เอเอฟพี - องค์การนิรโทษกรรมสากล เรียกร้องให้ทางการกัมพูชายุติการบังคับไล่ที่ที่กำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องกับชาวเขมร 10,000 ครอบครัว ให้ออกจากบริเวณปราสาทนครวัด
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการย้ายถิ่นฐานครอบครัวชาวเขมรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มรดกโลกขององค์การยูเนสโก ไปยังชุมชนแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นบนที่ดินที่เคยเป็นทุ่งนาห่างออกไปราว 25 กิโลเมตร
เจ้าหน้าที่กัมพูชากล่าวว่า พวกเขากำลังปกป้องปราสาทด้วยการย้ายผู้บุกรุกที่เข้ามาอยู่อาศัยแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งคนเหล่านี้กำลังทำลายสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นจากการสร้างขยะ และใช้ทรัพยากรน้ำมากเกินไป
รัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า ประชาชนย้ายออกด้วยความสมัครใจ แต่องค์การนิรโทษกรรมสากลกล่าวว่า จากการวิจัยของพวกเขาพบว่าชาวบ้านเผชิญกับการคุกคามหากไม่ย้ายออก
รายงานระบุว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ได้รับการปรึกษาหารืออย่างเหมาะสม หรือแจ้งให้ทราบอย่างเพียงพอ
“สิ่งเหล่านี้เป็นการบังคับไล่ที่กลายๆ และเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก ผู้คนถูกกดดันให้อาสาสมัครและรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกตอบโต้หากพวกเขาปฏิเสธที่จะย้ายออกหรือท้าทายการไล่ที่” รองผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ระดับภูมิภาคขององค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุในคำแถลง
“ทางการกัมพูชาควรยุติการขับไล่ที่ที่เป็นอันตราย ซึ่งเสี่ยงทำให้ประชาชนหลายพันครอบครัวยากจนลง” รองผู้อำนวยการระดับภูมิภาค กล่าว
พื้นที่อุทยานปราสาทนครวัดที่ถูกป่ากลืนหายไปครึ่งหนึ่ง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศ
ครอบครัวที่ย้ายออกจากเขตปราสาทจะได้รับที่ดินขนาด 600 ตารางเมตร เงินสด 350 ดอลลาร์ หลังคาสังกะสี 30 แผ่น และบัตรสวัสดิการ แต่พวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตัวเอง
ลอง โกสาล โฆษกองค์การอัปสรา ที่ดูแลจัดการอุทยานโบราณคดีอังกอร์ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อคำแถลงขององค์การนิรโทษกรรมสากล
นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ที่ปกครองประเทศด้วยกำปั้นเหล็กมาเกือบ 4 ทศวรรษ ได้เตือนว่าปราสาทนครวัดจะถูกถอดออกจากรายชื่อแหล่งมรดกโลกหากชาวบ้านไม่ย้ายออกไป
ทั้งนี้ ข้อแนะนำของยูเนสโกระบุว่าการย้ายถิ่นฐานควรดำเนินการโดยได้รับความยินยอมจากประชาชนที่เกี่ยวข้อง และชุมชนท้องถิ่นควรเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์หลักจากการท่องเที่ยวแหล่งมรดกโลก.