MGR Online - แบงก์ชาติลาวเตรียมนำพันธบัตรเงินกีบล็อตใหม่ อัตราดอกเบี้ย 15% ออกมาขายอีก 2 ล้านล้านกีบ เพื่อช่วยกระตุ้นเงินกีบให้มีเสถียรภาพ ชี้ประชาชนเริ่มเข้าใจ และมีความต้องการซื้อพันธบัตรมากขึ้น
วันที่ 8 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่ง สปป.ลาว (ทหล.) ได้ออกหนังสือแจ้งการว่า ในเร็วๆ นี้ ทหล. จะจำหน่ายขายพันธบัตรเงินกีบ งวดที่ 2 ครั้งที่ 3 วงเงินรวม 2 ล้านล้านกีบ หรือประมาณ 3,800 ล้านบาท
“ดังนั้น จึงขอแจ้งมายังท่านเพื่อทราบ และเตรียมความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการถือครองพันธบัตรซึ่งกำลังจะนำออกมาขายในครั้งนี้” เป็นเนื้อหาช่วงท้ายของหนังสือแจ้งการ
สำหรับเป็นพันธบัตรเงินกีบ งวดที่ 2 ครั้งที่ 3 ที่ ทหล.กำลังเตรียมนำออกมาขายเป็นพันธบัตรระยะสั้น อายุ 6 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี โดยเงื่อนไข วิธีการและช่องทางการขาย ทหล.จะมีประกาศแจ้งรายละเอียดออกมาอีกครั้ง
ปลายเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์เงินกีบอ่อนค่าลงมาอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ผิดสังเกต จากประกาศอัตราขายเงินสกุลต่างประเทศ ของธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (BCEL) เมื่อต้นเดือนมีนาคม ค่าเงินกีบอยู่ที่ระดับ 495 กีบต่อ 1 บาท 16,950 กีบต่อ 1 ดอลลาร์ และ 2,480 กีบต่อ 1 หยวน แต่จากประกาศล่าสุดของ BCEL เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ค่าเงินกีบอยู่ที่ 525 กีบต่อ 1 บาท 17,515 กีบต่อ 1 ดอลลาร์ และ 2,556 กีบต่อ 1.หยวน
เช้าวานนี้ (9 พ.ค.) สุลิสัก ทำนุวง หัวหน้ากรมนโยบายเงินตรา ทหล. ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ชีวิตติดพันสังคม” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติลาว ว่า พันธบัตรที่ออกมาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่ ทหล.นำออกมาใช้ดูดเงินออกจากระบบ เพื่อเพิ่มความต้องการเงินกีบให้สูงขึ้น
ตั้งแต่กลางปี 2565 จนถึงปัจจุบัน ทหล.ได้นำพันธบัตรเงินกีบออกมาขายแล้ว 2 งวด เป็นวงเงินรวม 8 ล้านล้านกีบ และกำลังจะนำออกมาขายอีก 2 ล้านล้านกีบ โดยพันธบัตรที่นำออกมาขายทั้ง 2 งวด เป็นพันธบัตรระยะสั้น อายุ 6 เดือน งวดแรกให้อัตราดอกเบี้ย 20% ต่อปี และลดลงมาเหลือ 15% ต่อปีในงวดที่ 2
หัวหน้ากรมนโยบายเงินตรา ทหล. กล่าวว่า ผลตอบรับจากการขายพันธบัตรที่ผ่านมา ประชาชนเริ่มมีความเข้าใจความสำคัญของเครื่องมือตัวนี้ เริ่มมีความเชื่อมั่น และมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น
นอกจากการขายพันธบัตรแล้ว ทหล.ยังได้นำเครื่องมืออื่นออกมาใช้เพื่อควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ ได้แก่ การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานจาก 6.5% เป็น 7.5% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบขึ้นอัตราดอกเบี้ย และยังสั่งธนาคารพาณิชย์ให้เพิ่มเงินทุนสำรองภาคบังคับที่ต้องนำมาฝากไว้ที่ ทหล.โดยเงินกีบให้เพิ่มจาก 5% เป็น 5.5% เงินสกุลต่างประเทศจากเพิ่ม 5% เป็น 8% มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์.