นายชินโซ อะเบะ เป็นผู้นำญี่ปุ่นที่มีทั้งคนรักและคนชังจำนวนมาก รวมทั้งเรียกเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง หากแต่เขานับเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับแดนอาทิตย์อุทัยอย่างมาก เพียงแต่รอวันพิสูจน์ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเพื่อสนองความต้องการส่วนตัว หรือเพื่อฟื้นฟูเกียรติภูมิของลูกพระอาทิตย์กันแน่?
ในละครแนวญี่ปุ่นหลายเรื่องมักจะนำเสนอเรื่องราวของตระกูลผู้มีอิทธิพล ซึ่งตกอยู่ภายใต้วังวนแห่งอำนาจและศักดิ์ศรี จนสมาชิกในตระกูลไม่อาจใช้ชีวิตแบบที่ตนเองปรารถนาได้
หากดูละครแล้วย้อนดูโลกแห่งความจริง จะพบว่านายชินโซ อะเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบันมีส่วนคล้ายกับตัวเอกในละครดัง
ในปี 2015 นายอะเบะได้ผลักดันนโยบายที่สำคัญได้สำเร็จ คือ ผ่านชุดกฎหมายความมั่นคง ท่ามกลางการประท้วงและเหตุตะลุมบอนในรัฐสภา นอกจากนี้ยังสามารถเจรจากับเกาหลีใต้เพื่อยุติความขัดแย้งเรื่อง “นางบำเรอ” สมัยสงครามโลก
เขายังเคย “หลุดปาก” ว่าพร้อมจะรบกับจีน รวมทั้งเดินหน้าแข่งขันกับแดนมังกรทั้งในเรื่องบทบาทระหว่างประเทศ และช่วงชิงโครงการก่อสร้างต่างๆในต่างประเทศ
นายอะเบะยังประกาศผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะยกเลิกการจำกัดการเดินทางระหว่างสองประเทศ และข้อกำหนดต่างๆ สำหรับการโอนเงินไปยังเกาหลีเหนือ โดยทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า เกาหลีเหนือจะต้องจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาสืบสวนเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นหลายคนถูกลักพาตัวไปในเกาหลีเหนือเมื่อกว่าสิบปีก่อน และยังไม่ทราบชะตากรรมจนถึงทุกวันนี้
แน่นอนว่า เกาหลีเหนืออยากจะได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น หลังจากจีนและเกาหลีใต้เริ่มไม่พอใจท่าทีแข็งกร้าวของนายคิม จองอึน ผู้นำคนใหม่ของโสมแดง แต่การหันไปคบค้าสมาคมกับเกาหลีเหนือ ซึ่งเคยลักพาตัวชาวญี่ปุ่นไป และยังทดลองขีปนาวุธข่มขู่ญี่ปุ่นมาตลอด ทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากคิดว่านายอะเบะกำลัง “เล่นกับไฟ” แม้แต่ สหรัฐอเมริกา ที่ให้การคุ้มครองญี่ปุ่นด้านความมั่นคงมาตลอดก็มีท่าทีไม่พอใจเช่นกัน
สื่อมวลชนบางส่วนมองว่านายอะเบะต้องการใช้เกาหลีเหนือ เพื่อเป็นหมากต่อรองกับจีนและเกาหลีใต้ ยิ่งกว่านั้นเพื่อแสดงว่า ญี่ปุ่นไม่ได้เป็น “ลูกไล่” ของอเมริกาตลอดกาล ญี่ปุ่นสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศได้อย่างอิสระ ซึ่งจะเป็นจริงได้ด้วยหมากตัวสำคัญ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟื้นฟูกองทัพ
นายอะเบะเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทรงอิทธิพลของญี่ปุ่น ทั้งปู่และพ่อของเขาเป็นนักการเมืองแนวหน้า ยิ่งกว่านั้นตาของเขาก็คือ นายโนบูเซกิ คิชิ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค LDP พรรครัฐบาลที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดของญี่ปุ่นสมัยใหม่
นายอะเบะได้รับเลือกตั้งเป็นสส.ตั้งแต่ปี 1993 และมีบทบาททั้งในพรรค LDP และในรัฐสภาอย่างโดดเด่น ในปี 2006 นายอะเบะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของเส้นทางการเมือง โดยรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่น
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาอยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็ประกาศลาออก โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้ได้ นอกจากตัวนายอะเบะเท่านั้น
ความล้มเหลวในการเป็นผู้นำประเทศทำให้นายอะเบะเจ็บช้ำ แต่ด้วยการสนับสนุนจากภรรยาคู่ใจทำให้เขายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง และทวงคืนศักดิ์ศรีด้วยการนำพรรค LDP ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2012 และก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2
แต่ทว่าการกลับมาครั้งนี้ นายอะเบะได้เปลี่ยนท่าทีและแนวนโยบายไปอย่างมาก ตั้งแต่นโยบายอัดฉีดเงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า “อะเบะโนมิกส์” จนถึงนโยบายการเมืองที่แข็งกร้าว และทำให้ความสัมพันธ์กับระหว่างญี่ปุ่นกับเพื่อนบ้านตึงเครียดมาก
นายอะเบะประกาศนโยบายที่เรียกทั้งเสียงสนับสนุนและการประท้วงของชาวญี่ปุ่น โดยอ้างว่าต้องการทวงคืนศักดิ์ศรีของลูกพระอาทิตย์ ญี่ปุ่นควรจะก้าวผ่านความเจ็บช้ำจากสงคราม และลุกขึ้นยืนเหมือนดั่งนานาประเทศได้เสียที
ชินโซ อะเบะ อาจเป็นผู้นำญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” ชาวญี่ปุ่นไม่แน่ใจว่า การผลักดันนโยบายอย่างไม่ยอมฟังเสียงทัดทานนั้นเป็นเพราะต้องการสนองความต้องการส่วนตัว ที่ต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของตระกูล หรือว่าทำไปเพื่อแดนอาทิตย์อุทัยกันแน่?
ในสำนวนไทยข้างต้นนั้น คนที่รักถึงแม้มีน้อยดังผืนหนังแต่มีค่าราคาแพง ส่วนคนชังมีมากเหมือนเสื่อซึ่งผืนใหญ่แต่ราคาถูกกว่า...นายกฯญี่ปุ่นผู้นี้จึงรอการพิสูจน์จากประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน.