผมออกไปเดินสืบเองก็คิดว่าคงไม่ได้เรื่องมากไปกว่านี้ เอาละคุณจ่า เราไปกันเถอะ”โทระโนะซุเกะยิ้มจนแก้มแทบปริด้วยความยินดี
“โอ๊ะ จะไปไหนกันนั่น”
“ไปบ้านท่านคะโนน่ะซี”
“เอ๊ะ มีธุระอะไรรึถึงจะไปที่นั่น” คราวนี้โทระโนะซุเกะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ต้องปล่อยก้ากออกมา
“ก็คุณอิซุมิยะมะรู้ตัวฆาตกรแล้วไม่ใช่รึ น่าอายที่ผมช้าไปหน่อย แต่นี่ก็กำลังจะออกไปชี้ตัวคนร้ายละ”
ยิ่งได้ยินชินจูโรกล่าวเป็นเชิงชมเชย นักดาบร่างใหญ่ก็ยิ่งดีใจใหญ่ หัวเราะไม่หยุด
ชินจูโรหันไปสั่งเสมียนหนุ่มของเขาว่า
“อังโงะเอ็งไปพาคุณหมอคะซะมะกิมาที่บ้านท่านคะโนเดี๋ยวนี้เลยนะ คุณหมอคงกำลังรออยู่แล้วละ”
ว่าแล้วก็เดินนำสาวกทั้งสามไปยังบ้านนายโกะเฮ คะโนเหยื่อผู้ถูกสังหารโหด พอไปถึงก็พบเซเง็น ฮะยะมิ ซึ่งวันนี้ดูภูมิฐานอยู่ในเครื่องแบบผู้ว่าการตำรวจพาลูกน้องมาคอยชินจูโรอยู่อย่างกระวนกระวาย และพอเห็นตัวนักสืบหนุ่มสำอางก็ตรงรี่เข้าไปจับมือเขย่าด้วยความยินดี
“ผมไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้อีกแล้วนอกจากคุณ ถ้าจับตัวฆาตกรไม่ได้รัฐบาลจะต้องล่มสลายเป็นแน่ ประชาชนทั่วประเทศจะต้องจิตใจหวั่นไหว ผมเป็นทุกข์จนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมาตกที่นั่งต้องมารับผิดชอบเรื่องร้ายกาจขนาดนี้ รู้ตัวคนร้ายหรือยังครับ”
“ผมคิดว่าเราน่าจะพบหลักฐานว่าคนร้ายอาจอยู่ในคฤหาสน์นี้ด้วยนะครับ”
“เยี่ยม”
นายตำรวจใหญ่อุทานออกมาด้วยความลิงโลด ชินจูโรเดินตรงเข้าไปในครัว เรียกโอะคินุมาหาแล้วบอกให้ไปหยิบโถใส่บ๊วยดองที่เขาเห็นเมื่อวานออกมา นักสืบหนุ่มรูปงามเปิดฝาโถดูทำหน้าพอใจแล้วปิดลงตามเดิม
“ใครหยิบจับโถใบนี้”
“ไม่มีใครแตะต้องหรอกเจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีใครหยิบจับแน่นะ”
“ไม่มีแน่นอนเจ้าค่ะ ตู้เก็บโถใบนี้เป็นตู้ส่วนตัวของท่าน วันนี้ไม่น่ามีใครมาแตะต้องตู้ใบนี้นะเจ้าคะ”
“จริงรึ แต่มีคน ๆ หนึ่งหยิบจับโถนี้นะ เมื่อวานในโถมีบ๊วยเหลืออยู่ 6 ลูก แต่วันนี้มี 8 ลูกนะ”
โอะคินุตกใจหน้าซีด จนชินจูโรต้องปลอบว่า
“จะต้องตกใจไปทำไม ฉันไม่ได้ว่าเป็นความผิดของหล่อนสักหน่อย แต่ว่าโถใหญ่ที่เก็บลูกบ๊วยทั้งหมดน่ะอยู่ที่ไหน”
“ของ ๆ ท่านทั้งหมดอยู่ในตู้ใบเดียวกันนั่นแหละเจ้าค่ะ”
เมื่อเปิดตู้ออกดูชินจูโรก็พบว่าที่ชั้นล่างสุดมีโถใบใหญ่สำหรับเก็บบ๊วยดองวางเรียงกันอยู่ถึง 4 โถ
“เอาละ หล่อนช่วยพาเราไปพบคุณหนูทีเถอะ”
โอะคินุเดินนำคนทั้งหมดไปที่ห้องของโอะริเอะ นักสืบหนุ่มโค้งคำนับอย่างเป็นพิธีรีตรอง
“ขอโทษนะครับที่ต้องขอให้ช่วยทวนความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนวานนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องร้ายกาจเหลือเกิน คืออยากถามว่าทำไมคุณหนูถึงลงไปในงานช้าล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรที่พอจะเรียกว่าเหตุผลได้หรอกค่ะ แค่ยังไม่อยากลงไปเท่านั้นเอง ถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะลงไปเสียด้วยซ้ำ”
“แล้วไม่มีใครขึ้นมาเตือนว่าถึงเวลาแล้ว หรือไม่มีใครขึ้นมารับเลยหรือครับ”
“ไม่มีค่ะ ฉันเป็นคนคิดเองว่าจะลงไปเมื่อไร ถึงจะมีใครขึ้นมารับฉันก็ไม่ไปด้วยหรอก”
บรรยากาศของงานเต้นรำในวงสังคมชั้นสูงสมัยเมจิ ที่โระคุเมคัน
โทระโนะซุเกะขัดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า
“พูดปดยังไงก็ไม่มีใครเชื่อหรอก ตอนนั้นต้องมีคนพาคุณหนูเข้าไปในห้องจัดงานแน่เลย มองตาผมซี มองให้ดี ๆ”
ชินจูโรกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่และกำลังจะเอื้อมมือไปฉุดชายร่างใหญ่เข้ามาก็ปรากฏว่าไม่ทันเสียแล้ว โทระโนะซุเกะแผดเสียงลั่นแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ หกคะเมนลงไปดิ้นเร่า ๆ อยู่บนพื้นเสียแล้ว ก็เพราะโดนคุณหนูเอาขนนกยูงที่เธอฉวยจาก
โต๊ะข้างหลังขึ้นมากำไว้มั่นในมือแทงเข้าไปในลูกตา นักสืบหนุ่มเข้าไปประคองผู้เคราะห์ร้ายให้ลุกขึ้นแล้วบอกว่า
“ไม่มีใครสั่งให้คุณหนูทำอะไรหรอก คือที่คุณหนูเป็นลมไปตอนนั้นน่ะมันเป็นเรื่องบังเอิญ ถึงคุณหนูจะไม่เป็นลมล้มลงไป ท่านคะโนก็ต้องสิ้นชีวิตอยู่ดี จะเรียกว่าเป็นชะตากรรมก็คงได้ ตรงนี้แหละครับที่เป็นจุดใหญ่ใจความของคดีนี้ ผมมั่นใจอย่างนั้นมาตั้งแต่เมื่อคืน ขอบคุณคุณหนูมากครับที่กรุณาให้ความร่วมมือ เราจะจับตัวฆาตรกรได้ในไม่ช้านี้แหละครับ”
“เมื่อไรคะ”
“คงจะภายในประมาณครึ่งชั่วโมงนี้ ผมคิดว่าคุณหนูน่าจะรู้ชื่อฆาตกรนะครับ”
โอะริเอะพยักหน้าทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด
โทระโนะซุเกะเหล่ตาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นภาพหญิงสาวสดสวยกับหนุ่มรูปงามแสดงความสนิทชิดเชื้อจากการที่มีใจโน้มน้าวเขาหากัน
“ไม่ได้การละมังคุณยูกิ ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าฤิทธิ์พิศวาทอีกแล้ว ขนาดคนฉลาดหลักแหลมอย่างคุณยังหวั่นไหว ไม่เพียงแต่ดวงตาแห่งสมองจะพร่ามัวไปเท่านั้น แต่นี่คุณคล้อยตามกลลวงของฆาตกรตัวจริงอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว รู้ตัวหรือเปล่าน่ะ”
ชินจูโรแก้คำกล่าวหาของโทระโนะซุเกะว่า
“ไม่เลยครับ ตั้งแต่ได้พบกับคุณหนูแสนสวยคนนี้ ดวงตาแห่งสมองของผมสว่างใสขึ้นกว่าเดิมมากเหลือเกิน”
แต่พอกล่าวยิ้ม ๆ ออกไปอย่างนั้นนักสืบรูปงามก็รู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา ส่วนโอะริเอะที่เฝ้ามองอยู่ก็พลอยหน้าแดงเรื่อไปด้วย ยังไม่ทันจะคิดอะไรกันต่อไปคนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าคุณหมอคะซะมากิมาแล้ว ชินจูโรมีท่าทางตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“เอาละครับ ได้เวลาคลี่คลานปริศนาลึกลับกันเสียที เชิญคุณหนูลงไปที่ห้องโถงข้างล่างด้วยกันนะครับ”
ทั้งหมดเดินตามกันลงไปที่ห้องโถงซึ่งใช้เป็นที่ไว้ศพโกะเฮ คะโน มีคนมาชุมนุมกันอยู่มากหน้าหลายตา ทั้งญาติสนิทมิตรสหายและคนที่เคยเกื้อกูลและได้รับการเกื้อกูลจากผู้ตาย ชินจูโรทักทายทำความเคารพคุณหมอคะซะมะกิแล้วบอกว่า
“กระผมอยากขอความกรุณาคุณหมอช่วยตรวจศพคุณคะโนให้หน่อยเถิดขอรับ”
คุณหมอคะซะมะกิท่านนี้เป็นนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการแพทย์แผนตะวันตก เคยเดินทางไปค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ที่ยุโรปมาแล้ว
แต่ชินจูโรพอเอื้อมมือไปที่ฝาโลง
“อะไรกันรึขอรับ นี่เรากำลังจะตอกตะปูปิดฝาโลงกันอยู่แล้ว”
ทนายหน้าหอก้าวออกมาบอกว่า
“เหตุการณ์นี้แตกต่างจากกรณีอื่น ๆ เพราะเป็นการตายในลักษณะที่ผิดปกติ คุณนายไม่ประสงค์ที่จะเปิดหน้าท่านให้ใครดูตามธรรมเนียม เพราะจะเป็นการลบหลู่ผู้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเช้านี้จึงเปิดให้แต่ญาติสนิทจริง ๆ เข้ามาอำลา พอเสร็จแล้วก็ให้ปิดฝาโลงเลยขอรับ”
“เราจำเป็นต้องให้คุณหมอคะซะมะกิตรวจศพก่อน จึงอยากขออนุญาตคุณนายเปิดฝาโลง และอยากให้คุณนายมาเป็นพยานการตรวจของคุณหมอด้วย”
ทนายหน้าหอขึ้นไปที่ห้องพักของอะสึโกะแล้วพาตัวนางลงมา ท่าทางของอะสึโกะดูออกจะอ่อนเพลียและเศร้าโศกอยู่ไม่น้อย ชินจูโรเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจว่า
“ผมขออนุญาตเปิดฝาโลงศพของท่านนะขอรับ”
“เชิญค่ะ”
คนงานถอนตะปูที่ตอกไว้ครึ่ง ๆ แล้วเปิดฝาโลงออก คุณหมอคะซะมะกิเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ใส่ไว้ในนั้นรวมทั้งเสื้อผ้าของผู้ตายออกจนหมด แล้วจึงตรวจตา บาดแผล อย่างละเอียดจนแล้วเสร็จ และหันมาบอกชินจูโรว่า
“ฉันตรวจละเอียดแล้ววินิจฉัยได้ว่าท่านคะโนเสียชีวิตเพราะถูกวางยาพิษแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร และที่แน่ ๆ คือไม่ได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกคมมีด”
“ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าที่ท่านคะโนเอามือกุมหน้าอกซวนเซไปข้างหน้าน่ะไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทง แต่เป็นเพราะยาพิษออกฤทธิ์อย่างนั้นหรือขอรับ”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละนะคุณ คนเราเมื่อถูกแทงเข้าที่สีข้างจะต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหรือไม่ก็เหลียวหน้าไปดูคนที่ทำร้ายเขา หรือไม่ก็มีปฏิกิริยาอื่น ๆ ไม่ใช่กุมอกแล้วซวนเซไปข้างหน้าอย่างนั้น”
“ขอบพระคุณคุณหมอมากขอรับ ดูเหมือนว่ารูปคดีจะกระจ่างชัดขึ้นมาทั้งหมดแล้วด้วยความกรุณาของคุณหมอ กระผมแน่ใจมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า ฆาตกรจะต้องใช้วิธีบิดเบือนสาเหตุการตายเพราะถูกวางยาพิษไปเป็นการถูกแทงตายด้วยมีดสั้น เพราะถ้าถูกจับได้ว่าเป็นการฆ่าด้วยยาพิษ ความก็จะแตกเอาง่าย ๆ ว่าฆาตกรตัวจริงนั้นอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เอง ดูเหมือนหลายท่านจะคิดว่าคุณหนูโอะริเอะเป็นลมล้มลงไปตามที่ใครคนหนึ่งวางแผนกำหนดเวลาไว้อย่างตรงเผงเพื่อใช้เป็นสัญญาณให้ฆาตกรลงมือสังหาร แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครับ วินาทีที่คุณหนูโอะริเอะเป็นลมล้มลงไปนั้นมันไปตรงกับวินาทีที่ฆาตกรพุ่งมีดเข้าเป้าสังหารโดยบังเอิญต่างหาก ครับ แผนกำหนดเวลาอย่างตรงเผงของใครคนหนึ่งไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่มันอยู่ที่การพยายามใช้กลอุบายดึงท่านคะโนเอาไว้ให้เข้างานช้าเท่าที่จะทำได้ ท่านคะโนถูกสมุนรับใช้ของคนที่ตายเป็นผีไปนานแล้วมาล่อให้ออกไปที่ร้านยูสึกิแห่งคะระซุโมะริ คนที่วางแผนเช่นนี้จะต้องเป็นคนที่รู้นิสัยและสิ่งที่ท่านคะโนทำจนติดเป็นนิสัยดีมาก อย่างเช่นก่อนไปงานเลี้ยงที่สำคัญท่านจะต้องกินข้าวไปก่อนทุกครั้ง และเวลารีบมาก ๆ ท่านจะใช้เวลาแค่สองสามนาทีพุ้ยข้าวซาวน้ำชากับบ๊วยดองเข้าปากก่อนไป ทำไมหรือครับ...ก็เพราะฆาตกรจำเป็นต้องทำให้ท่านคะโนต้องรีบกินบ๊วยดองที่เขาใส่ยาพิษเอาไว้นั่นเองครับ”
โทระโนะซุเกะทำเสียงครืดคราดในลำคออย่างไม่สบอารมณ์
“มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ฆาตกรถือโอกาสตอนที่ใคร ๆ หันมามองคุณหนูเป็นลมล้มลงไป ปามีดมาเสียบสีข้างท่านคะโนต่างหาก ถ้าไม่ใช้โอกาสนั้นแล้วจะปามีดได้เมื่อไรล่ะครับ”
นักสืบหนุ่มรูปงามยิ้ม
“มีดสั้นไม่ได้ถูกปามาหรอกครับ ฆาตกรรู้ดีว่าอีกไม่นานยาพิษจะออกฤทธิ์แล้วท่านคะโนก็จะซวนเซล้มลง เขาจึงเฝ้าคอยโอกาสนั้นโดยการเดินตามไปรอบ ๆ งาน พอยาพิษออกฤทธิ์และท่านคะโนซวนเซจะล้มลงไปเขาก็กระโดดเข้าไปประคองทำให้ใคร ๆ เห็นว่าช่วยไม่ให้ท่านล้มลงไป และในจังหวะนั้นเองที่เขาใช้มีดสั้นแทงเข้าที่สีข้างท่านคะโน ฆาตกรซ่อนมีดสั้นไว้ในขลุ่ยของพระธุดงค์ครับ”
มีเสียงอุทานดังขึ้นโดยรอบ ทุกคนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกัน ฮะนะโนะยะกับจ่าชิกะโซปราดเข้าไปจับตัวนายทะโดะโคะโระเอาไว้ได้ทันท่วงที อิงงะ ฮะนะโนะยะซึ่งบางคนมองว่าเป็นนักสืบบ้านนอกสมัครเล่น ไม่รู้ขนบประเพณีว่าอย่างไหนเป็นพุทธหรือชินโตนั้น เดิมเคยเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลาดตระเวนที่มุทะลุดุดันและมีฝีมือดาบเป็นที่เลื่องลือกันตั้งแต่ย่านโทะบะฟุชิมิไปจนถึงวัดคังเอจิที่อุเอะโนะ ฮะนะโนะยะล็อกตัวทะโดะโคะโระเอาไว้แน่นด้วยท่าทางภาคภูมิและยินดีปรีดาเป็นที่สุดราวกับว่านั่นเป็นผลงานการวินิจฉัยรูปคดีของตน ส่วนทะโดะโคะโระที่ถูกรวบแขนสองข้างไว้ข้างหลังหลับตาลงเหมือนคนที่ปลงตกในชะตากรรมของตนเอง ชินจูโรคอยให้ความเอะอะโกลาหลรอบ ๆ ตัวสงบลงบ้างแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า
“ฆาตกรรายนี้วางแผนแยบยลมากครับ คืนนั้นคน ๆ นี้รู้เกือบทั้งหมดว่าใครแต่งแฟนซุชุดอะไร รู้ว่าคุณมะซะฮิโกะจะแต่งเป็นพระธุดงค์หรือบางทีฆาตกรคนนี้เองอาจเป็นคนแนะนำให้คุณคันดะแต่งเป็นพระธุดงค์ก็ได้ จุดสำคัญของแผนนี้คือต้องให้มีคนตามติดท่านโกะเฮจนกว่ายาพิษจะออกฤทธิ์แล้วพลางตาให้เห็นเป็นว่าถูกแทงตายด้วยมีดสั้น ฆาตกรจึงให้คุณทะโดะโคะโระแต่งชุดพระธุดงค์อีกคนหนึ่ง สวมหมวกหลุบหน้าถือขลุ่ยซ่อนมีดสั้นทำหน้าที่เดินตามคุณโกะเฮไปรอบ ๆ งาน ส่วนตนเองเข้าไปใส่ยาพิษไว้ในลูกบ๊วย ก่อนงานเริ่มฆาตกรออกอุบายให้มีคนมาหลอกคุณโกะเฮไปที่ร้านยูสึกิแห่ง คะระซุโมะริครับ”
คนในห้องตกตะลึงมองหน้ากันและกัน ฮะนะโนะยะถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หมายความว่ามีฆาตกรตัวจริงอยู่อีกคนหนึ่งหรือครับ”
“จากการตรวจศพของคุณหมอ ดูเหมือนว่าท่านโกะเฮจะไม่ได้ตายเพราะถูกแทงด้วยมีดสั้น ดังนั้นฆาตกรตัวจริงคือคนที่วางยาพิษนะครับ เราไปที่ห้องของฆาตกรตัวจริงกันดีกว่า แต่ เอ๊ะ”
ชินจูโรทำท่าแปลกใจทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะสึโกะออกไปแล้ว และยังพอจะคาดเดาได้ลาง ๆ ด้วยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในสายตาของเขาผู้หญิงคนนี้ใจเด็ดราวกับเอาหญิงผู้เหี้ยมหาญในประวัติศาสตร์อย่างนางกะระชะแห่งตระกูลโฮะโซะคะวะ กับนางโอะฮยะกุแห่งดะสึกิทารวมกัน หากแผนสังหารโกะเฮ คะโนสำเร็จตามกลอุบายแยบยลที่นางวางไว้โดยไม่มีใครอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ มันทะโรลูกชายคนเดียวของตระกูลอาจถูกสังหารและอะสึโกะก็จะยกเรียวสึเกะลูกชายคนเดียวของนางที่ติดท้องมาเมื่อสมรสกับโกะเฮขึ้นครองสมบัติมหาศาลของตระกูลคะโน
เมื่อชินจูโรกับคณะขึ้นไปถึงห้องของอะสึโกะก็พบว่าประตูติดกุญแจ จึงต้องระดมคนมาช่วยกันทลายประตูเข้าไป ทุกคนตะลึงกับภาพตรงหน้า อะสึโกะแทงเรียวสึเกะลูกชายคนเดียวแล้วเชือดคอตนเองด้วยมีดพก**เล่มเดียวกันสิ้นชีวิตอย่างสงบสมศักดิ์แห่งการเป็นธิดานักรบ *
คะสึไคชูใช้มีดพกประจำตัวกรีดเค้นเลือดร้ายออกจากกายไปพลาง ฟังโทระโนะซุเกะรายงานเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
“อือม์ เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าไม่ไปดูที่เกิดเหตุด้วยตาตนเองจะไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นการฆาตกรรมวางยาพิษ เพราะถ้าตายด้วยยาพิษละก็มองแวบเดียวก็รู้ แล้วก็จะวินิจฉัยรูปคดีไปในแนวนั้น พ่อชินจูโรรูปหล่อช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร ไอ้กลอุบายที่ว่าต้องมีคนแต่งเป็นพระธุดงค์สองคนและซ่อนมีดสั้นไว้ในขลุ่ยนั่นน่ะ ฉันมองทะลุปรุโปร่งหมดตั้งแต่ได้ฟังตอนต้นของเรื่องนี้แล้ว”
โทระโนะซุเกะฟังแล้วรู้สึกเลื่อมใสในความมีดวงตาแห่งสมองอันแหลมคมและลึกล้ำของบุคคลอันเป็นที่เคารพนับถือของเขาคนนี้ยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ นักดาบร่างใหญ่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเมฆหมอกที่บดบังดวงตาแห่งสมองของเขาเองนั้นถูกชำระล้างไปจนหมดสิ้น
เรื่องราวของ ลีลาศฆาตกรรม ก็จบลงเพียงเท่านี้
-------
หมายเหตุ
*มีดพก “ไคเค็น” ที่อะสึโกะใช้ปลิดชีวิตตนเองและลูกชายอย่างสมศักดิ์ของธิดานักรบนี้ สมัยที่ดินแดนญี่ปุ่นยังแบ่งออกเป็นแว่นแคว้นและชิงอำนาจกันอยู่นั้น การสมรสระหว่างบุตรธิดาของเจ้าครองแคว้นเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่สำคัญ อันธิดานั้นแม้จะเป็นเจ้าสาวแต่สถานภาพไม่ต่างจากตัวประกัน ดังนั้นเมื่อถึงคราวออกเรือนบิดามารดาจึงมอบ “ไคเค็น” ให้ ธิดาพกติดตัวไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน บางกรณีที่การเมืองผันผวนอาจใช้สังหารสามีและบางกรณีใช้ปลิดชีวิตตนเองก่อนที่จะถูกสังหารอย่างไร้ศักดิ์ศรี ต่อมาเมื่อประเทศชาติเป็นปึกแผ่นไม่มีสงครามอีกต่อไป “ไคเค็น” จึงกลายเป็นอาวุธป้องกันตัวสตรี และเป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งของติดตัวเจ้าสาวในพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นสืบต่อมาจนทุกวันนี้