สาเหตุของภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ
การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากในระยะเวลาที่สั้น ทำให้ตับซึ่งทำหน้าที่ขับแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือด ไม่สามารถขับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกายออกได้ทัน จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ ซึ่งไม่สามารถระบุระยะเวลาในการแสดงอาการที่ชัดเจนได้
แต่หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 12 ดื่มมาตรฐานในระยะเวลาอันสั้น หรือมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษสูงมาก นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดซึมสารของร่างกายแต่ละบุคคล และชนิดของเครื่องดื่มนั้น ๆ ว่ามีดีกรีหรือปริมาณแอลกอฮอล์เข้มข้นมากแค่ไหน เช่น
– เบียร์ มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ประมาณ 5% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับ 1 กระป๋อง หรือ 1 ขวดเล็ก 330 มิลลิลิตร
– ไวน์ มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ประมาณ 12% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับ 1 แก้ว หรือ 100 มิลลิลิตร
– สุรากลั่น มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ประมาณ 40% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับ 3 ฝา หรือ 30 มิลลิลิตร
อาการของภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ
– เริ่มกระวนกระวาย สับสน พูดจาไม่รู้เรื่อง
– ไม่สามารถทรงตัวได้
– ง่วงซึม นอนหลับเยอะกว่าปกติ
– มีอาการกึ่งโคม่า รู้สึกตัวแต่ไม่สามารถตอบสนองได้
– อาเจียนออกมาเป็นจำนวนมาก หรืออาเจียนเป็นเลือด
– หายใจช้าลง หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
– น้ำตาลในเลือดต่ำจนทำให้เกิดอาการชัก หรือเสียชีวิต
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
– โทรเรียก 1669 หรือเรียกรถพยาบาลอย่างเร่งด่วน
– ไม่ควรปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง เฝ้าสังเกตอาการของผู้ป่วยตลอดเวลา
– พยายามปลุกให้ผู้ป่วยมีสติ ไม่หลับ และพยุงให้อยู่ในท่านั่ง
– หากผู้ป่วยรู้สึกตัวให้ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปเยอะ ๆ
– ไม่พยายามให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมา เพราะอาจระคายเคืองทางเดินอาหารจนทำให้อาเจียนเป็นเลือดได้
– หากผู้ป่วยหมดสติ ไม่รู้สึกตัว ให้จับนอนตะแคง เฝ้าสังเกตการหายใจจนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษนั้นสำคัญมาก หากผู้ดูแลหรือผู้ที่ช่วยเหลือมีความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วยอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้ผู้ป่วยไม่หมดสติ เปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตลดน้อยลงและมีโอกาสรอดมากขึ้นนั่นเอง