แกนนำแก็งค์ยะมะกูชิ กูมิ ยากูซ่ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากศาลนครโอซากาให้ออกจากเรือนจำชั่วคราว เพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งงานของลูกสาว
“ผมเข้าออกคุกหลายครั้งจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และในวันสำคัญที่สุดของเธอ ลูกอยากให้ผมเป็นคนจูงมือเธอเดินเข้าสู่พิธีแต่งงาน” แกนนำแก็งค์ยะมะกูชิ กูมิ รายหนึ่งในวัย 50 ปียื่นคำร้องต่อศาลนครโอซากา เพื่อขออนุญาตออกจากเรือนจำชั่วคราวเพื่อร่วมพิธีแต่งงานของลูกสาว และศาลได้พิจารณาอนุญาตให้เขา “ทำหน้าที่พ่อ” ได้เป็นเวลา 5ชั่วโมงครึ่ง
การอนุญาตของศาลโอซากาถือเป็นกรณีพิเศษอย่างยิ่ง เพราะปกติแล้วการอนุญาตปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวจะทำได้เฉพาะกรณีที่ป่วยหนักต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล, ดูใจญาติพี่น้องที่กำลังจะเสียชีวิต หรือร่วมพิธีศพเท่านั้น ไม่ใช่ร่วมงานมงคลอย่างเช่นงานแต่งงาน
เมื่อถึงกำหนดการในเวลา 12.30 น. ประตูเหล็กของเรือนจำโอซากาได้เปิดออก แกนนำแก็งค์อิทธิพลมืดรายนี้ได้รับโอกาสสัมผัสกับอิสรภาพชั่วคราวจนถึงเวลา 6โมงเย็นของวันเดียวกัน
ยากูซ่าที่กำลังจะเป็นพ่อเจ้าสาวเดินทางออกไป พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ และมีตำรวจนอกเครื่องแบบติดตามจำนวนมาก โดยถึงโรงแรมที่จัดงานในเวลา 13.30 น. ซึ่งผู้จัดการของโรงแรม ระบุว่า ตลอดเวลาทำงานมา 23ปี ไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
14.00 น. ดนตรีบรรเลงขึ้นท่ามกลางความปีติของญาติและเพื่อนฝูง พ่อเจ้าสาวจูงมือลูกสาวเข้ามาในงานอย่างสุขุม ไม่เหลือร่องรอยของการเป็นกลุ่มอาชญากรรมผู้ทรงอิทธิพลแม้แต่น้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ในพิธีแต่งงานด้วย แต่ทางศาลไม่อนุญาต ทั่วบริเวณโรงแรมทั้งแต่ล็อบบี้จนถึงสวนเต็มไปด้วยตำรวจนอกเครื่องแบบ
17.00น. เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมสำหรับการรับตัวผู้ต้องหากลับเรือนจำตามกำหนดการในเวลา 18.00น. หากแต่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวกำลังกล่าวคำขอบคุณแขกที่เจ้าร่วมงานอยู่ สุดท้ายแล้ว งานได้สิ้นสุดลงในเวลา 17.59น.
ทันทีที่ อดีตเจ้าพ่อเดินออกจากพิธี เจ้าหน้าที่ได้ตรงเข้าประกบตัวและพาไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เพื่อนำตัวกลับไปยังเรือนจำ โดยให้เวลาแต่งตัวเพียงแค่ 4นาทีเท่านั้น
การตัดสินของศาลนครโอซากาได้รับทั้งความเห็นใจและเสียงวิจารณ์จากประชาชน กลุ่มที่เห็นใจ ระบุว่าถึงแม้จะเป็น “เจ้าพ่อ” แต่ความเป็น “พ่อคน” นั้นสำคัญยิ่งกว่า ดังนั้นเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงจึงเป็นโอกาสเดียวที่จะช่วยเติมเต็มความสุขในวันสำคัญของลูกสาวได้
ขณะที่สมาคมทนายความแห่งญี่ปุ่น ระบุว่า การอนุญาตปล่อยตัวผู้ต้องหาเพื่อเข้าร่วมพิธีมงคลนั้นไม่ถือว่าเข้าข่ายมนุษยธรรม เพราะงานแต่งงานเป็นเรื่องรื่นเริง ไม่ใช่การบอกลาครั้งสุดท้ายเหมือนงานศพ และการจัดเจ้าหน้าที่จำนวนมากไปอารักขาป้องกันการหลบหนีต้องใช้เงินภาษีของประชาชน
สมาคมทนายความแห่งญี่ปุ่นให้ความเห็นว่า ศาลอาจเห็นใจผู้ต้องหาในฐานะพ่อ แต่ครอบครัวอื่นๆ ที่ถูกทำร้ายหรือเสียชีวิตจากแก็งค์อิทธิพลเหล่านี้อาจไม่มีโอกาสรื่นเริงเช่นนี้.