โดยปกติแล้วหัวใจเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง/วัน หรือ 60-100 ครั้ง/นาที หากเต้นเกิน 100 ครั้ง ถือว่าหัวใจเต้นเร็ว แต่ถ้าเต้นต่ำกว่า 60 ครั้ง ถือว่าหัวใจเต้นช้า แต่ถ้าเราเราออกกำลังกายจะเป็นการตอบสนองของร่างกาย (Physiological responses) อยู่แล้วว่าหัวใจต้องเต้นเร็วขึ้น ตรงกันข้าม หากเราออกกำลังกายแล้วหัวใจยังเต้นช้าอยู่ หรือไม่ได้เต้นเร็วขึ้น กรณีนี้ถือว่าผิดปกติ ยกเว้นนักกีฬาที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ เช่น นักวิ่งมาราธอน หัวใจของคนกลุ่มนี้อาจเต้นปกติได้อยู่เมื่อออกกำลังกาย
.
#วิธีสังเกตภาวะอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถสังเกตตัวเองได้ง่าย ๆ หากหัวใจเต้นเร็ว จะมีอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก แต่ถ้าหัวใจเต้นช้าจะเวียนหัว หน้ามืด เป็นลม หมดสติ ส่วนหัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะ หรือหัวใจเต้นพลิ้ว จะมีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง
.
#วิธีตรวจเช็กภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การวินิจฉัยหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบัน มี 5 วิธี คือ
.
1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
เป็นการตรวจแบบ Real-time ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าตรวจที่โรงพยาบาลรัฐบาลประมาณ 300 บาท ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเป็นประจำทุกปี
.
2. การตรวจและบันทึกเครื่องไฟฟ้าหัวใจ (Holter Monitoring)
วิธีตรวจจะคล้าย ๆ ECG จะแต่เครื่องมือติดไว้กับคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้คนไข้นำกลับบ้านไปด้วย แพทย์จะทราบว่าใน 24 ชั่วโมงนั้น คนไข้มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอย่างไร
.
3. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test)
ในรายที่ออกกำลังกายแล้วหัวใจยังเต้นช้าอยู่ถือว่าผิดปกติ
.
4. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพาชนิดฝัง (Implantable Loop Recorder)
จะเป็นการฝังเครื่องไว้ใต้ผิวหนัง หากเกิดความผิดปกติ แพทย์จะนำออกมาดูได้ กรณีนี้แนะนำให้ใช้ในคนไข้ที่ไม่ได้มีอาการทุกวัน
.
5. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography)
เป็นการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจเพื่อหาโรคบางชนิด เช่น คนไข้ที่มีภาวะหัวใจผิดปกติบางราย อาจเกิดจากผนังหัวใจหนาผิดปกติ เพราะโรคบางชนิด
.
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีภาวะการนอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ จึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แต่สำหรับกลุ่มคนที่แต่ไม่เคยมีอาการใด ๆ มาก่อน อาจยากต่อการตรวจวินิจฉัยในเบื้องต้นได้