ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติสหรัฐฯ เผยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยจากการก่อการร้ายมากที่สุด เนื่องจากระบบคัดกรองคนเข้าเมืองที่เข้มงวด และการจำกัดบทบาทของชาวมุสลิมในประเทศที่แนบเนียนอย่างยิ่ง
เหตุวินาศกรรมก่อการร้ายที่ประเทศเบลเยี่ยมทำให้ชาวญี่ปุ่นบาดเจ็บ 2 ราย โดย 1 รายบาดเจ็บสาหัส หากแต่รายงานของศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ National Counterterrorism Center’s (NCTC) ระบุว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยจากการก่อการร้ายมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของกลุ่มมุสลิม
ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า เหตุวินาศกรรมในยุคใหม่นั้น 94% เป็นฝีมือของกลุ่มมุสลิม โดยเฉพาะกลุ่มก่อการร้าย 3กลุ่มใหญ่ คือ ISIS ,ตาลิบัน และโบโกฮารามเป็นผู้ลงมือก่อวินากรรมในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วหลายหมื่นคนในรอบ 10ปีที่ผ่านมา
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติของสหรัฐฯ ประเมินว่าปลอดภัยจากการก่อการร้ายมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยญี่ปุ่นไม่เคยเผชิญกับเหตุวินาศกรรมโดยกลุ่มมุสลิมในประเทศเลย และยังไม่เคยเกิดเหตุความวุ่นวายหรือการประท้วงใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาวมุสลิมด้วย
ปัจจัยอย่างแรกที่ทำให้ญี่ปุ่นปลอดภัยจากการก่อการร้ายข้ามชาติ คือ ภูมิประเทศที่เป็นเกาะ แตกต่างจากยุโรปหรือเอเชียที่สมาชิกกลุ่มก่อการร้ายสามารถเดินทางข้ามประเทศได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบคัดกรองคนเข้าเมืองทำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
มุสลิมแทบไม่มีตัวตนในแดนอาทิตย์อุทัย
ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า ญี่ปุ่นค่อนข้างปิดกั้นชาวมุสลิม โดยรัฐบาลญี่ปุ่นแทบจะไม่ออกวีซ่าทำงานหรือพักอาศัยให้กับประชากรจากกลุ่มประเทศมุสลิมเลย แม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่น แพทย์, วิศวกร หรือผู้บริหารของบริษัทก็ตาม
นอกจากนี้ กลุ่มชาวมุสลิมในญี่ปุ่นเองก็มีจำนวนที่น้อยมาก องค์กรที่เป็นตัวแทนของชาวมุสลิมในญี่ปุ่น คือ Japan Islamic Association ระบุว่า มีชาวมุสลิมในญี่ปุ่นเพียงแค่ราว 1,000 คนเท่านั้น แต่หากรวมกลุ่มผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเพราะการแต่งงาน และไม่ได้ปฏิบัติศาสนากิจอย่างเคร่งครัดก็จะมีชาวมุสลิมในญี่ปุ่นแค่ 2-3พันคนเท่านั้น ซึ่งเมือเทียบกับจำนวนประชากรของญี่ปุ่นที่มีกว่า 130ล้านคนแล้ว ชาวมุสลิมจึงแทบจะ “ไม่มีตัวตน”ในสังคมญี่ปุ่น
ควบคุมลัทธิความเชื่อทั้งทางตรงและทางอ้อม
ถึงแม้ญี่ปุ่นจะไม่มีศาสนาประจำชาติที่แน่ชัด หากแต่กลับมีกฎหมายที่ควบคุมลัทธิและความเชื่อทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีกฎหมายห้ามไม่ให้บังคับให้บุคคลนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง รวมทั้งจะไม่มีการสอนวิชาศาสนาในโรงเรียน
ขณะเดียวกันผู้ที่เผยแพร่ศาสนาอิสลามอย่างออกหน้าออกตาก็อาจถูกเนรเทศออกนอกประเทศ หรือแม้แต่จำคุก กฎหมายควบคุมลัทธิความเชื่อนี้ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งงวดมากขึ้น นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โจมตีด้วยก๊าซพิษซารินในรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวเช่นกันเมื่อ 21 ปีก่อน ซึ่งเป็นฝีมือของกลุ่มลัทธิ “อุม ชินริเกียว”
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ชาวมุสลิม “อยู่ยาก” โดยทั้งประเทศมีมัสยิดที่เป็นทางการเพียงแค่ 2 แห่ง คือ มัสยิดกลางที่กรุงโตเกียว และมัสยิดเมืองโกเบ ทำให้การประกอบศาสนากิจยากลำบาก หรืออาจต้องทำกันเป็นการส่วนตัวในอพาร์ทเมนต์ต่างๆ
การประกอบกิจกรรมทางศาสนาในที่สาธารณะจะต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งปกติแล้วจะไม่ได้รับอนุญาต โดยผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกปรับเป็นเงินสูงมาก หรือถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
ส่วน ภาษาอาหรับ ก็แทบไม่มีการสอนสถาบันการศึกษาของญี่ปุ่นเลย ขณะที่การนำเข้าคัมภีร์อัล กุรอาน หรือ หนังสือภาษาอาหรับก็จะถูกห้ามและตรวจสอบอย่างเข้มงวด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง “อาหารฮาลาล” ซึ่งแทบจะหาทานไม่ได้เลยในญี่ปุ่น
ISIS สังหารนักข่าวญี่ปุ่น ตอกลิ่ม “ปฏิเสธ”มุสลิม
การที่กลุ่มก่อการร้าย ISIS ได้สังหารนายฮารุนะ ยูกาวะ และนายเคนจิ โกโตะ ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น ยิ่งทำให้รัฐบาลและประชาชนญี่ปุ่นมีทัศนคติเชิงลบต่อมุสลิมยิ่งขึ้น ถึงแม้จะไม่มีการ “กีดกัน” อย่างเปิดเผย แต่รัฐบาลญี่ปุ่นระแวดระวังอย่างยิ่งในการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศมุสลิม
กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นประกาศเตือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศอาหรับ ขณะที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกว่าการกีดกันอิสลามจะเป็นเรื่องผิดแปลก เพราะความจริงแล้ว ชาวญี่ปุ่นยอมรับเพียงแค่ลัทธิชินโตและพุทธศาสนาเท่านั้น
ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติของสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า ในรอบ 30ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีชาวญี่ปุ่นตกเป็นเหยื่อของวินาศกรรมโดยฝีมือของกลุ่มมุสลิมแม้แต่รายเดียว โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่เคยถูกวิจารณ์ว่า “เลือกปฏิบัติ” หรือถูกตั้งคำถามเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา หน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ จึงสรุปว่า นโยบายจำกัดบทบาทอิสลามอันแนบเนียนของญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ และยุโรปพึงศึกษาอย่างยิ่ง.