ตำนานวงการหนังญี่ปุ่น “เซ็ตสึโกะ ฮาระ” ซึ่งโด่งดังจากการเล่นหนังของ "ยาซุจิโร โอซุ" และ "มิกิโอะ นารุเสะ" ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 95 ปี
สื่อในประเทศญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่านักแสดงหญิงผู้ยิ่งใหญ่ เซ็ตสึโกะ ฮาระ ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. แต่เพิ่งจะมีการเปิดเผยให้สาธารณะชนทราบในวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมานี่ โดยข่าวระบุว่าเธอสิ้นลมลงจากอาการปอดอักเสบ หลังเข้ารักษาตัวมาซักระยะหนึ่งแล้ว
เซ็ตสึโกะ ฮาระ เคยร่วมงานกับ อากิระ คุโรซาวะ ในหนังหลังสงครามโลกเรื่องแรกของ คุโรซาวะ เรื่อง No Regrets for Our Youth (1946) นอกจากนั้นก็ยังเคยทำงานกับ เคสึเกะ คิโนชิตะ ใน Here’s to the Girls (1949) โดยในหนังเหล่านี้เธอมักจะได้รับบทเป็นหญิงสาวยุคใหม่ ที่พร้อมเดินหน้าก้าวเข้าสู่อนาคตที่สดใสของประเทศญี่ปุ่นในยุคหลังสงคราม แตกต่างอยู่พอสมควร กับงานของ ฮาระ ในหนังของ มิกิโอะ นารุเสะ และ ยาซุจิโร โอซุที่ทั้งมักจะเปิดโอกาสให้เธอได้รับบทเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่นธรรมดาๆ เป็นลูกสาว, ภรรยา และแม่แบบชาวญี่ปุ่น
Late Spring เมื่อปี 1949 คือหนังเรื่องแรกที่ โอซุ และ ฮาระ ได้ร่วมงานกัน โดยในหนังเรื่องนี้ ฮาระ รับบทเป็นลูกสาวที่เป็นห่วงพ่อผู้ชราจนไม่ยอมออกเรือน แม้เธอจะมีอายุไม่น้อยแล้วก็ตาม จนผู้เป็นพ่อต้องหาวิธีที่จะทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานออกไปให้ได้
เซ็ตสึโกะ ฮาระ มีบทบาทสำคัญอยู่ในหนังของ ยาซุจิโร โอซุ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกถึง 6 เรื่อง รวมถึงงานระดับตำนานอย่าง Tokyo Story ในปี 1953 ด้วย ในหนังเรื่องนี้ เซ็ตสึโกะ ฮาระ รับบทเป็นหญิงสาวผู้สูญเสียสามีไป แต่ก็ยังพยายามเอาใจใส่พ่อกับแม่ของสามีอย่างเต็มที่ ในระหว่างที่ท่านทั้งสองเดินทางมากรุงโตเกียว และลูกแท้ๆ กลับไม่ค่อยจะแยแส
เซ็ตสึโกะ ฮาระ หรือ มาซาเอะ อาอิดะ เกิดที่โยโกฮามะ ในปี 1920 ในครอบครัวที่มีพ่อน้องถึง 8 คน ซึ่งก็เพราะมีพี่เขยเป็นผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง ฮิซาโทระ คุมากาอิ นั่นเอง จึงทำให้ ฮาระ ได้มีโอกาสรับงานแสดงตั้งแต่ก่อนช่วงสงครามโลก ตอนเธอมีอายุแค่ 15 ปี ทั้งหนังญี่ปุ่น และหนังที่ญี่ปุ่นกับเยอรมันร่วมกันสร้างอย่างหนังเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง Daughter of the Samurai ที่มีเป้าหมายเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศทั้งสองด้วย
แต่ยุคทองที่แท้จริงของ เซ็ตสึโกะ ฮาระ มาเกิดขึ้นเอาช่วงหลังสงครามโลกนั่นเอง ในตอนนั้นเธอได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับแถวหน้าของญี่ปุ่นแทบจะทุกคน ได้กลับมาทำงานกับ คุโรซาวะ ใน The Idiot (1951), ได้รับรางวัลของนิตยสารภาพยนตร์ชื่อดัง Kinema Junpo จากหนังเรื่อง A Ball at the Anjo House ของ โคซาบุโร โยชิมุระ และยังได้เล่นหนังซามูไรฟอร์มใหญ่ Chūshingura ของ ฮิโรชิ อินางากิ ในปี 1962 ด้วย ซึ่งได้กลายเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายในชีวิตของ เซ็ตสึโกะ ฮาระ ในเวลาต่อมา
เนื่องจาก เซ็ตสึโกะ ฮาระ ไม่เคยแต่งงานเลย ชาวญี่ปุ่นจึงให้ฉายาเธอว่าเป็น "หญิงผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องตลอดกาล" เธอยังได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคทองของวงการหนังญี่ปุ่น และนิตยสาร Kinema Junpo ยังได้จัดให้ ฮาระ เป็นนักแสดงหญิงอันดับ 1 แห่งศตวรรษที่ 20 ด้วย
หลังการเสียชีวิตของ ยาซุจิโร โอซุ ในปี 1963 เซ็ตสึโกะ ฮาระ จึงตัดสินใจถอนตัวจากวงการบันเทิงด้วยวัย 42 ปี และใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ที่คามาคุระ ซึ่งเธอกับ โอสุ ถ่ายทำหนังหลายๆ เรื่องด้วยกัน และแทบจะไม่เคยเปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ หรือให้สื่อถ่ายภาพของเธออีกเลย
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาชาวญี่ปุ่นต่างสงสัยกันมาตลอดถึงสาเหตุที่ทำให้นักแสดงหญิงผู้โด่งดังอย่าง เซ็ตสึโกะ ฮาระ ตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงไปอย่างกะทันหันแบบนั้น ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย เธอได้พูดตรงๆ ว่าไม่เคยรู้สึกสนุกอะไรกับการแสดงเลย และที่รับงานในวงการบันเทิงไปก็เพื่อจุนเจือครอบครัวเท่านั้น แต่ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยกลับสงสัยว่าการเสียชีวิตของ ยาซุจิโร โอซุ คือเหตุผลหลักที่ทำให้ เซ็ตสึโกะ ฮาระ เลือกหันหลังให้กับวงการหนัง และหลายๆ คนก็ยังแอบสงสัยว่าทั้งคู่อาจจะมีความสัมพันธ์กันด้วย
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม